ในดวงตากลมใสแวววาวมองมาที่เขาด้วยความเสียใจอย่างที่สุดที่ไม่อาจช่วยเหลืออันใดเขาได้
สี่หนิงเหอได้แต่เหยียดยิ้ม ถึงเป็นบุตรของนายท่านเหวินหม่า หากก็เป็นเพียงแค่ลูกเมียบ่าวที่ถูกทุกคนในบ้านรังเกียจจนถูกขับไล่ให้มาอยู่ยังเรือนหลังเล็กที่ทรุดโทรม หากเจอลมฝนฟ้าแรงสักหน่อยก็คงจะพังทลายลง
“บอกข้ามาเถิดเสี่ยวฝานข้าไม่เป็นอันใดหรอก” เพราะความรู้สึกที่มีต่อคนที่อยู่ในเรือนหลังนี้...มันมีแต่ความเจ็บปวดจนชินชาไปหมดแล้ว
“โธ่! คุณชายของบ่าว” เสี่ยวฝานหลั่งน้ำตากับความอาภัพของผู้เป็นนาย มือเล็กยกขึ้นปาดน้ำตาบนใบหน้า ขณะเอ่ยเล่าให้ผู้เป็นนายฟังน้ำเสียงแผ่วเบาและตะกุกตะกัก
“บ่าวไปพบคุณชายนอนสลบอยู่ที่สวนใต้ต้นกุ้ยฮวา[1] จึงพากลับมาที่ห้องแล้วไปตามท่านหมอมารักษา แต่...” ไม่มีใครสนใจเลยว่าคุณชายของเสี่ยวฝานจะอยู่หรือจากไป พวกเขาช่างใจดำเหลือเกิน
สี่หนิงเหอพยักหน้ารับ ขณะดวงตาก็เหม่อมองออกไปนอกเรือนที่อาศัยหลับนอน บาดเจ็บครานี้เขาลืมเลือนไปหลายเรื่อง หากเสียงหนึ่งที่คอยตอกย้ำอยู่ในศีรษะ
เมื่อได้ย้อนกลับมา เขาจะเปลี่ยนแปลงชีวิตความเป็นอยู่ของตนเองให้ดีขึ้น...
โชคชะตาอยู่ที่ตัวเรากำหนด หาใช่คนอื่นไม่ หากยอมแพ้ก็เหมือนกับคนที่ตายไปแล้ว ชีวิตจะอยู่ยืนยาวนานแค่ไหน สู้และเปลี่ยนแปลง ก็จะรู้ด้วยตัวเอง!
“คุณชายนอนหลับไปสามวันเต็ม ๆ บ่าว...บ่าว...” เสี่ยวฝานพูดไม่ออก เขาไปตามท่านหมอให้มาดูคุณชาย แต่กลับถูกบ่าวรับใช้ของฮูหยินและคุณหนูขัดขวาง เขาทำได้เพียงแค่เช็ดเลือด หาผ้ามาพันไว้และคอยเช็ดตัวให้คุณชายที่นอนไม่ไหวติง มีเพียงแค่ลมหายใจแผ่วเบาเท่านั้นที่บอกว่ายังคงมีชีวิตอยู่
“เสี่ยวฝาน”
“ขอรับคุณชาย”
“ข้ายังต้องออกจากที่นี่ไปที่นั่นอยู่หรือไม่”
“ไป...ไปขอรับ”
“ยังเหลือเวลาที่ข้าจะอยู่ที่นี่อีกนานเท่าใด” เขาเอ่ยถามอย่างไม่รู้สึกเสียใจหรือน้อยใจแต่อย่างใด ที่ผ่านมาเขามิอยากไปที่นั่นเลย หากมิใช่ครั้งนี้ เพราะการไปที่นั่นในครั้งนี้ จะเท่ากับการเริ่มต้นชีวิตใหม่ของเขา!
“แต่ช่างเถอะ จะมีเวลาเหลือเท่าไหร่ อย่างไรก็เปลี่ยนแปลงสิ่งใดมิได้ เจ้าช่วยเตรียมน้ำให้ข้าสักหน่อยเถิด ข้าอยากชำระล้างร่างกายเสียหน่อย”
“แต่...”
“มิเป็นไร ข้ามีสิ่งที่ต้องทำก่อนที่จะต้องไปจากที่นี่ ถ้าหากชักช้าไปคงไม่ทันการณ์” เขาบอกกับเสี่ยวฝานที่ออกอาการไม่ค่อยอยากจะทำตามสักเท่าใด
“เชื่อคำพูดของข้าเถอะเสี่ยวฝาน หลังจากนี้ไป ข้าจะทำตัวใหม่ เพื่อทำให้ข้าและเจ้ามีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ข้าจะไม่ทำตัวอ่อนแอให้เป็นปัญหาอีกแล้ว ข้าให้สัญญา” เขายิ้มให้กับบ่าวรับใช้ที่ติดตามดูแลกันมาตั้งแต่ยังเป็นเด็กน้อย แม้มีโอกาสได้ไปยังยังที่ซึ่งดีกว่านี้ หากเสี่ยวฝานก็ยังเลือกที่จะอยู่ดูแลเขา คนที่กตัญญูรู้คุณและเป็นคนดีเช่นนี้ เขาจะปล่อยให้ตกระกำลำบากได้อย่างไรกันเล่า
“ขอรับคุณชาย”
เมื่อเสี่ยวฝานกระวีกระวาดไปทำตามคำขอของเขาแล้ว สี่หนิงเหอก็พยุงตนเองที่ค่อนข้างจะไร้เรี่ยวแรงขึ้นจากเตียงนอนเก่าที่ผุพังจนแทบจะใช้นอนไม่ได้แล้วไปเตรียมตัวชำระล้างร่างกายเพื่อจะไปคุยธุระอันสำคัญยิ่งกับผู้เป็นนายหญิง...ฮูหยินสี่อิงเหม่ย!
