พอนางกลับมาท่านลุงท่านน้าก็อยากจะเลี้ยงฉลองให้ เพราะไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากันมานานแล้ว เย็นวันนั้นจึงได้กินอาหารมื้อใหญ่กัน ฐานะของพวกเขาไม่ได้เหมือนเดิมอีกต่อไป การจะซื้อเนื้อมากหน่อยไม่ใช่ปัญหาเลย“ไปเมืองหลวงเป็นอย่างไรบ้างล่ะ” ชิวย่าหนานถามบุตรสาวด้วยความใคร่รู้พวกเขาไม่เคยไปไหนไกลเกินเมืองหนึ่ง และไปก็ไม่เคยได้เที่ยวสบายใจ ไปทำงานแล้วก็กลับ ไม่ได้มีความรู้สึกสุนทรีต่อโลกใบนี้สถานะไม่เอื้ออำนวยให้ทำเช่นนั้น เมื่อบุตรสาวไปห่างไกลจึงอยากรู้ว่า นางพบเจอสิ่งใดมาบ้าง“เจอของจากต่างถิ่นมากมายเลยละเจ้าค่ะ เพราะเป็นเมืองศูนย์กลางก่อนกระจายสินค้าไปยังเมืองอื่น รอบ ๆ วังก็สวยมากด้วย”ถ้าไม่นับรวมกับที่ทำเรื่องแบบนั้นใส่อาจารย์ของข้า วังหลวงก็เป็นสถานที่ที่ชมได้เต็มปากกว่านี้อยู่หรอกนางใช้ตะเกียบคีบอาหารใส่ปากไปพลางเล่าเรื่องที่พบเจอสลับกัน แต่ไม่ได้เล่าว่าเจอสหายอย่างหลี่เจิ้นหัวด้วย“สามเดือนจากนี้ข้ากับซือหยวนจะเดินทางนะเจ้าคะ” ไหน ๆ อยู่กันพร้อมหน้าแล้วนางก็จะบอกตอนนี้ให้จบกันไป“เดินทางไปไหนอย่างนั้นหรือ” ผู้เป็นบิดารู้สึกเป็นห่วงบุตรสาว ตั้งแต่ออกเดินทางไปกับหมอเทวดาเมื่อคราวก
ได้ยินคำถามน้องชายของนางก็เลิกคิ้ว “ท่านพี่จะมาไม้ไหนอีก”“ทำอย่างกับข้าไม่เคยซื้อของให้เจ้าไปได้” นางหยิกแก้มน้องชายด้วยความเอ็นดูไปที“ปกติท่านพี่ตระหนี่จะตาย ไม่สิ ถ้าจะพูดให้ถูกคือพวกเรามีเงินจำกัดถึงได้ต้องคิดแล้วคิดอีกก่อนจะซื้ออะไร แล้วมันก็เป็นเงินของท่านด้วย”“ตอนนี้ข้ามีเงินเยอะแล้ว ถ้าอยากได้อะไรก็บอกข้าได้ตลอดนะ” นางผ่านช่วงเวลาทั้งหมดมาได้เพราะมีเขาอยู่ข้าง ๆ เพราะมีเขาจึงได้ไม่เหงา ถ้าไม่มีฉินซือหยวนนางคงผ่านวันเวลาอันยากลำบากด้วยความทรมานกว่านี้แน่“ตอนนี้ข้ายังไม่มีอะไรอยากได้เป็นพิเศษ แต่ถ้ามีข้าจะบอกท่านแน่นอน”กว่าจะถึงกำหนดเดินทางพวกเขาก็ยังมีเวลาเตรียมตัวอีกมาก ฉินหลิวซีนับจำนวนสมุนไพรทั้งหมดที่เหลืออยู่ในร้าน หากของใกล้จะหมดคลังแล้วนางก็จะเติมเอาไว้ให้และเผื่อสำรองล่วงหน้า เผื่อว่าเป็นการเดินทางที่ยาวนาน อะไรที่หาไม่ได้ง่าย ๆ นางก็จะเอาไว้ให้มากหน่อย อะไรที่พอซื้อหาแลกเปลี่ยนกันได้นางก็จะบอกเกณฑ์ราคาที่รับและจ่ายออกไปโอสถที่ปรุงไว้ก่อนไปเมืองหลวงยังเหลืออยู่เยอะเลยนะ แต่เดินทางไปกับอาจารย์ครั้งนี้ไม่รู้จะได้กลับมาเมื่อไหร่ ทำเพิ่มอีกหน่อยดีกว่าฉินหลิวซีปรุงโอสถ
