สี่หนิงเหอหลับตาลง...ยังไงท่านแม่ก็รักเขาแหละ ท่านต้องช่วยเขาและมันก็ใช่!
ใช่แล้ว! ถ้าเป็นสิ่งนั้น เขาทำได้และสามารถทำได้ดีด้วย ทรัพย์สินอันน้อยนิดที่ฮูหยินสี่อิงเหม่ยกับนายท่านเหวินหม่าให้เขาติดตัวไป ย่อมเพียงพอให้เขานำไปใช้ในการลงทุนทำการค้าได้
“ขอบคุณขอรับท่านแม่” สี่หนิงเหอคลี่ยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุดเมื่อคิดได้แล้วว่าจะทำการค้าอันใด เขายังสามารถทำการทดลองก่อนเปิดตลาดได้ด้วย รับรองได้ว่าจะต้องมีคนสนใจสั่งของกับเขาอย่างมากมายแน่นอน!
ว่าแต่...ควรลองทำดูก่อนดีไหมนะ เผื่อเวลาที่มันผ่านมาเนิ่นนาน ฝีมือเขาอาจจะตกไปบ้าง ทว่ายังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นเพื่อไปจัดหาวัตถุดิบที่ต้องใช้ เขาก็จำเป็นต้องหยุดคิดไปก่อนเมื่อเสี่ยวฝานวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อโชกฉายแววตื่นตระหนกและขลาดกลัว
“คุณชาย...คุณชายขอรับ แย่แล้วขอรับ”
“ใจเย็น ๆ เสี่ยวฝาน มีเรื่องอันใดก็ค่อย ๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน” สี่หนิงเหอรินน้ำชาส่งให้เสี่ยวฝานดื่ม พลางยื่นมือไปลูบหลังให้ เมื่อเสี่ยวฝานรีบร้อนจนเกินไปทำให้สำลักน้ำชา
“คนพวกนั้นขอรับคุณชาย...คนพวกนั้น” เสี่ยวฝานชี้มือออกไปนอกห้อง มันทำให้สี่หนิงเหอเริ่มรู้สึกไม่ดีอย่างบอกไม่ถูก มันคงไม่ใช่...
“เสี่ยวฝาน” สี่หนิงเหอจับต้นแขนเสี่ยวฝานเอาไว้ “ค่อย ๆ พูดนะ ไม่ต้องรีบร้อน” แต่ใจเขานะร้อนราวกับถูกไฟเผาผลาญไปแล้ว
“คนพวกนั้น...จะมาพาคุณชายไปแล้วขอรับ”
คนพวกนั้น! เหมือนถูกฟาดด้วยแส้เส้นโตฟาดบนลำตัว แทบจะพลัดตกจากเก้าอี้ที่นั่งอยู่ เท่าที่ฟังมาจากเสียงนินทาของคนในเรือน...ดูเหมือนว่าเวลาที่เขาจะไปจากที่นี่ยังอีกหลายวัน น่าจะร่วมเดือนด้วยซ้ำ หากตั้งแต่ฟื้นมานี่มันเพิ่งจะวันที่ห้าเองนะ เหตุใดคนพวกนั้นก็มารับเขาแล้วล่ะ...