“ขอฮูหยินโปรดอภัยที่ข้าน้อยมารบกวนท่านยามกำลังพักผ่อนขอรับ” สี่หนิงเหอประสานมือพร้อมโค้งคำนับให้แก่หญิงวัยกลางคนที่ปรายสายตาเกรี้ยวกราดมองมา
“ในเมื่อรู้ว่ามารบกวนก็รีบไสหัวกลับไปเสียสิ มาทางไหนก็กลับไปทางนั้นเลย”
คนกล่าวเป็นหญิงร่างบอบบาง ใบหน้าคิ้วคางช่างรับกันอย่างเหมาะเจาะกับเรียวปากอิ่ม รูปกายภายนอกของนางช่างงดงามประหนึ่งนางฟ้า หากวาจากลับ...น่าเสียดายยิ่งนัก สี่หนิงเหอแอบถอนหายใจ
“ข้าน้อยขออภัยคุณหนูใหญ่ด้วยขอรับ แต่การณ์นี้ถ้าหากมิได้มาบอกกล่าวให้กับฮูหยินได้จัดการแก้ไขอย่างเร็วไว คงมิทันท่วงทีขอรับ” สี่หนิงเหอยังคงแสดงท่าทางมิรู้ร้อนรู้หนาว
ฮูหยิงสี่อิงเหม่ยวางถ้วยชาในมือลงอย่างแรง “เจ้าจะมากล่าวโทษข้า เรื่องที่เจ้าบาดเจ็บแล้วข้ามิให้คนไปตามหมอมารักษา”
“เปล่า...เปล่าขอรับฮูหยิน ข้าน้อยมาด้วยเรื่องอื่นขอรับ” จะไม่รีบได้อย่างไรกันเล่า ก็เขามาหาความสบายให้กับตัวเองและหาทางออกให้กับตัวเองยามเมื่อต้องจากเรือนนี้ไปอย่างไรกันเล่า
“ถ้าไม่ใช่มาต่อว่าข้ากับท่านแม่ แล้วเจ้ามาด้วยเรื่องอันใด”
“น่าจะยังเหลือเวลาอีกหลายวันที่ข้าจะต้องจากเรือนหลังนี้ไป แต่เพราะข้าได้รับบาดเจ็บ มันทำให้ข้าได้คิดขอรับ...ตัวข้าเองก็เติบโตมาในเรือนแห่งนี้ แม้ไม่ใช่บุตรในอุทร หากท่านฮูหยินก็ดูแลข้าเป็นอย่างดี” ดีกับผีนะสิ รังแกเสียจนเขาเกือบจะกลับบ้านเก่าเสียตั้งหลายครั้งหลายครา ถ้าไม่ใช่ว่าเขาเป็นคนดวงแข็ง คงไม่อยู่มาจนถึงตอนนี้หรอก
“เจ้าจะว่ากล่าวอันใดก็รีบพูดมา”
“ถึงแม้ว่าข้าจะไม่ใช่บุตรที่สามารถเชิดชูได้ หากแต่ก็ถือว่าเป็นบุตรของนายท่านเหวินหม่า”
“เจ้าต้องการพูดอะไรกันแน่”
คุณหนูใหญ่ ท่านช่างเป็นคนที่ใจร้อนเสียจริง
“แม้ข้าจะต้องไปเป็นเพียงแค่อนุภรรยาแก่ท่านผู้นั้น” แม่ง! นี่มันบ้าเกินไปแล้ว เขาเป็นบุรุษ ทำไมต้องไปอนุภรรยาให้กับบุรุษเช่นกันด้วย “แต่ตัวข้าควรจะต้องมีความรู้ติดตัวไปบ้างหรือไม่ขอรับ” ตัวเขาแค่พออ่านออกเขียนได้ และมิไม่ได้คล่องแคล่วแตกฉานอันใด ก่อนไปก็ควรจะต้องศึกษาเพิ่มเติมเอาไว้…ให้มากที่สุด
“แต่เจ้าก็อ่านออกเขียนได้”
“ใช่ขอรับ คุณหนูใหญ่กล่าวมิผิด หากท่านคิดว่าการที่ข้าอ่านและเขียนได้เฉพาะชื่อของตนเองจะไม่เป็นปัญหาหรือขอรับ” เขารีบไถ่ถามให้คุณหนูใหญ่และท่านฮูหยินได้คิด ชี้แนะมากไปย่อมทำให้ถูกสงสัย แต่หากกล่าวแบบ...กึ่งกล้ากึ่งกลัว ย่อมทำให้สองแม่ลูกเกิดความสงสัยและสนใจ...ได้อยู่
“เจ้าประเมินตัวเองสูงเกินไปหรือเปล่า แค่ฝึกอ่านเขียนแค่วันสองวันคงไม่ทำให้เจ้าฉลาดขึ้นหรอกนะ”
สี่หนิงเหอได้แต่ยิ้ม...คนไม่รู้ ย่อมไม่ผิด แต่คนที่ไม่คิดจะใฝ่รู้ต่างหากเล่า ที่ผิด สำหรับตัวเขานั้น ถ้าหากแสดงออกว่าอ่านออกเขียนได้มากเกินกว่าที่ได้เรียนรู้ คนฉลาดเช่นฮูหยินสี่อิงเหม่ยหรือจะไม่สงสัย เขาถึงได้พูดกันว่า ทำอันใดควรจะเหลือทางไว้อีกสาย ถ้าหากพลาดพลั้ง จะได้มีทางออกให้กับเรื่องที่ทำ แต่นั่นก็จะต้องหมายถึง เรื่องที่ทำไม่ร้ายแรงจนไม่อาจจะให้อภัยได้
“ขอบคุณที่คุณหนูใหญ่เป็นห่วงข้าขอรับ ข้าเข้าใจในความกังวลของคุณหนูใหญ่เป็นอย่างดี แม้เวลาที่ได้ร่ำเรียนจะไม่กี่วัน สิ่งที่ได้จะมากหรือน้อยก็คงจะต้องขึ้นอยู่กับความสามารถ สมองทึมทื่อที่ตัวข้ามีแล้ว แต่ข้าจะทำให้ดีที่สุด จะไม่ให้คุณหนูใหญ่ผิดหวังและขายหน้าเป็นเด็ดขาดขอรับ”
“ฮึ!”