เวลาสามเดือนที่รอคอยมาถึงอย่างรวดเร็ว นางมัวแต่ทำนั่นทำนี่รู้ตัวอีกทีก็ถึงกำหนดการเดินทางแล้ว ฉินหลิวซีเรียกผู้ติดตามทั้งสองของนางเข้ามาพบ“นายหญิงน้อยมีเรื่องจะสั่งหรือขอรับ”“ระหว่างที่ข้าไม่อยู่มีเรื่องจะไหว้วานพวกเจ้า เพราะข้าเชื่อใจจึงได้ฝากฝัง หลังจากที่ข้าออกเดินทาง ความปลอดภัยของคนในครอบครัวต้องฝากพวกเจ้าดูแล”อาเซียวอาซานรู้อยู่ว่านายหญิงต้องเดินทางตั้งแต่วันที่บังเอิญเจอกับผู้อาวุโสครั้งนั้นแล้ว ตนก็นึกสงสัยอยู่ว่านายหญิงน้อยจะให้ติดตามไปด้วยหรือไม่“นายหญิงน้อยโปรดวางใจ พวกข้าจะทำให้ดีที่สุด”“ถึงมาพูดเอาป่านนี้จะไม่มีประโยชน์เพราะข้าวางใจพวกเจ้าไปแล้ว แต่ก็ฝากเตือนทุกคนเอาไว้ด้วยว่า หากทรยศข้าขึ้นมา ไม่จบแค่ความตายแน่”“พวกข้าน้อยทราบดี และซาบซึ้งในบุญคุณของนายหญิงน้อยยิ่งนัก จะสอดส่องดูแลให้ทั่วถึงขอรับ”พวกเขารับปากเป็นมั่นเป็นเหมาะถึงขนาดนี้นางก็วางใจไปได้พอสมควร คำเตือนก็ส่งให้แล้วจะปฏิบัติอย่างไรก็แล้วแต่พวกเขาอาเซียวอาซานเปลี่ยนเจ้านายมาหลายคน พอหมดประโยชน์ด้านใช้แรงงานก็ขายต่อ บางครั้งตลาดค้าทาสก็เป็นที่ซื้อขายแรงงานชั่วคราว แต่ก็ต้องทำใจไว้ด้วยว่าบางกรณีอาจต้องเป
“เราไม่ต้องรีบร้อน อย่างไรก็ถึงตามกำหนดการ” นางเผื่อเวลาเอาไว้แล้วเรื่องนี้จึงไม่ต้องห่วง หรือต่อให้มีเหตุทำให้คลาดเคลื่อนไปจริง อาจารย์ของนางก็ต้องรอแน่“หรืออย่างไรดี วันนี้อยากลองค้างในป่าดูหรือไม่”ฉินซือหยวนใช้เวลาทบทวนไม่นานเขาก็พยักหน้าทันที สายตาของเด็กชายบ่งบอกว่าเขาตื่นเต้นมากตอนอยู่กับอาจารย์ก็นับว่ามีผู้ใหญ่คอยดูแล ตอนอยู่กับท่านพ่อท่านแม่ก็มีพวกเขาคอยหุงหาอาหารให้ ที่ผ่านมาอาศัยพักนอนโรงเตี๊ยมตลอด ตอนนี้สองพี่น้องเดินทางกันลำพัง อะไรต่อมิอะไรต้องทำด้วยตัวเองหมด“เอาสิ ๆ ต้องสนุกมากแน่เลย”“เจ้าเด็กคนนี้ เราไม่ได้มาเที่ยวเล่นกันนะ” ฉินหลิวซีอดไม่ได้ที่จะบีบแก้มน้องชายด้วยความมันเขี้ยวในเมื่อน้องของนางไม่ได้ว่าอะไร และเต็มใจมากด้วยซ้ำ วันนี้ทั้งสองคนจึงตัดสินใจค้างกลางป่าพวกเขาเดินไปจนพบแม่น้ำสายหนึ่งซึ่งมองเห็นกำแพงเมืองข้างหน้าจากตรงนี้ พรุ่งนี้เดินทางต่อไม่ถึงหนึ่งก้านธูปก็คงถึงเมืองแล้ว เลือกสถานที่แห่งนี้พักแรมชั่วคราวครั้งแรกกันสองคนก็ไม่เลว ถ้ามีเหตุฉุกเฉินหรือเรื่องสุดวิสัยอะไรเกิดขึ้นก็ยังหนีเข้าเมืองทันแม่น้ำที่พวกเขาเลือกอยู่ใกล้กับต้นน้ำมากจึงไม่ต้องห่วงเรื