แม้จะจดจำบางสิ่งได้บางสิ่งมิได้ หากความรู้สึกของเขาบอกได้ว่ามันมีบางอย่างแปลกไป...สี่หนิงเหอขมวดคิ้วเข้าหากัน ด้วยในสมองมันช่างว่างเปล่า จนคิดไม่ออกว่าเรื่องที่รู้สึกว่าแปลกไปนั้นคือเรื่องใด คงมีทางเดียวให้เขาทำ นั่นก็คือการยอมรับและเตรียมตัวรับกับการเปลี่ยนแปลง พร้อมกับค้นหาคำตอบของมันให้กระจ่าง
“เสี่ยวฝาน ข้าถามเจ้าอีกครั้ง” ดูเหมือนว่าเขาคงจะเคยถามไปแล้ว แต่จำมันไม่ได้ “เจ้าจะไปกับข้าใช่หรือไม่” หากให้เขาไปคนเดียว...มันคงจะเป็นอะไรที่โหดร้ายที่สุด
“คุณชาย...คุณชายจะทิ้งข้าหรือขอรับ”
“เปล่านะ ที่ข้าถามเพราะต้องการให้แน่ใจ ว่าเราสองคนจะร่วมเดินทางไปด้วยกัน” ขนาดว่ามีเขาอยู่ บ่าวไพร่พวกนั้นยังคอยกลั่นแกล้งรังแกเสี่ยวฝานไม่เว้นแต่ละวัน ถ้าหากเขาไม่อยู่แล้ว พวกนั้นจะต้องรีบจัดการขายเสี่ยวฝานออกไปจากเรือน ไปเป็นบ่าวรับใช้ที่เรือนอื่นหรือไม่ก็ให้ไปเป็นทาสก็อาจเป็นไปได้
“ไปขอรับ...ข้าจะไปรับใช้คุณชาย” เสี่ยวฝานพูดเสียงสั่น ในดวงตามีน้ำตาเอ่อล้นคลอเบ้า
“ไม่ใช่หรอกเสี่ยวฝาน เราไปด้วยกัน เจ้าจะไม่ใช่บ่าวของข้า แต่เจ้าจะเป็นน้องชายของข้าและเป็นผู้ร่วมหุ้นของข้า เราจะไปสร้างชีวิตใหม่กัน” สี่หนิงเหอยิ้มให้เสี่ยวฝานที่อ้าปากค้างและกะพริบตาปริบ ๆ
“คุณชาย!”
“เจ้าไปบอกกับคนเหล่านั้นก่อน ข้าขอเวลาตระเตรียมข้าวของสักครึ่งชั่วยาม เจ้าก็เช่นกันนะเสี่ยวฝาน เก็บเอาไปเพียงแค่ของสำคัญที่พาได้ง่ายเท่านั้นและอย่าลืมที่ข้าเคยสั่งเอาไว้ เตรียมไปให้พร้อม เสร็จแล้วเราจะได้เดินทางไปสู่ชีวิตใหม่กัน”
จะเร็วหรือช้า เขาก็เลี่ยงไม่ได้ ยังไงก็ต้องไปอยู่ดี เร็วหน่อยก็ดีเหมือนกัน จะได้เร่งสร้างทางไปให้กับตัวเองได้เร็วขึ้น สี่หนิงเหอรู้ว่าหนทางข้างหน้านั้นไม่ได้ราบรื่นอย่างที่คิดหวังหรอกนะ แต่เขาก็จะไม่ย่อท้อ จะอดทน เพื่อทำในสิ่งที่หวังให้สำเร็จ เพื่อวันหนึ่งเมื่อมีพร้อมทุกอย่าง เขาจะกลับมาที่เรือนแห่งนี้...มาเพื่อทำให้คนที่นี่อิจฉาในความสำเร็จของเขา อิจฉาที่เขามีความสุขมาก และเขาก็จะรับท่านแม่ไปอยู่ด้วย
“เรากลัวได้ แต่อย่าให้ความกลัวอยู่เหนือสติ ข้ารู้...คนพวกนั้นจะต้องน่ากลัว แต่ถ้าเราไม่ทำสิ่งใดผิด พวกเขาจะไม่ทำอะไรเราและที่ซึ่งเรากำลังจะไป ถ้าเราทำตัวดี มันย่อมจะดีกว่าที่นี่แน่ ข้าจะทำให้เจ้าและตัวข้าพบเจอแต่สิ่งที่ดีแน่นอน...ข้าให้สัญญา!”
เสี่ยวฝานมองหน้าเขาและเมื่อเห็นใบหน้าที่เต็มไปด้วยความมุ่งมั่นของเขาก็เข้าใจและออกไปทำตามคำบอกของเขาอย่างรวดเร็ว ส่วนตัวเขาเอง...ข้าวของที่สำคัญที่จะพาติดตัวไปนั้นหามีไม่ คงจะมีเพียงแค่ความกล้า ความมุ่งมั่นและหัวใจเท่านั้นที่จักพกพาไปในการเดินทางครั้งนี้!