[1] ต้นหอมหมื่นลี้
เมื่อเห็นว่าสี่ซูเจียวไม่อาจจะโต้ตอบกลับมาได้และฮูหยินก็เพียงแค่มองมาอย่างไม่สนใจหากแต่ก็รับฟัง มันก็ทำให้เขากล้าที่จะเอ่ยในเรื่องต่อไป“ตัวข้าเพิ่งฟื้นจากไข้ ควรจะต้องได้รับอาหารที่ดีและมีประโยชน์กับร่างกายบ้าง”“เจ้าจะหาว่าท่านแม่ดูแลเจ้าไม่ดี ไม่ได้รับความยุติธรรมเช่นนั้นหรือ”เสียงของสี่ซูเจียวทำให้เขาปวดศีรษะยิ่งนัก น่าจะมีใครสักคนหาอะไรมาอุดปากนางเอาไว้บ้างนะ หากเขาก็ทำได้เพียงแค่คิดเท่านั้น“ปะ...เปล่าขอรับคุณหนูใหญ่ ท่านตีความในคำพูดของข้าน้อยผิดไปเสียแล้วขอรับ...คุณหนูใหญ่ดูข้าสิขอรับ” เขายื่นมือที่เล็กราวกับเด็กอมโรคไปให้กับคุณหนูใหญ่ดู“ที่นี่ทุกคนล้วนแล้วแต่มีงานต้องทำ ไม่มีใครสนใจใคร แต่หากไปที่นั่น...คนที่นั่นเห็นข้าเป็นแบบนี้ก็คงจะตกใจเป็นยิ่งนัก อาจคิดไปได้ว่าเราเล่นตลกหลอกลวง จะกล่าวอ้างว่าไม่สบาย เพิ่งฟื้นจากป่วยไข้ก็ฟังดูจะไร้เหตุผล ไม่น่าเชื่อถืออยู่ดี ถ้าหากทางนั้นคิดว่าทางเราส่งใครก็ไม่รู้ ไม่ได้เป็นอะไรกับท่านฮูหยินและนายท่านเหวินหม่าไป...หรือไม่ขอรับ” เขารู้ว่าฮูหยินเป็นคนฉลาด ย่อมฟังความต้องการของเขาออก แต่แล้วอย่างไรเล่า สิ่งที่เขาได้กล่าวออกไป มิมีสิ่งใดมิถู
โว้ย! ใครมันช่างกลั่นแกล้งเขากันเนี่ย เอาความทรงจำเขาคืนมานะนึกสิ...นึกให้ออกสี่หนิงเหอ เจ้าต้องทำเรื่องใดกันแน่!“คุณชายขอรับ”“หือ...มีอันใดรึเสี่ยวฝาน” สี่หนิงเหอหยุดคิดถึงเรื่องที่จะให้เสี่ยวฝานไปทำชั่วคราว ก่อนจะก้มลงมองบ่าวข้างกายที่คิดไม่ตกว่าควรจะบอกกล่าวสิ่งที่ได้รับรู้มาให้รู้หรือไม่ แต่ถ้าให้คาดเดา ก็คงจะเกี่ยวเนื่องกับเรื่องอาการบาดเจ็บของตัวเขานั่นแหละ ถ้าให้คาดเดาเพิ่มเติม...คนที่ทำร้ายเขานั่นก็คงจะไม่พ้น...“คุณชายรองรู้เรื่องที่คุณชายฟื้นแล้วนะขอรับ”นั่นไง...ที่เขาคิดเอาไว้ไม่มีผิด เพราะลำพังเพียงบ่าวไพร่ ถึงเขาจะมิใช่บุตรที่รัก ออกจะเป็นที่ชังก็ตาม แต่อย่างไรก็เป็นบุตรชายของเจ้าของเรือนนี้ อย่างไรก็มิมีใครกล้าที่จะทำร้ายเขาจนถึงขั้นเลือดตกยางออกหรอกนะ ถึงจะอยากเอาใจผู้เป็นนายก็ตามเถอะสี่หนิงเหอได้แต่หัวเราะ ความทรงจำข้าผุดขึ้นมาว่า...เคยถูกบ่าวไพร่และก็คุณชายรองทำร้ายมาหลายครั้งมาก เอาเรื่องไปฟ้องฮูหยินและนายท่านแล้ว ก็พูดทำนองว่า...เดี๋ยวจะจัดการตักเตือนให้ หรือไม่ก็...ทำไมชอบทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ แค่เล่นกันในหมู่พี่น้องไม่ใช่รึ บาดเจ็บนิดหน่อย จะเป็นอะไ
สี่หนิงเหอหลับตาลง...ยังไงท่านแม่ก็รักเขาแหละ ท่านต้องช่วยเขาและมันก็ใช่!ใช่แล้ว! ถ้าเป็นสิ่งนั้น เขาทำได้และสามารถทำได้ดีด้วย ทรัพย์สินอันน้อยนิดที่ฮูหยินสี่อิงเหม่ยกับนายท่านเหวินหม่าให้เขาติดตัวไป ย่อมเพียงพอให้เขานำไปใช้ในการลงทุนทำการค้าได้“ขอบคุณขอรับท่านแม่” สี่หนิงเหอคลี่ยิ้มอย่างดีใจเป็นที่สุดเมื่อคิดได้แล้วว่าจะทำการค้าอันใด เขายังสามารถทำการทดลองก่อนเปิดตลาดได้ด้วย รับรองได้ว่าจะต้องมีคนสนใจสั่งของกับเขาอย่างมากมายแน่นอน!ว่าแต่...ควรลองทำดูก่อนดีไหมนะ เผื่อเวลาที่มันผ่านมาเนิ่นนาน ฝีมือเขาอาจจะตกไปบ้าง ทว่ายังไม่ทันจะได้ลุกขึ้นเพื่อไปจัดหาวัตถุดิบที่ต้องใช้ เขาก็จำเป็นต้องหยุดคิดไปก่อนเมื่อเสี่ยวฝานวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา ใบหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อโชกฉายแววตื่นตระหนกและขลาดกลัว“คุณชาย...คุณชายขอรับ แย่แล้วขอรับ”“ใจเย็น ๆ เสี่ยวฝาน มีเรื่องอันใดก็ค่อย ๆ พูด ไม่ต้องรีบร้อน” สี่หนิงเหอรินน้ำชาส่งให้เสี่ยวฝานดื่ม พลางยื่นมือไปลูบหลังให้ เมื่อเสี่ยวฝานรีบร้อนจนเกินไปทำให้สำลักน้ำชา“คนพวกนั้นขอรับคุณชาย...คนพวกนั้น” เสี่ยวฝานชี้มือออกไปนอกห้อง มันทำให้สี่หนิงเหอเริ่มรู้สึกไ
เขาน่าจะรู้ตัวตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว เพราะเพียงแค่ก้าวขาขึ้นบนรถม้าถูกพาออกจากเรือน ท้องฟ้าที่เคยโปร่งมีแสงอาทิตย์ส่องมารำไรกลับมืดครึ้มและฝนก็เทลงมา...ระหว่างการเดินทาง เริ่มแรกก็ถูกโจรดักปล้น...แต่ก็ไม่ได้ทรัพย์สินอันใดไป เพราะเขามิมีติดตัวไปเลย...สักชิ้น อ๋อ...มีสิ เป็นอาภรณ์เก่าสองสามชุดไว้ผลัดเปลี่ยนระหว่างการเดินทางกับอาหารอีกเล็กน้อยหลังพ้นจากโจรร้ายเขาเป็นไข้อย่างหนัก จนคิดว่าอาจจะไม่รอดแล้วซ้ำ แต่สุดท้ายก็ได้รับการรักษาจนหายอย่าง...น่าอัศจรรย์เป็นยิ่งนักอ๋อ...เขายังเจอกับสัตว์ร้ายด้วย ถูกมันทำร้ายจนเกือบจะกลายเป็นคนพิการด้วยซ้ำการเดินทางที่มันเต็มไปด้วยขวากหนามต่าง ๆ นานา ชนิดที่ว่าสี่หนิงเหอก็สงสัยตัวเองเป็นยิ่งนัก มีกี่ชีวิตกันแน่ เหตุใดถึงยังคงรอดชีวิตไปเป็นอนุภรรยาของคนผู้นั้นอยู่ได้ ตนเองโชคดีหรือว่าเคราะห์กรรมยังมิหมด จึงต้องไปพบเจอกับความตายที่โดดเดี่ยวและน่าสะพรึงกลัว“อ๋อ...มาคุมตัวข้าไปขึ้นเขียงนั่นเอง” สี่หนิงเหอพยักหน้า “ถ้าเช่นนั้นก็ไปกันเถอะ เพราะตัวข้าเองก็ไม่ได้มีข้าวของอันใดที่สำคัญที่จะลำบากท่านองครักษ์ต้องช่วยขน”สี่หนิงเหอแอบเห็นท่านองครักษ์มองอย่างแปลกใจอ
เขาเกือบจะหลุดเสียงหัวเราะออกมา เมื่อเหลือบมองไปแล้วเห็นใบหน้าสี่ฮูหยินเกือบจะเป็นสีเขียวสีเหลืองด้วยโมโหที่เขาตัดทางของนาง ก็แหม...จะเหตุผลอันใดก็ตามที่ทำให้สี่หนิงเหอผู้นี้ต้องไปเป็นอนุภรรยาของบุรุษผู้นั้น เขามิสนใจและคิดหาคำตอบได้ แต่ผลประโยชน์อันมหาศาลก็ตกอยู่ที่ตระกูลสี่ ตัวนางและบุตรของนางนี่น่า ซึ่งเขา...มิยอมหรอก ส่งไปตายครั้งหนึ่งแล้วยังจะคิดหาผลประโยชน์จากเขาอีกนะเหรอ อันนี้ยอมมิได้นะ อยากได้ก็จงหาทางเอาเองเถอะ!หือ...ทำไมเขาถึงคิดว่า...ได้ยินเสียงหัวเราะรู้เท่าทันจากบุรุษผู้นั้น...ที่มีหน้ากากเงินปกปิดใบหน้าอยู่นะ สี่หนิงเหอเลิกคิ้วขึ้นมอง อยากจะถาม ท่านชื่อเรียงเสียงใดแล้วหัวเราะอันใด แต่...ไม่ล่ะ เขาขี้เกียจรู้และอยากรีบเดินทางออกจากที่นี่ด้วย บอกตามตรงว่าเขาตื่นเต้นจะแย่แล้ว อยากรีบออกไปจากเรือนนี้ อยากเร่งทำสินค้า อยากเร่งทำมาค้าขายให้เร็วที่สุด“ถ้าเช่นนั้นก็ออกเดินทางได้แล้ว”อา...ใช่ สี่หนิงเหอแอบอมยิ้ม ด้วยเขาคาดเดาไม่ผิดจริง ๆ นั่นแหละ ท่านผู้นั้นเป็นหัวหน้าจริง ๆ นั่นแหละ ไม่ใช่อะไร ที่เขาสังเกต เพราะถ้าหากระหว่างการเดินทางเกิดอันใดขึ้น เขาจะได้เข้าหาคนที่ควรจะต้อ
“เอาไว้เราไปเริ่มต้นใหม่กันที่นั่นแล้วกัน” สี่หนิงเหอบอกกับเสี่ยวฝานที่รู้สึกผิดจนร้องไห้ไม่ยอมหยุดจนเขาต้องรีบยื่นมือไปเช็ดน้ำตาให้อย่างอ่อนโยน“ไม่ขี้แยสิ เป็นน้องชายข้า ต้องเข้มแข็ง เข้าใจไหม”“ขอครับหนิงเกอ” เสี่ยวฝานพยักหน้ารับ ในดวงตาเหมือนกับนกน้อยที่หลงทางแต่ขณะเดียวกันก็เหมือนกับสุนัขที่ซื่อสัตย์กับเจ้าของ“เจ้ามี...” หากสี่หนิงเหอยังพูดไม่ทันจะจบ หนึ่งในองครักษ์ก็นำกระบอกน้ำยื่นมาให้ เขาเลิกคิ้วขึ้นมอง“ข้าลืมไปว่าเดินทางมาไกล พวกเจ้าคงจะหิวและกระหาย นี่เป็นน้ำดื่ม ส่วนอาหาร...เจ้าจะไปทานไก่ย่างปลาย่างร่วมกับพวกข้าก็ได้นะ หรืออยากจะไปทำธุระส่วนตัวก็บอก”“ข้านึกว่าพวกท่านจะไม่รับรู้ว่ามีพวกข้าสองคนมาด้วยเสียอีก”สี่หนิงเหอหลุดปากประชดออกไป เพราะคนเหล่านี้เดินทางโดยไม่คิดสนใจคนร่วมทางเช่นเขากับเสี่ยวฝานเลยว่าจะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน ไม่คิดจะถามสักคำว่าเขาสองคนหิวหรือเปล่า เดินทางตั้งแต่ก่อนสายจวบจนพลบค่ำถึงได้หยุดพัก...ในป่าที่มันช่างเงียบและวังเวง นี่ถ้าไม่บอกว่าเป็นองครักษ์มาคุ้มครองเขาไปเข้าพิธีมงคลละก็...สี่หนิงเหออดที่จะคิดมิได้ว่า คนเหล่านี้มารับไปฆ่าทิ้งกลางป่าเสียด้วยซ้ำ“
“ลูกธนูกำลังจะฝังเข้าไปอยู่ในกายแล้ว ท่านคิดว่าข้าควรกลัวหรือไม่” สี่หนิงเหอถามอย่างเกรี้ยวกราด เสียดาย...เขามันพวกไม่เกิดเรื่องก็ไม่มีสมองคิด มาตอนนี้เลยรู้สึกว่ามันค่อนข้างจะสายไปสักหน่อยที่จะเรียนวรยุทธ์ แต่ไม่เป็นไร มีคนเคยกล่าวเอาไว้ว่า ไม่มีสิ่งใดสายเกินการปรับตัวเรียนรู้ ให้เขารอดพ้นจากการร้ายคราวนี้เถอะ อะไรหรือสิ่งใดที่ควรจะต้องทำและที่เขาทำได้ เขาจะทำมันให้ทุกอย่างเลย“แต่เจ้าก็ยังปากดี”“หวังว่าคงจะไม่มีดีเพียงแค่ปาก”มันเหมือนกับเขาโดนตบปาก เพราะตอนนี้ตัวเขามิได้มีดีอันใดเลยจริง ๆ สี่หนิงเหอก็เลยได้แต่เจ็บใจ “ถึงข้าจะปากเสีย แต่อย่างน้อยก็ไม่ได้ใจดำเหมือนพวกท่าน คิดหรือว่าข้าไม่รู้ว่าพวกท่านกำลังทำสิ่งใดอยู่ บอกว่ามาเป็นองครักษ์ปกป้องคุ้มครองข้า แต่ความจริงแล้วพวกท่านใช้ข้าเป็นเหยื่อล่อพวกนั้นต่างหากเล่า”ยิ่งได้ยินเสียงหัวเราะที่ดังมาจากใครบางคน ก็ทำให้สี่หนิงเหอยิ่งเจ็บใจและมีโทสะมากขึ้น คอยดูนะ เขาจะต้องเอาคืนคนพวกนี้ให้จงได้!“แล้วถ้าหากพวกข้าทำอย่างที่ท่านกล่าวมาจริง...ท่านจะทำอันใดพวกข้าหรือหนิงเกอ”“ข้าจะนำเรื่องนี้ไปฟ้องนายพวกเจ้า”เจ้าองครักษ์ที่เป็นหัวหน้าหลุดเส
“ข้าขออภัยด้วยที่คำถามของข้าทำให้ท่านองครักษ์รู้สึกไม่ดี” สี่หนิงเหอมองสบกับดวงตาคู่นั้น หวังว่ามันจะมีประกายที่ทำให้รู้สึกดีขึ้นบ้าง แต่ก็พบเพียงแค่ความว่างเปล่าอย่างน่าใจหายอา...ช่างเป็นคนที่โชคดีเสี่ยนี่กระไร สี่หนิงเหอเหยียดยิ้มให้กับโชคชะตาของตนเองที่ไม่เคยทำให้พานพบกับสิ่งที่ดีเลย“พรุ่งนี้ยังต้องเดินทางไกลอีก เห็นทีข้าคงจะต้องขอตัวนอนพักผ่อน” เมื่อเห็นว่าคุยไปเขาก็มิได้รับรู้สิ่งใดที่เป็นประโยชน์ ก็เลยเดินไปทรุดกายลงนอนใกล้กับเสี่ยวฝาน โดยรับรู้ว่ายังมีสายตาของซานเกอมองตามมาอยู่ แต่สี่หนิงเหอเลือกที่จะไม่สนใจ เพราะตอนนี้สิ่งที่เขาคิดมีเพียงแค่สิ่งเดียว...สินค้ารสเลิศล้ำที่ไม่ว่าผู้ได้ลิ้มรสแล้วจะมิอาจลืมได้ลง จะต้องเล่าขานไปไกลนับลี้ ต้องขวนขวายมาเพื่อจะได้ลิ้มรสและชื่อที่มันผุดขึ้นมา...ภูเขาตระห่านลำธารน้ำไหลเบื้องหน้ามีเหมันต์เคียงคู่…วาโยแผ่วพลิ้วพัดพากิ่งไผ่ไหวเอน เอื้อมมือคว้าวสันต์โปรยปราย...สี่หนิงเหอไม่รู้ตัวเลยว่าขณะที่ตนเองนอนยังไม่ทันจะหลับดีนั้น มีบางคนที่เขาเข้าใจว่าเป็นคนใจดำและเย็นชา ไม่คิดจะสนใจความรู้สึกของคนอื่นนั้น มองมายังตัวเขานัยน์ตาแวววาว ก่อนจะเดินมา
“เจ้านี่ช่าง...” แม้กระทั่งท่านพี่เองก็หลุดเสียงหัวเราะออกมาเช่นกัน “ให้ท่านพ่อกอดและหอมท่านแม่ดีกว่า จากนั้นเราก็ไปอาบน้ำกัน พ่อจะพาเจ้ากับแม่ไปเล่นกับหลิ่นกวาง” ท่านพี่หมายถึงบุตรของพี่ใหญ่กับพี่ห้า “เสี่ยวเป่าและฉีเทียน”“ซินหลิงกับหย่งอี้มาหรือขอรับ” สี่หนิงเหอไต่ถามด้วยความกังวลใจ ด้วยว่าครั้งล่าสุดที่ซินหลิงมาได้นำข่าวมิดีจากภายนอกมาให้รู้ด้วย บอกให้พวกเราระวังตัวให้ดี กาลเวลาทำให้เรื่องทุกอย่างมันเงียบไปก็จริง หากแต่เราก็ยังไว้วางใจสิ่งใดมิได้ ยังต้องคอยระมัดระวังตนเองอยู่เสมอ“มิได้มีเรื่องร้ายแรงอันใดหรอกหนิงเหอ แค่ซินหลิงกับหย่งอี้บอกว่า เสี่ยวเป่าคิดถึงเจ้าก้อนแป้งน้อย รบเร้าจะมาเล่นกับน้องเท่านั้นเอง”สี่หนิงเหอมองสบสายตากับท่านพี่ก่อนถอนหายใจอย่างโล่งอก “ท่านป้าหย่งอี้นำขนมอร่อย ๆ มาให้เจ้าเยอะแยะเลยด้วย”“ท่านแม่...หอม”เขารู้ว่าเจ้าชอบขนม แต่ลูกจ๋า...เจ้าจะทำเช่นนี้มิได้นะ หากสี่หนิงเหอก็มิได้กล่าวอันใดออกไปรีบทำตามความต้องการของเจ้าก้อนแป้งน้อย เขย่งเท้าขึ้นหอมแก้มท่านพี่ที่รีบหันหน้ามาหาและประกบจูบกับเขาโดยที่คราวนี้เจ้าก้อนแป้งน้อยมิได้ขัดขวางแม้แต่อย่างใด“คืนนี้เ
“ท่านพี่ดีใจหรือเปล่าขอรับที่เราจะ...” น้ำเสียงของสี่หนิงเหอที่เปล่งออกไปคงจะเบามาก เขาดีใจที่มีเจ้าก้อนแป้งน้อย หากท่านพี่...“คิดมาก...เจ้าเป็นคนคิดมากเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน” อี้เฟยเทียนกดนวดคลึงหน้าผากสี่หนิงเหอแผ่วเบา “สิ่งที่เกิดขึ้นคือสวรรค์ประทานมาให้เรา ข้าควรจะต้องขอบคุณเจ้ามากกว่า ข้าดีใจจน...กล่าวอันใดมิถูกแล้ว”ท่านพี่จับปลายคางเขาให้เงยหน้าขึ้นแล้วโน้มใบหน้าตนเองลงมาแนบปากลงบนปากเขา ขบกัดบดคลึงอย่างแผ่วและอ่อนโยน“ข้าจะทำให้เจ้ารู้ว่าดีใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหน”น้ำเสียงนุ่มทุ้มแผ่วเบาหากอ่อนโยนมาพร้อมกับจูบที่เว้าวอน“รักเจ้ามากเพียงใด”ทุกอย่างรางเลือนเพราะสัมผัสของท่านพี่ที่ตั้งใจบอกให้สี่หนิงเหอล่วงรู้ถึงความดีใจกับเรื่องที่ได้รู้และความรักที่มอบให้...สี่หนิงเหอหลุดเสียงหัวเราะออกมาอย่างหักห้ามไว้มิได้เมื่อเห็นเจ้าก้อนแป้งน้อยพยายามสาวเท้าก้าวเดินไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้า ล้มลุกคลุกคลานไปบ้างหากก็มิได้ย่อท้อเลยและยังจะแสดงออกให้ข้าเห็นว่ามีความสุขกับสิ่งที่เกิดขึ้นมากแค่ไหนอี้หยุนเล่อเป็นนามแท้จริงของเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ก่อนถือกำเนิดสร้างวีรกรรมเอาไว้อย่างมากม
สี่หนิงเหอได้แต่อ้าปากค้าง รีบคว้าแขนเจ้าก้อนแป้งน้อยที่ออกอาการน้อยอกน้อยใจจนถอยหลังไปยืนอยู่ห่างไกลจากมือข้า“ไม่! ข้ามิได้คิดเช่นนั้นนะก้อนแป้งน้อย ข้า...”“หนิงเหอ”แผ่นดินไหวเหรอ ทำไมแผ่นดินถึงได้ไหวรุนแรงเช่นนี้ แล้วก้อนแป้งน้อยของเขาล่ะ หายไปไหนแล้ว สี่หนิงเหอรีบร้องเรียก หากรอบกาย มิว่ามองไปทางใดก็เต็มไปด้วยหมอกขาวโพลน‘ลูกข้า...ลูกข้าหายไปแล้ว เจ้าก้อนแป้งของข้า เจ้าหายไปไหน’“เกิดอันใดขึ้นหนิงเหอ เจ้าร้องไห้ทำไม”ที่สี่หนิงเหอเข้าใจว่าแผ่นดินไหว ที่แท้จริงแล้วคือท่านพี่กำลังเขย่าปลุกให้เขาตื่น“เกิดอันใดขึ้นขอรับท่านพี่” สี่หนิงเหอถามพลางยกมือขึ้นขยี้ดวงตาหากก็ถูกมือของท่านพี่จับเอาไว้พร้อมกับกดซับ...น้ำตาที่เขามิรู้เลยว่ามันไหลออกไปตั้งแต่เมื่อใด“ข้าควรถามเจ้ามากกว่าหนิงเหอ เกิดอันใดขึ้น ร้องไห้ด้วยเหตุใด”สี่หนิงเหอได้แต่มองอี้เฟยเทียนด้วยความงุนงง“เจ้าฝันร้ายหรือ ถึงได้นอนดิ้นรนราวกับถูกรัดเช่นนี้ แล้วยังจะเอ่ยวาจาบางอย่างออกมา...หากข้าก็จับใจความมิถูก”ตอนแรกเขาก็มีโทสะเล็กน้อยที่ท่านพี่ทำให้เขาต้องตื่นจากฝันที่ดี...หากเมื่อเห็นความรักและห่วงใย ความวิตกกังวลที่มีอยู่ใน
“ข้าจะรอวันนั้นขอรับ...ท่านที่”“มิคิดเลยว่าการถูกเจียวหานหลงทำร้ายในวันนั้น จะกลายเป็นผลดีกับข้าในวันนี้” สี่หนิงเหอเอ่ยเสียงเบาพลางยกมือขึ้นสัมผัสอกตรงส่วนที่เคยถูกกระบี่ปักลงไป บาดแผลแม้จะหาย...แทบมิเหลือร่องรอยให้เห็นอีกแล้ว หากก็ยังทำให้เขายังคงรู้สึกหายใจติด ๆ ขัด ๆ อยู่ มันคงเป็นความรู้สึกที่คงจะลบเลือนมิได้ง่าย ๆ เป็นแน่ หากว่าเรื่องราวเลวร้ายเหล่านั้นได้ผ่านพ้นไปแล้ว เขาก็ต้องวางความรู้สึกมิดีนั้นทิ้งไป มิเช่นนั้นคนที่รักเขาอย่างท่านพี่คิดมากและมิมีความสุขไปด้วยสี่หนิงเหอหันไปคลี่ยิ้มหวานให้กับคนที่เขารัก คนที่คอยอยู่เคียงข้างแม้ในวันที่ยังมิรู้เลยว่าเขาจะตื่นขึ้นมาหรือไม่ ความเจ็บปวดในวันนั้นเขาจะชดเชยให้ท่านพี่ด้วยความรักทั้งหมดที่มี“ข้ายังมิอยากกลับเรือนเลย ท่านพี่พาข้าเที่ยวก่อนได้ไหมขอรับ”สี่หนิงเหอยกมือลูบท้องตนเองให้ท่านพี่รู้ว่า...ที่พาเที่ยวนั้นหมายถึงให้พาไปทานของอร่อย ๆ ทั้งที่ความจริงแล้วเมื่อเช้าเขาได้ทานอาหารฝีมือท่านพี่ที่อร่อยมากมาแล้ว หากตอนนี้ท้องเขามันก็เริ่มส่งเสียงประท้วงให้รีบหาอาหารรสเลิศมาเติมโดยเร็ว“หือ...หิวอีกแล้ว”เมื่อท่านพี่เลิกคิ้วไต่ถาม สี่
“ข้ามีเรื่องอยากจะคุยกับท่านพี่” หากปล่อยเวลานานไปก็กลัวจะลืม หากคนที่จดจำเช่นท่านพี่คงจะต้องทุกข์ระทมเป็นแน่ “ท่านมีเรื่องอยากจะไต่ถามข้ามิใช่หรือขอรับ...ที่ท่านมีสีหน้าเคร่งเครียดอย่างคนคิดหนัก บางครั้งก็เหม่อลอย ข้าเรียกท่านก็ยังมิรู้ตัวเลยด้วย” ยามค่ำคืนที่ควรจะพักผ่อน หากท่านพี่กลับนอนพลิกไปพลิกมา“คิดว่าที่ท่านกังวลใจอยู่จะต้องเกี่ยวกับข้า” ความจริงแล้วอยากจะให้ตนเองดีขึ้นกว่านี้จึงจะไต่ถามให้รู้ หากคิดว่าปล่อยนานไปท่านพี่จะมิมีความสุข จึงรีบจัดการให้รู้เสียก่อนจะเป็นการดีกว่าเขาเห็นท่านพี่ยังคงครุ่นคิดอยู่ จึงวางมือทับลงไปบนมือใหญ่ “มีเรื่องอันใดเราควรคุยกันนะขอรับ หากข้าทำสิ่งใดผิดไป หรือทำให้ท่านมิพึงพอใจ ข้าจะได้ปรับปรุงตนเองอย่างไรละขอรับ”“เปล่า...เจ้ามิได้ทำสิ่งผิดหรือทำสิ่งใดมิดี หากว่าข้า...”เมื่อเห็นท่านพี่เงียบไป สี่หนิงเหอก็สอดนิ้วเข้าไประหว่างนิ้วแกร่ง เพื่อบอกให้ท่านพี่รู้ว่า...เขายังอยู่ตรงนี้มิได้ไปไหน“ข้าคิดว่าเจ้าคงจะพอใจแล้วที่พวกเรามีบ้านหลังเล็ก ๆ ปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ หากข้าได้ยินเสี่ยวฝานเอ่ยกับเจ้าตอนที่ยังมิฟื้น ทวงสัญญาว่าเจ้าจะทำการค้า จะพากันเดินทา
“เจ้าฟื้นแล้ว แม้ข้าอยากจะบอกว่าดีใจแค่ไหน น้อยใจที่เจ้าปล่อยให้คอยนาน หากเจ้าพักผ่อนอีกหน่อย เจ้าดีขึ้นเมื่อไหร่เราค่อยมาคุยกัน...เจ้าคงมีหลายเรื่องที่อยากรู้”สองมือที่แนบทับตรึงใบหน้าเขาเอาไว้เพื่อให้เห็นว่าในสายตาคู่นั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความรักและห่วงใยอย่างที่มิอาจกล่าววาจาใดออกมาได้ ก่อนท่านอ๋อง...ท่านพี่จะโน้มใบหน้าลงมาแนบปากลงบนหน้าผากสี่หนิงเหอ“คิดถึง...คิดถึงที่สุดเลย”เพื่อให้มั่นใจว่าสี่หนิงเหอได้ฟื้นแล้วจริง ๆ ท่านอ๋องยังคงกอดเขาเอาไว้แนบอกครู่ใหญ่ ก่อนจะตะโกนบอกทุกคนที่ต่างทำภารกิจของตนเองให้รู้ หลังจากนั้นเขาก็จำมิได้ว่ามันเกิดอันใดขึ้นบ้าง รับรู้เพียงแค่ความดีใจระคนโล่งอกที่เห็นว่าตัวเขาฟื้นขึ้นมา พร้อมบอกกล่าวให้รู้ในหลายเรื่อง แย่งกันบอกจนเขาฟังมิทัน หากจับคำได้ว่าพี่สามมีคนรักที่อยากจะมีข่าวดีในเร็ววัน พี่ใหญ่กำลังมีน้อง เรื่องดี ๆ ที่ทำให้สี่หนิงเหอหัวเราะด้วยความยินดีกับความสุขที่ได้ฟื้นมาอีกครั้งเท่านั้น“ทำไมถึงยังมินอน”สี่หนิงเหอเงยหน้าที่มีรอยยิ้มขึ้นมองคนถามที่ลากไล้นิ้วบนใบหน้าของเขา “สงสัยว่าจะนอนมากเกินไปนะขอรับ...ท่านพี่” กล่าวคำนี้ทีไร ใจมันเต้นรัวเร็ว