ซุนเป่ยฉีหัวเราะเบา ๆ กล่าวเสริมลูกศิษย์ตัวน้อยของตนว่า “อีกทั้งโดนทุบตีก็เอาผิดหรือฟ้องใครไม่ได้ด้วย”“ชีวิตก็เป็นเช่นนี้เจ้าค่ะ”“ข้าชักสงสัยอายุของเจ้าแล้วนะเนี่ย ตอนนี้สิบสองขวบจริงรึ?”“ย่างสิบสองเจ้าค่ะ” นางยิ้มต่อผู้เป็นอาจารย์ เป็นรอยยิ้มที่ทำให้หมอเทวดาไม่ต้องการจะถามต่ออีกหมอเทวดาสัมผัสถึงตัวตนของลูกศิษย์ทั้งสองได้ตั้งแต่ที่พวกเขามาอยู่ใกล้ ๆ แต่เลือกที่จะค้างแรมอยู่ข้างนอก คิดว่าคงเดินทางมาที่นี่ในตอนรุ่งสาง เขาจึงค่อยออกไปรอรับที่หน้าประตูเมืองเพราะถูกชะตาจึงได้รับเด็กคนนี้มาเป็นศิษย์ ทั้งเขาและนางดูเหมือนจะมีความลับมากมายที่ไม่ต้องการให้ใครรู้“ท่านอาจารย์จะพาพวกข้าไปพบใครหรือขอรับ” ฉินซือหยวนเอ่ยถามเสียงเจื้อยแจ้ว เห็นทั้งพี่สาวและอาจารย์เงียบมาตลอดทางจนรู้สึกอึดอัดเขาจึงหาเรื่องชวนคุยพวกเขาออกจากเมืองมาได้ระยะหนึ่งหนึ่งอาจารย์ก็พาทั้งคู่ขึ้นเขา บรรยากาศเงียบสงบเกินกว่าจะเป็นป่าที่ชาวบ้านเข้ามาหาของประทังชีวิต มันแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัดฉินหลิวซีค่อนข้างชอบบรรยากาศเช่นนี้ มันดูเงียบสงบและทำให้นางผ่อนคลาย นางสามารถอยู่ที่แบบนี้ได้ทั้งวันโดยไม่เบื่อ“คนที่ข้ากำลังจะพา
ฉินหลิวซีหันกลับไปมองอาจารย์ทันทีที่ได้ยิน ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะสนิทสนมกันถึงขนาดนี้จะพูดจากันแบบนี้ได้ พวกเขาคงจะคบหากันมายาวนานมาก ต่อหน้าลูกศิษย์ทั้งสามคนยังไม่รักษาชื่อเสียงกันก็คงไว้ใจพวกตนระดับหนึ่ง“ไม่ได้พบหน้าเจ้ามาเกือบสิบปีได้กระมัง โผล่มาคราวนี้ต้องการอะไรล่ะ” ท่านเจ้าสำนักเอ่ยถามด้วยท่าทีเป็นกันเอง“เจ้าตัวน้อยนั่น ข้าอยากมาฝากให้เป็นศิษย์สำนักเจ้า” ซุนเป่ยฉีชี้ไปยังเจ้าตัวน้อยที่หลบอยู่หลังพี่สาวขณะที่ผู้อาวุโสทั้งสองกำลังคุยกัน ฉินหลิวซีรู้สึกสนใจสถานการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นกับตัวเองมากกว่า ฉินซือหยวนเห็นเด็กทั้งสองที่โตกว่ากำลังมองหน้ากันนิ่งก็รู้สึกสนใจขึ้นมา เขาคลับคล้ายคลับคลาว่ารู้จักคนผู้นี้ แต่นึกไม่ออกว่าเคยเจอที่ใด“ใครหรือท่านพี่” เห็นท่าทางของพี่สาว เขาก็เดาว่าต้องมีความเกี่ยวข้องกันบางอย่าง ฉินหลิวซีดันหลังน้องชายออกมายืนข้างหน้า“จำหลี่เจิ้นหัวได้หรือไม่ พี่ชายที่เคยเล่นกับเจ้าเมื่อวัยเด็ก”ฉินซือหยวนนึกออกทันที เขาจำได้แล้ว ไม่นึกเลยว่าอีกฝ่ายจะเติบโตขึ้นถึงขนาดนี้“ไง ซือหยวนน้อย” หลี่เจิ้นหัวเอ่ยทักทาย น้องชายที่ติดเขาแจในวันนั้นก็เติบโตขึ้นมากเช่นเดียวกัน