เพราะไม่มีของสำคัญอันใด สี่หนิงเหอก็เลยไม่ต้องเก็บ เพียงแค่ชำระล้างร่างกายแล้วเปลี่ยนอาภรณ์ชุดใหม่...ใหม่ของเขาแต่เก่าของผู้อื่นที่เขาเกือบจะให้บ่าวไพร่นำไปใช้ทำความสะอาดห้องหับเสียด้วยซ้ำ
สี่หนิงเหอสวมใส่อาภรณ์สีฟ้าเสร็จพอดีก็มีบุรุษผู้หนึ่งเดินเข้ามาในห้องโดยเขาไม่แม้แต่จะเอ่ยปากขออนุญาต แต่เขาก็ไม่คิดใส่ใจกับคนไร้มารยาท ทำเพียงแค่มองสบตากับบุรุษร่างใหญ่ในอาภรณ์สีดำสนิทที่มีหน้ากากสีดำปกปิดใบหน้าเอาไว้ขณะทรุดกายลงนั่งบนเก้าอี้และรินน้ำชามาดื่ม
ในเมื่อผู้ที่มาไม่พูด เขาก็ไม่คิดจะเอ่ยปากไต่ถาม แต่ในใจของสี่หนิงเหอนั้น...สั่นไปหมดแล้ว
“ขออภัยคุณชายที่ข้าบุกรุกเข้ามาโดยไม่ได้ขออนุญาต ข้าได้รับคำสั่งให้มานำข้าวของ...”
สายตาเข้มกวาดมองไปทั่วห้องเล็กของสี่หนิงเหอที่...ไร้หีบใส่ข้าวของ
อ๋อ...ลืมไป เขามีนี่น่า เป็นกล่องไม้แสนเก่าจนมองไม่ออกแล้วว่าบนฝากล่องสลักอะไรเอาไว้ มันอยู่ที่หัวเตียงนอนของเขา ซึ่งภายในบรรจุสิ่งใดเอาไว้ เขาก็ไม่รู้หรอก ไม่ใช่เพราะเขาไม่สนใจ แต่เพราะหมดปัญญาที่จะเปิดมันออก
“ข้าวของอันใดรึ แล้วท่านเป็นผู้ใดกัน” สี่หนิงเหอทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เอ่ยถามออกไป
“มิมีผู้ใดมาแจ้งคุณชายหรือขอรับ”
“ถ้ามีแล้วข้าจะถามท่านทำไมเล่า” เขาคิดว่าบุรุษตรงหน้ารู้ว่ากำลังถูกตีรวน หากบุรุษผู้นี้ก็ยังคงทำเฉย
“ข้าเป็นองครักษ์ที่ท่านอ๋องส่งมาคุ้มครองท่านขณะเดินทางเพื่อไปสมรสเป็นอนุภรรยาของพระองค์”
“อ๋อ...” สี่หนิงเหอพยักหน้ารับ แม้จะค่อนข้างแปลกในใจเป็นอย่างมาก ด้วยมีความทรงจำบางส่วนที่มันเลือนหายไปย้อนกลับเข้ามา ที่มันทำให้สี่หนิงเหอรู้ว่า ก่อนที่จะย้อนกลับมาแก้ไขอดีตของตัวเองนั้น ตอนที่เขาเดินทางไปเข้าพิธีกับคนผู้นั้น คนที่มารับข้าเป็นเพียงแค่พ่อบ้านวัยชราคนหนึ่ง รถม้าขนาดสามคนนั่งหนึ่งคันพร้อมกับคนบังคับและบ่าวไพร่อีกสองคนเท่านั้น การเดินทางที่ใช้เวลาร่วมครึ่งเดือนที่มันช่างราบรื่น...เป็นอย่างมาก
เขาประชด!
เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเพียงแค่ก้าวขาขึ้นบนรถม้าถูกพาออกจากเรือน ท้องฟ้าที่เคยโปร่งมีแสงอาทิตย์ส่องมารำไรกลับมืดครึ้มและฝนก็เทลงมา...ระหว่างการเดินทาง เริ่มแรกก็ถูกโจรดักปล้น...แต่ก็ไม่ได้ทรัพย์สินอันใดไป เพราะเขามิมีติดตัวไปเลย...สักชิ้น อ๋อ...มีสิ เป็นอาภรณ์เก่าสองสามชุดไว้ผลัดเปลี่ยนระหว่างการเดินทางกับอาหารอีกเล็กน้อยหลังพ้นจากโจรร้ายเขาเป็นไข้อย่างหนัก จนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้วซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้รับการรักษาจนหายอย่าง...น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนักอ๋อ...เขายังเจอกับสัตว์ร้ายด้วย ถูกมันทำร้ายจนเกือบจะกลายเป็นคนพิการด้วยซ้ำการเดินทางที่มันเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ นานา ชนิดที่ว่าสี่หนิงเหอก็สงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก มีกี่ชีวิตกันแน่ เหตุใดถึงยังคงรอดชีวิตไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นอยู่ได้ ตนเองโชคดีหรือว่าเคราะห์กรรมยังมิหมด จึงต้องไปพบเจอกับความตายที่โดดเดี่ยวและน่าสะพรึงกลัว“อ๋อ...มาคุมตัวข้าไปขึ้นเขียงนั่นเอง” สี่หนิงเหอพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้มีข้าวของอันใดที่สำคัญที่จะลำบากท่านองครักษ์ต้องช่วยขน”สี่หนิงเหอแอบเห็นท่านองครักษ์มองอย่างแปลกใจอ
เขาเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเหลือบมองไปแล้วเห็นใบหน้าสี่ฮูหยินเกือบจะเป็นสีเขียวสีเหลืองด้วยโมโหที่เขาตัดทางของนาง ก็แหม...จะเหตุผลอันใดก็ตามที่ทำให้สี่หนิงเหอผู้นี้ต้องไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้น เขามิสนใจและคิดหาคำตอบได้ แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลก็ตกอยู่ที่ตระกูลสี่ ตัวนางและบุตรของนางนี่น่า ซึ่งเขา...มิยอมหรอก ส่งไปตายครั้งหนึ่งแล้วยังจะคิดหาผลประโยชน์จากเขาอีกนะเหรอ อันนี้ยอมมิได้นะ อยากได้ก็จงหาทางเอาเองเถอะ!หือ...ทำไมเขาถึงคิดว่า...ได้ยินเสียงหัวเราะรู้เท่าทันจากบุรุษผู้นั้น...ที่มีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่นะ สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นมอง อยากจะถาม ท่านชื่อเรียงเสียงใดแล้วหัวเราะอันใด แต่...ไม่ล่ะ เขาขี้เกียจรู้และอยากรีบเดินทางออกจากที่นี่ด้วย บอกตามตรงว่าเขาตื่นเต้นจะแย่แล้ว อยากรีบออกไปจากเรือนนี้ อยากเร่งทำสินค้า อยากเร่งทำมาค้าขายให้เร็วที่สุด“ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว”อา...ใช่ สี่หนิงเหอแอบอมยิ้ม ด้วยเขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ นั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่อะไร ที่เขาสังเกต เพราะถ้าหากระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้น เขาจะได้เข้าหาคนที่ควรจะต้อ
“เอาไว้เราไปเริ่มต้นใหม่กันที่นั่นแล้วกัน” สี่หนิงเหอบอกกับเสี่ยวฝานที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนเขาต้องรีบยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน“ไม่ขี้แยสิ เป็นน้องชายข้า ต้องเข้มแข็ง เข้าใจไหม”“ขอครับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานพยักหน้ารับ ในดวงตาเหมือนกับนกน้อยที่หลงทางแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกับสุนัขที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของ“เจ้ามี...” หากสี่หนิงเหอยังพูดไม่ทันจะจบ หนึ่งในองครักษ์ก็นำกระบอกน้ำยื่นมาให้ เขาเลิกคิ้วขึ้นมอง“ข้าลืมไปว่าเดินทางมาไกล พวกเจ้าคงจะหิวและกระหาย นี่เป็นน้ำดื่ม ส่วนอาหาร...เจ้าจะไปทานไก่ย่างปลาย่างร่วมกับพวกข้าก็ได้นะ หรืออยากจะไปทำธุระส่วนตัวก็บอก”“ข้านึกว่าพวกท่านจะไม่รับรู้ว่ามีพวกข้าสองคนมาด้วยเสียอีก”สี่หนิงเหอหลุดปากประชดออกไป เพราะคนเหล่านี้เดินทางโดยไม่คิดสนใจคนร่วมทางเช่นเขากับเสี่ยวฝานเลยว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่คิดจะถามสักคำว่าเขาสองคนหิวหรือเปล่า เดินทางตั้งแต่ก่อนสายจวบจนพลบค่ำถึงได้หยุดพัก...ในป่าที่มันช่างเงียบและวังเวง นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครองเขาไปเข้าพิธีมงคลละก็...สี่หนิงเหออดที่จะคิดมิได้ว่า คนเหล่านี้มารับไปฆ่าทิ้งกลางป่าเสียด้วยซ้ำ“
“ลูกธนูกำลังจะฝังเข้าไปอยู่ในกายแล้ว ท่านคิดว่าข้าควรกลัวหรือไม่” สี่หนิงเหอถามอย่างเกรี้ยวกราด เสียดาย...เขามันพวกไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีสมองคิด มาตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะสายไปสักหน่อยที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เป็นไร มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดสายเกินการปรับตัวเรียนรู้ ให้เขารอดพ้นจากการร้ายคราวนี้เถอะ อะไรหรือสิ่งใดที่ควรจะต้องทำและที่เขาทำได้ เขาจะทำมันให้ทุกอย่างเลย“แต่เจ้าก็ยังปากดี”“หวังว่าคงจะไม่มีดีเพียงแค่ปาก”มันเหมือนกับเขาโดนตบปาก เพราะตอนนี้ตัวเขามิได้มีดีอันใดเลยจริง ๆ สี่หนิงเหอก็เลยได้แต่เจ็บใจ “ถึงข้าจะปากเสีย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใจดำเหมือนพวกท่าน คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ บอกว่ามาเป็นองครักษ์ปกป้องคุ้มครองข้า แต่ความจริงแล้วพวกท่านใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อพวกนั้นต่างหากเล่า”ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากใครบางคน ก็ทำให้สี่หนิงเหอยิ่งเจ็บใจและมีโทสะมากขึ้น คอยดูนะ เขาจะต้องเอาคืนคนพวกนี้ให้จงได้!“แล้วถ้าหากพวกข้าทำอย่างที่ท่านกล่าวมาจริง...ท่านจะทำอันใดพวกข้าหรือหนิงเกอ”“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องนายพวกเจ้า”เจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้าหลุดเส
“ข้าขออภัยด้วยที่คำถามของข้าทำให้ท่านองครักษ์รู้สึกไม่ดี” สี่หนิงเหอมองสบกับดวงตาคู่นั้น หวังว่ามันจะมีประกายที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่าอย่างน่าใจหายอา...ช่างเป็นคนที่โชคดีเสี่ยนี่กระไร สี่หนิงเหอเหยียดยิ้มให้กับโชคชะตาของตนเองที่ไม่เคยทำให้พานพบกับสิ่งที่ดีเลย“พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางไกลอีก เห็นทีข้าคงจะต้องขอตัวนอนพักผ่อน” เมื่อเห็นว่าคุยไปเขาก็มิได้รับรู้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ก็เลยเดินไปทรุดกายลงนอนใกล้กับเสี่ยวฝาน โดยรับรู้ว่ายังมีสายตาของซานเกอมองตามมาอยู่ แต่สี่หนิงเหอเลือกที่จะไม่สนใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาคิดมีเพียงแค่สิ่งเดียว...สินค้ารสเลิศล้ำที่ไม่ว่าผู้ได้ลิ้มรสแล้วจะมิอาจลืมได้ลง จะต้องเล่าขานไปไกลนับลี้ ต้องขวนขวายมาเพื่อจะได้ลิ้มรสและชื่อที่มันผุดขึ้นมา...ภูเขาตระห่านลำธารน้ำไหลเบื้องหน้ามีเหมันต์เคียงคู่…วาโยแผ่วพลิ้วพัดพากิ่งไผ่ไหวเอน เอื้อมมือคว้าวสันต์โปรยปราย...สี่หนิงเหอไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่ตนเองนอนยังไม่ทันจะหลับดีนั้น มีบางคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นคนใจดำและเย็นชา ไม่คิดจะสนใจความรู้สึกของคนอื่นนั้น มองมายังตัวเขานัยน์ตาแวววาว ก่อนจะเดินมา
เขาเนี่ยนะ...ท่านคิดอันใดของท่านขอรับซานเกอ สี่หนิงเหอส่ายศีรษะ “ท่านเข้าใจผิดเสียแล้วซานเกอ ข้าจะได้หาทางหลบหลีกการต่อยตีแย่งชิงจากพวกนางต่างหากเล่า ท่านมิรู้หรืออย่างไรกัน จะมีเรื่องกับคนมึนเมาหรือกับอันธพาลก็ได้ แต่ห้ามมีเรื่องและทำให้สตรีโกรธ เพราะนางสามารถทำทุกทางเพื่อให้ท่านรู้ว่าผิด จนสำนึกได้ก็เกือบจะสายเกินไปนะขอรับ”อย่างเช่นแม่นางสี่ซูเจียวนั่นไง นางแค้นฝั่งหุ่นมาก ตอนนั้นเขายังเป็นเด็กไง เพียงแค่สะดุดเท้าตัวเองแล้วล้มใส่นาง จนนางล้มหน้าไปกระแทกกับขอบโต๊ะ ทำให้นางเลือดไหลนิดเดียวเอง หลังจากนั้นนางก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อที่จะทำให้เขาบาดเจ็บจนเลือดออกเช่นกัน“อีกอย่างนะซานเกอ...ข้าขอบอกให้ท่านวางใจได้เลย ข้ามิปรารถนาจะเป็นอนุท่านอ๋องแม้แต่น้อย แต่เพราะมิหลีกเลี่ยงเรื่องที่เกิดขึ้นได้และข้าก็มิอาจทำให้คนที่เรือนข้าเดือดร้อนด้วย ดังนั้นสิ่งที่ควรทำคือไม่ควรพาตัวเองไปทำให้ท่านอ๋องโปรดปรานที่คงจะเป็นไปได้ยาก อาจจะกลายเป็นพาตนเองไปพบเจอกับความยุ่งยากและเดือนร้อนเสียมากกว่า หนทางที่ดีที่สุดคือ เมื่อถึงที่นั้นแล้ว ข้าขอเพียงแค่มีอาหารรสเลิศให้ทาน มีเตียงอุ่น ๆ ให้นอนหลับสบาย ข้าขอเพียง
“แล้วเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง บาดเจ็บตรงไหนหรือเปล่า” หรือที่ผ่านมาเขาจะปล่อยปละละเลยสี่หนิงเหอมากจนเกินไป“ก็แค่ถูกตีที่ศีรษะ...ไม่ได้บาดเจ็บอะไรมากมาย”คราแรกเขาเข้าใจว่าคนที่ลงมือจะเป็นคุณชายรอง หากเมื่อหวนคิดให้ดี...ฝีมือเช่นคุณชายรอง เรื่องที่จะทำให้เขาบาดเจ็บเช่นนี้คงจะเป็นไปมิได้แน่นอน อีกทั้ง...แม้จะโกรธเกลียดกันเพียงใด แต่คุณชายรองก็มิคิดทำร้ายสี่หนิงเหอให้ถึงแก่ความตายเป็นแน่หากมองว่าเป็นการกระทำของบ่าวไพร่คนอื่น ก็มิน่าจะเป็นไปได้ ด้วยว่าน้ำหนักมือที่ฟาดลงมานั้นมัน...พอดีเกินไป เหมือนกับต้องการจะให้สี่หนิงเหอคล้ายกับเจอเรื่องที่มิคาดคิด ไม่สมควรที่จะเกิดขึ้น หากมันก็เกิดขึ้น เขาก็เลยจบเห่...ลงตรงนั้น แต่คงจะผิดแผนไปหน่อย เพราะสี่หนิงเหอดัน...ได้รับพรจากสวรรค์ รอดชีวิตมาป่วนพวกเขาแทนอย่างไรเล่า และเมื่อรู้ว่าผู้ใดทำให้ตนเองบาดเจ็บเช่นนั้น แม้ว่าเขาจะไม่คิดแค้นเคือง แต่จะให้มิเอาคืนบ้าง มันย่อมเป็นไปมิได้ จึงต้องหาวิธีเพื่อจัดการ...เอาคืน!สี่หนิงเหอเบี่ยงศีรษะหนีมือที่ยื่นมาหมายจะจับศีรษะ “ท่านไม่ต้องเป็นห่วงข้าหรอกซานเกอ ข้าเป็นหัวแข็งนะ ให้ตีอีกหลายสิบครั้งก็มิเป็นอันใดหรอก”ร
“ข้าว่า...อย่างเจ้าคงมิยอม” สี่หนิงเหอใช้ชีวิตอยู่ในเรือนแห่งนั้นเยี่ยงไรกันแน่ คนเหล่านั้นมิดูดำดูดีเลยหรืออย่างไรกันสี่หนิงเหอหัวเราะเริงร่า “ใช่แล้วซานเกอ ท่านเก่งจังเลยที่ล่วงรู้ ในเมื่อพวกเขามินำมาให้ข้าทาน...ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไปทานเองที่โรงครัวมันเสียเลย หากก็ทำบ่อยมิได้นะขอรับ มิเช่นนั้นจะถูกคุณหนูใหญ่ซูเจียวกับคุณชายรองจับได้และลงโทษเอา นี่ข้าบอกท่านเป็นคนแรกเลยนะซานเกอ ข้าเคยสับเปลี่ยนเมนูอาหารให้สองคนนั้นด้วย ข้าจำได้ว่าวันนั้นคุณหนูใหญ่และคุณชายรองปวดท้องหนักกันหลายรอบเลยขอรับ”เป็นเพราะตัวเขาเผอิญโชคดีไปเจอกับใครบางคนเข้า เขาผู้นั้นให้เจว๋หมิงจื่อ[1] พร้อมกับบอกกล่าวแก่เขาว่า...คุณชายรองถ่ายหนักมิค่อยได้มิใช่หรือไร ท่านก็เอาสิ่งนี้ให้ทานสิ“เจ้าไม่กลัวว่าจะถูกจับได้หรือไร”“บอกท่านตามตรงนะขอรับ...ตอนทำข้ามีแต่ความโมโห จนพอทำลงไปแล้วเสร็จนั่นแหละ กลัวจนต้องหลบซ่อนตัวอยู่แต่ในห้องนอน...ซานเกอ ท่านรับปากข้าสักเรื่องได้หรือไม่”“ถ้าไม่ยากลำบากมากเกินไปกว่าผู้น้อยอย่างข้าจะสามารถทำให้ท่านได้นะขอรับ”“แหม...ไม่ยากหรอกซานเกอ ข้าเพียงแค่ขอให้ได้กินอิ่มนอนหลับเท่านั้นเองขอรับ” ส่วนเ
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.