“คาดเดาไปก็มิอาจรู้ได้ว่าเกิดเหตุใดขึ้น อาจจะเป็นเพราะเจ้าต้องอยู่กับความตายที่รายล้อมมาตั้งแต่ยังมิเกิด แม้กระทั่งคลอดมาออกมาแล้วเจ้าก็ยังต้องเผชิญหน้ากับความตายอยู่บ่อยครั้ง...มันก็อาจจะเป็นไปได้”หากยามนี้กับครั้งนั้นมันต่างกันอยู่มิใช่หรืออย่างไร ยามนี้แม้เขาอยากจะตื่นไปหาท่านอ๋องและทุกคนแค่ไหน หากก็มิมีเรี่ยวแรงพอที่จะทำ ถึงได้นั่งเจ็บปวดใจอยู่เช่นนี้อย่างไรเล่า“การได้เจอข้า...มิทำให้เจ้าคิดได้หรืออย่างไรกัน”“หมายความว่า...ท่านจะช่วยให้ข้าออกไปจากที่นี่...ไปพบกับท่านอ๋องและทุกคนได้จริง ๆ ใช่ไหม”“แล้วเจ้าคิดว่าอย่างไรเล่า”“ทำไมท่านถึงได้ช่วยข้าเล่า” หากคิดทบทวนเรื่องที่ผ่านมา คิดว่าชายชราตรงหน้าคงจะได้ทำการช่วยเหลือเขามาหลายครั้งแล้ว มาในครั้งนี้สี่หนิงเหอก็อดที่จะสงสัยมิได้ เหตุใดถึงได้ช่วยเขาไว้มากมายเช่นนี้ “หรือเพราะข้าเป็นลูกหลานราชามังกร ท่านถึงตัดสินใจช่วยข้า” เป็นไปได้หรืออย่างไรกันที่จะช่วยโดยมิหวังสิ่งตอบแทนในภายหลัง“อย่าถามหาเหตุผลที่แม้แต่ตัวข้าก็มิอาจรู้ได้ หากเมื่อได้ช่วยแล้วก็ย่อมจะต้องช่วยให้ถึงที่สุดก็เท่านั้น”แม้ความอยากรู้จะมีล้นอก หากก็ต้องยอมรับว่าบางเรื
ก็พอจะรู้อยู่แล้วว่าหนานไป๋มิใช่คนที่จะเพลี่ยงพล้ำต่อผู้ใดง่ายดาย หากก็มิคิดว่าจะเป็นขุนพลระดับปรมาจารย์ทางด้านบุ๋นได้ดีถึงขนาดนี้ วางแผนการไว้อย่างรัดกุม สามารถจัดการกับผู้ที่เคยทำร้ายครอบครัวของตนเองพร้อมกับกำจัดขวากหนามของหวงโฮว่ในคราวเดียวกัน หากจะคิดว่าที่ทำลงไปเพื่อปูทางให้กับลูกหลานของตนเองได้ขึ้นเป็นใหญ่ในอนาคต หากความเป็นจริงแล้ว เมื่อเสร็จเรื่องของคนตระกูลเจียวคนในตระกูลหนานต่างก็พร้อมใจกันลาออกจากราชการและรีบเดินทางออกจากเมืองหลวงอย่างเร่งด่วน แม้กระทั่งเจ้าหรานเสียนเฟยก็พาตัวเองไปอยู่อารามชี ส่วนบุตรก็เลือกที่จะหันหน้าเข้าหาพระธรรม “ใช่...เป็นอย่างที่เจ้าคิดนั่นแหละ ผู้ที่จัดการเรื่องเหล่านี้ก็คือตระกูลหนาน...หนานไป๋และหนานเฟยรั่ว”ที่หนานเฟยรั่วเคยกล่าวไว้นั้น เป็นความจริงเพียงครึ่งเดียวเท่านั้น ด้วยว่านางและผู้เป็นบิดาได้รับคำสั่งมาให้ปกปิดร่องรอยที่เกี่ยวกับขุมทรัพย์ทั้งหมด พวกเขาจึงต้องสุมไฟและระเบิดปากถ้ำปิดทางเพื่อมิให้พวกเราออกไปได้ มันยิ่งทำให้เฟยเทียนรู้ว่าพวกเรายิ่งต้องปกปิดตัวตน...จะต้องมิให้ผู้ใดล่วงรู้ว่าพวกเรายังคงมีชีวิตอยู่ แม้ว่านั่นจะหมายถึงการต้องเปลี
“เจ้าจะนอนไปถึงเมื่อไหร่กันหนิงเหอ มิคิดถึงข้าหรืออย่างไร” เฟยเทียนกล่าวทักทายคนบนเตียงนอนที่นับรวมถึงวันนั้นจวบจนวันนี้ก็ร่วมสามเดือนแล้วที่หนิงเหอบาดเจ็บจนเกือบเอาชีวิตมิรอด จะเรียกเช่นนั้นก็คงมิได้ เรียกว่าจากไปแล้วหากถูกยื้อชีวิตมาจากเส้นแบ่งเขตของความตายจะง่ายกว่ากระบี่ที่ปักอก...เลือดที่ไหลรินจนสายน้ำย้อมด้วยสีแดง มันทำให้หัวใจของเขาเหมือนกับถูกควักออกมาขยี้เล่น มิรู้เหมือนกันว่าพลังมันมาจากไหน รู้เพียงแค่ใครที่ทำร้ายคนของเขา...คนที่เขารัก มันจะต้องถูกกำจัดทิ้ง!บางคนที่รู้ว่าตนเองนั้นเก่งและฉลาดหลักแหลมจนเกิดหลงตัวเองจนกลายเป็นกับไว้ดักตนเองเช่นสองเจียวหานหลง ที่คิดว่าตนเองนั้นวรยุทธ์สูงจนมิมีใครจะต่อกรได้ อย่างไรก็อยู่เหนือผู้อื่น หากบางสิ่งบางอย่างมันมิใช่ว่าตนเองจะเป็นฝ่ายควบคุมได้ ยังมีสถานการณ์ที่อยู่รายรอบเป็นตัวกำหนดด้วย...ดังเช่นสองเจียวหานหลงซึ่งถูกสิ่งนี้กำหนดโชคชะตาของตนเองให้ต้องพบกับจุดจบอย่างที่คาดมิถึง…นอกถ้ำ...มียอดฝีมือรอคอยอยู่พร้อมกับกองกำลังทหารที่มิอาจคาดเดาได้ว่ามีจำนวนเท่าไหร่ หากต้องการรอดพ้นไปจากถ้ำที่กำลังถล่ม รวมถึงได้ทุกสิ่งทุกอย่างที่ตนเองปรารถนา.