ฉินหลิวซีลังเลอยู่ว่า ตนจะอยู่ที่นี่กับน้องชายหรือกลับไปเพียงลำพังดี เพราะอาจารย์ไม่ได้บอกอะไรนางเลย ทำให้ฉินหลิวซีรู้สึกเป็นกังวล ถ้าต้องทิ้งน้องไว้ที่นี่นางก็คงรู้สึกเหงามาก ๆ กว่าเขาจะเรียนจบหลักสูตรไม่รู้ต้องใช้เวลากี่ปี“ไม่ ๆ ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปทันทีแน่” หมอเทวดายังไม่ทันตอบลูกศิษย์ สหายของเขาก็ขัดขึ้นก่อน“ไม่อะไรกันล่ะ ไหนว่าจะให้ค้างคืนเดียวอย่างไรเล่า”“เอาน่า ๆ สามวันหลังจากนี้จะมีงานประลองกับสามสำนัก พวกเจ้าอยู่จนถึงตอนนั้นไม่ดีกว่าหรือ”“เจ้าก็รู้ว่าข้าเกลียดความวุ่นวาย” ซุนเป่ยฉีเดาะลิ้น มองเจ้าสำนักเว่ยด้วยหางตาดูท่าว่าสองคนนี้จะสนิทกันกว่าที่นางคิดไว้มากทีเดียวห้องพักที่จัดมารับรองพวกนางไม่ดีไม่แย่ ไม่หรูหราแต่ก็ไม่ซอมซ่อ เรียกว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่รับได้ ห้องที่ใหญ่และดูดีกว่านี้ต้องเตรียมเอาไว้ให้ผู้อาวุโสจากสำนักอื่นพักกัน จึงไม่อาจใช้รับรองนางกับอาจารย์ได้ ฉินหลิวซีไม่เรื่องมากกับเรื่องที่หลับนอน นางนอนกลางป่ามาจนชินแล้ว แต่สำหรับสตรีการมีห้องส่วนตัวย่อมดีกว่าฉินซือหยวนถูกพาไปดูห้องพักของตัวเอง หลังจากนี้เขาต้องใช้ชีวิตเป็นศิษย์คนหนึ่งของสำนักนี้ ต้องรีบคุ้นเค
“เอาเป็นว่าข้ารับรู้แล้ว จะไปไหนก็ตามใจเจ้าเถอะ แล้วก็ห้ามบอกใครด้วยว่าข้าอยู่นี่”เด็กหญิงรับปากแล้วหมุนตัวกลับ นางเดินออกจากเรือนรับรองของตัวเองไปอย่างไร้จุดหมายถึงจะบอกเขาว่า ขอออกมาข้างนอกก็ตาม แต่นางยังไม่รู้เลยว่าที่ไหนเป็นที่ไหนฉินหลิวซีเดินเตร็ดเตร่ใจลอยไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีทิวทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย“ที่นี่เป็นเขตที่พักของศิษย์สำนัก เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร”ฉินหลิวซีหันไปตามเสียงเรียกทางด้านหลังก็พบเข้ากับกลุ่มเด็กหนุ่มที่น่าจะโตกว่านางสองสามปี“ขออภัย ข้าพึ่งมาถึงเมื่อวาน ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นเขตที่พักของคนใน”“หืม เด็กผู้หญิงหรอกหรือ”ฉินหลิวซีย่นคิวด้วยความไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน หนึ่งในนั้นที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นหัวโจกประจำกลุ่มลูบคางหลังจากนางหันมาจนมองเห็นหน้าได้ชัดเจนถ้าเป็นเมื่อก่อน นางคงซัดเจ้าพวกนี้ล้มโดยที่ยังไม่ได้ปริปากด้วยซ้ำ แค่ทำสายตาแบบนั้นใส่ก็อย่าหวังเลยว่าจะยังยืนอยู่ได้ แต่ตอนนี้สถานะของนางต่างออกไป อีกทั้งยังมีน้องชายที่ต้องอาศัยอยู่กินและร่ำเรียนที่นี่ นางจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้เป็นอันขาด“หน้าตาน่ารักไม่เบาเลยนี่
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด