ฉินหลิวซีลังเลอยู่ว่า ตนจะอยู่ที่นี่กับน้องชายหรือกลับไปเพียงลำพังดี เพราะอาจารย์ไม่ได้บอกอะไรนางเลย ทำให้ฉินหลิวซีรู้สึกเป็นกังวล ถ้าต้องทิ้งน้องไว้ที่นี่นางก็คงรู้สึกเหงามาก ๆ กว่าเขาจะเรียนจบหลักสูตรไม่รู้ต้องใช้เวลากี่ปี“ไม่ ๆ ข้าไม่ยอมให้เจ้าไปทันทีแน่” หมอเทวดายังไม่ทันตอบลูกศิษย์ สหายของเขาก็ขัดขึ้นก่อน“ไม่อะไรกันล่ะ ไหนว่าจะให้ค้างคืนเดียวอย่างไรเล่า”“เอาน่า ๆ สามวันหลังจากนี้จะมีงานประลองกับสามสำนัก พวกเจ้าอยู่จนถึงตอนนั้นไม่ดีกว่าหรือ”“เจ้าก็รู้ว่าข้าเกลียดความวุ่นวาย” ซุนเป่ยฉีเดาะลิ้น มองเจ้าสำนักเว่ยด้วยหางตาดูท่าว่าสองคนนี้จะสนิทกันกว่าที่นางคิดไว้มากทีเดียวห้องพักที่จัดมารับรองพวกนางไม่ดีไม่แย่ ไม่หรูหราแต่ก็ไม่ซอมซ่อ เรียกว่าอยู่ในเกณฑ์มาตรฐานที่รับได้ ห้องที่ใหญ่และดูดีกว่านี้ต้องเตรียมเอาไว้ให้ผู้อาวุโสจากสำนักอื่นพักกัน จึงไม่อาจใช้รับรองนางกับอาจารย์ได้ ฉินหลิวซีไม่เรื่องมากกับเรื่องที่หลับนอน นางนอนกลางป่ามาจนชินแล้ว แต่สำหรับสตรีการมีห้องส่วนตัวย่อมดีกว่าฉินซือหยวนถูกพาไปดูห้องพักของตัวเอง หลังจากนี้เขาต้องใช้ชีวิตเป็นศิษย์คนหนึ่งของสำนักนี้ ต้องรีบคุ้นเค
“เอาเป็นว่าข้ารับรู้แล้ว จะไปไหนก็ตามใจเจ้าเถอะ แล้วก็ห้ามบอกใครด้วยว่าข้าอยู่นี่”เด็กหญิงรับปากแล้วหมุนตัวกลับ นางเดินออกจากเรือนรับรองของตัวเองไปอย่างไร้จุดหมายถึงจะบอกเขาว่า ขอออกมาข้างนอกก็ตาม แต่นางยังไม่รู้เลยว่าที่ไหนเป็นที่ไหนฉินหลิวซีเดินเตร็ดเตร่ใจลอยไปเรื่อย ๆ รู้ตัวอีกทีทิวทัศน์ตรงหน้าก็เปลี่ยนไปแล้วตอนนี้ข้าอยู่ที่ไหนกันล่ะเนี่ย“ที่นี่เป็นเขตที่พักของศิษย์สำนัก เจ้าเป็นใคร เข้ามาได้อย่างไร”ฉินหลิวซีหันไปตามเสียงเรียกทางด้านหลังก็พบเข้ากับกลุ่มเด็กหนุ่มที่น่าจะโตกว่านางสองสามปี“ขออภัย ข้าพึ่งมาถึงเมื่อวาน ไม่ทราบว่าที่นี่เป็นเขตที่พักของคนใน”“หืม เด็กผู้หญิงหรอกหรือ”ฉินหลิวซีย่นคิวด้วยความไม่พอใจทันทีที่ได้ยิน หนึ่งในนั้นที่ดูท่าทางเหมือนจะเป็นหัวโจกประจำกลุ่มลูบคางหลังจากนางหันมาจนมองเห็นหน้าได้ชัดเจนถ้าเป็นเมื่อก่อน นางคงซัดเจ้าพวกนี้ล้มโดยที่ยังไม่ได้ปริปากด้วยซ้ำ แค่ทำสายตาแบบนั้นใส่ก็อย่าหวังเลยว่าจะยังยืนอยู่ได้ แต่ตอนนี้สถานะของนางต่างออกไป อีกทั้งยังมีน้องชายที่ต้องอาศัยอยู่กินและร่ำเรียนที่นี่ นางจะทำอะไรบุ่มบ่ามไม่ได้เป็นอันขาด“หน้าตาน่ารักไม่เบาเลยนี่
เขาพานางเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนพ้นออกมาจากบรรยากาศเงียบสงบ แทนที่ด้วยเสียงจอแจของผู้คน นางเปรียบเทียบอยู่แล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งใดคนนอกเข้าออกได้สะดวก และที่แห่งใดอย่าได้นึกย่างกรายเข้าไป“เขตหวงห้ามของสำนักเซียนถ้าไม่มีคนในพาเข้าไป คนนอกย่อมเข้าไปไม่ได้ ยามที่มีการชุมนุมกับสำนักอื่นก็จะมีการเฝ้ายามบริเวณนี้เป็นพิเศษ”“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปจะระวังนะ”“เจ้าออกมาเพราะเบื่ออยู่ในห้องสินะ ตามที่ข้ารับปากไว้เมื่อวาน วันนี้ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมรอบ ๆ ก็แล้วกัน”“ต้องรบกวนแล้วเจ้าค่ะ”นางประสานมือโค้งคำนับให้เขาคล้ายจะล้อเลียน หลี่เจิ้นหัวทั้งยิ้มทั้งหัวเราะคล้ายว่าจะชอบใจอย่างมากกับสิ่งที่นางทำ หลังจากนั้นเด็กชายก็นำทางนางไปยังสถานที่ต่าง ๆสำนักเซียนกระบี่มีขนาดใหญ่โต นางยังเดินดูได้ไม่หมดหลี่เจิ้นหัวก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งแล้ว“ศิษย์น้องหลี่ ที่ลานฝึกมีคนเรียกหาเจ้าน่ะ”ศิษย์พี่คนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเอ่ยเรียกทั้งสองไว้ ดูเหมือนว่าเขาก็เพิ่งกลับมาจากลานฝึกเช่นกัน“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่”หลังจากศิษย์คนนั้นเดินจากไป ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้น“ดูเหมือนว่าต้องล
เด็กชายทำหน้าลังเลทันที เรื่องคัมภีร์ฝึกวิชาเป็นความลับของสำนัก ไม่ว่าที่ใดก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่วันนี้เขาก็พานางไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปเรียนรู้ แต่เขาไม่อยากห่างจากนาง และตั้งใจจะพามากินข้าวต่ออยู่แล้วจึงไม่ได้ให้นางกลับเห็นสีหน้าลำบากใจของเขานางก็เข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร“ข้าจะลองถามท่านเจ้าสำนักดูเอง เจ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนหรอก”หลี่เจิ้นหัวไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักเท่าไร แต่การไปขออนุญาตท่านเจ้านักเป็นเรื่องถูกต้องแล้วพวกเขาไม่ได้พูดกันเรื่องนี้อีก ทั้งสองกินอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จฉินหลิวซีก็ตั้งใจจะไปขออนุญาตกับท่านเจ้าสำนักด้วยตัวเองทันทีนางมาที่เรือนด้านหลังที่เคยมาเมื่อวาน นอกจากท่านเจ้าสำนักแล้วนางยังพบว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็อยู่ด้วยฉินหลิวซีค้อมกายประสานมือคารวะอาวุโสกว่า หลี่เจิ้นหัวที่ตามหลังมาติด ๆ พอเห็นว่าอาจารย์อยู่กันเกือบทุกคนก็รีบทำความเคารพทันที“มีธุระอะไรล่ะ” เจ้าสำนักเว่ยหันมาถามนางเด็กหญิงไม่รอช้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง “ข้าจะมาขออนุญาตติดตามสหายผู้นี้ไปดูเขาฝึกศิษย์คนอื่นเจ้าค่ะ”“สามหาวยิ่งนัก! เป็นใครมาจากไหนไม่รู้หัวนอนปลาย
เด็กหญิงแซ่ฉินนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหิน มองดูเหล่าศิษย์สำนักวัยเดียวกันออกเพลงหมัดมวยตามในตำรา บางช่วงก็ผลัดกันถือกระบี่ประลองฝีมือฉินหลิวซีรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก สำนักเซียนกระบี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมตัวของผู้มากพรสวรรค์โดยแท้เมื่อวานมีแต่เรื่องรีบร้อนให้นางทำจนไม่มีเวลาสนใจทักษะของแต่ละคนหลายคนหน่วยก้านไม่เลวเลย ถ้าน้องข้าได้ฝึกแบบเดียวกันฝีมือคงพัฒนาไปไกลฉินหลิวซีกวาดสายตามองทิวทัศน์รอบกาย สายลมอุ่นพัดผ่านก่อนจากไป ตอกย้ำว่าเข้าใกล้ฤดูหนาเข้าไปทุกทีไม่รู้ตอนนี้ที่บ้านนางเป็นอย่างไร จะอยู่สุขสบายดีหรือไม่ มีใครมารังแกหรือเปล่า พอได้คิดถึงพวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็คิดซ้ำไปซ้ำมา ฉินหลิวซีคิดว่าคืนนี้คงต้องเขียนจดหมายหาท่านพ่อท่านแม่เสียหน่อยระหว่างที่เด็กหญิงกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของผู้ใช้โอสถก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ชวนให้หวั่นใจเข้าเด็กน้อยผู้นั่งอยู่บนโขดหินถึงกับลมหายใจสะดุด ความรู้สึกกังวลจนใจหายเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง แต่ความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังไปได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยฉินหลิวซีร
หลังจากความแตกวันนั้น ฉินหลิวซีก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อหลบหน้าคนกลุ่มนั้นไปจนถึงวันประลอง ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดไปบ้างที่นางต้องมาซ่อนตัวแค่เพราะคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนั่น แต่เพื่อชีวิตสงบสุขของตัวเอง นางจะยอมกลืนศักดิ์ศรีลงไปก็ได้ด้วยความที่นางเป็นศิษย์เอกของหมอเทวดาพวกเขาจึงยังเกรงใจ และไว้หน้านางอยู่บ้าง ไม่มีใครบอกคนนอกว่านางพักอยู่ที่ไหน และที่พักของนางก็อยู่ใกล้กับท่านอาจารย์ หากใครคิดจะมาหาเรื่องฉินหลิวซีก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับหมอเทวดาด้วยแต่จนแล้วจนรอดวันชุมนุมนางก็ต้องมา เพราะรับปากกับท่านเจ้าสำนักเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมลงสนามแต่นางก็มาดูในฐานะผู้ชมได้ ตามจริงแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาต แต่อาจารย์ของนางได้รับเชิญ นางจึงได้สิทธิ์เข้ามานี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันตั้งแต่มาที่นี่ที่ฉินหลิวซีได้พบหน้าน้องชาย“ท่านพี่!”“ซือหยวน” ฉินหลิวซีอ้าแขนรับเจ้าตัวดีที่พุ่งเข้ามาหานางโดยไม่คิดจะยั้งแรง เด็กหญิงถึงกับเซไปข้างหลังหลายก้าว“ข้าคิดถึงท่านจังเลย”“ข้าก็คิดถึงเจ้า” สองพี่น้องกอดกันกลม สนิทสนมจนเป็นที่น่าอิจฉา มีไม่มากที่พี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียวกันปานนี้ฉินซือหยวนเพิ่งเข้าสำนั
และอีกสารพัดข้อห้ามเพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์จากแต่ละสำนัก ฉินหลิวซีปิดปากหาว กว่าจะร่ายกฎทุกข้อจบก็ทำเอานางง่วงแล้ว กติกาพื้นฐานในการแข่งขันก็เหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ถึงจะออกกฎมาแบบนี้ก็ยังมีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในการแข่งขันอยู่เลย การแข่งขันล่าสัตว์อสูรเมื่อหลายปีก่อนที่นางเข้าร่วม มันต่างกับเรื่องนี้ตรงไหนจากมุมมองของผู้ใช้โอสถตัวน้อย คนกลุ่มนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต โตก็โตแค่ตัว ไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาเสียเลยหากยังยึดติดกับความคิดแบบนั้นไม่น่าอายุยืนได้หรอกผู้ชนะในการแข่งขันจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป เมื่อให้ผู้เข้าแข่งขันลงจากสนามไปเตรียมตัวแล้วบรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไปฉินหลิวซีเฝ้ารอสิ่งนี้มาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นการต่อสู้ของสำนักอื่นเสียทีผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันคู่แรกมาประจำที่ ตัวแทนจากดาราจักรและศาสตราพิทักษ์ก้าวลงสู่สนามประลองโดยมีเสียงจากพยัคฆ์ทองและเซียนกระบี่คอยส่งกำลังใจ แต่เสียงที่มาจากสำนักเดียวกันย่อมดังก้องกว่าใครความถนัดของพวกเขาเป็นดังชื่อเรียก แม้แต่ละสำนักจะมีแตกแยกย่อยไปหลายแขนง แต่เรื่องโดดเด่นของพวกเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับนามเรียกขานก
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้ใช้โอสถแซ่ฉินตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้นางตั้งใจจะไปให้ทันส่งหลี่เจิ้นหัวก่อนเริ่มการแข่งให้ได้ฉินหลิวซีดูตัวเองอยู่หน้ากระจกจนพอใจจึงค่อยออกจากเรือนพัก นางเผื่อเวลาเอาไว้มาก ทำให้มาทันช่วงผู้เข้าแข่งขันกำลังเตรียมตัวในตอนที่ยังไม่มาเด็กชายก็มองหาสหายอยู่ก่อนแล้ว พอนางปรากฏตัวเขาจึงมองเห็นได้โดยง่าย และดูเหมือนทั้งคู่จะมีเรื่องอยากพูดคุยกันก่อนเข้าสู่สนามประลองวันที่สอง เพียงมองตาก็รับรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้ใจตรงกัน หลี่เจิ้นหัวลังเลที่จะเดินออกไป แล้วนี่ก็ใกล้ได้เวลาเปิดประตูแล้วฉินหลิวซีรู้ว่าเขามาไม่ได้จึงยัดของบางอย่างใส่มือน้องชาย“ซือหยวนน้อย เอาสิ่งนี้ไปให้พี่ชายหลี่ของเจ้าที”ฉินซือหยวนพยักหน้าก่อนจะเดินฝ่าฝูงชน หลี่เจิ้นหัวไม่อยากให้น้องชายเข้ามาถึงกลางสนามให้เป็นเป้าสายตาจึงเดินออกมาพบด้วยตัวเองครึ่งทาง“พี่สาวข้าฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”เขารับมาก็พบว่าเป็นเครื่องราง ฉินหลิวซีใส่ยันต์ที่นำพาความโชคดีเอาไว้ในถุงปักลายบุปผา หลี่เจิ้นหัวฝากคำขอบคุณกลับมาส่วนตัวเองก็ไปรวมตัวกับกลุ่มศิษย์สำนักเดียวกัน เขาเก็บสิ่งนั้นลงอกเสื้ออย่างทะนุถนอมพื้นที่ทับซ้อนนี้ถูก
มิติทับซ้อนของสำนักอุดมสมบูรณ์มากเพราะเปิดใช้งานเพียงสิบปีครั้ง อีกทั้งยังไม่เปิดให้ใครเข้ามาระหว่างนั้น สมุนไพรและพืชผลเติบโตได้อย่างเต็มที่ สิบปีที่ไม่มีใครบุกรุกนี้คงมีแต่แมลงที่จะรบกวนพวกมันได้"ข้าขอไปดูทางนั้นสักครู่เผื่อว่ามีสมุนไพรอื่นอีก" ฉินหลิวซีขอแยกตัวออกมาหลังจากพักร่างกายเสร็จแล้ว เพราะนางไม่ได้ออกมาไกลมาก ยังอยู่ในระยะที่พวกเขาเห็นได้หลี่เจิ้นหัวจึงไม่ได้ว่าอะไรฉินหลิวซีเดินเลี่ยงออกมาจากกลุ่มเพื่อนำสมุนไพรบางส่วนเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง สมุนไพรที่หามาได้ต้องแบ่งให้กับคนอื่นเท่า ๆ กัน ซึ่งเรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับการนับคะแนนแบบกลุ่ม สมุนไพรหายากเหล่านี้นางก็อยากเก็บไว้เอง เพราะมิตินี้สิบปีจะเข้ามาได้สักครั้งข้าก็ไม่ใช่คนดีเป็นพระโพธิสัตว์อะไรอยู่แล้ว ขอเก็บไว้นิด ๆ หน่อย ๆ ก็แล้วกันฉินหลิวซีแบ่งสมุนไพรทีละเล็กละน้อยเก็บเข้าไปในมิติของตัวเอง ในโลกของผู้ฝึกตนจะมีเครื่องมือชนิดหนึ่งใช้หาสมุนไพรที่ต้องการ ผู้เข้าแข่งขันในวันนี้ล้วนมีมันอยู่ในมือ เป็นอุปกรณ์คล้าย ๆ กับที่คนเป็นครูในโรงเรียนมักจะมีปากกาเหน็บไว้กับเสื้ออุปกรณ์ธรรมดาระดับนั้นนางไม่ใส่ใจมันเลย จนกระทั่งพึ่งมาส
พิกัดเริ่มต้นแต่ละกลุ่มถูกส่งไปแบบสุ่ม หลังจากที่จัดการกับกอสมุนไพรที่บังเอิญพบแห่งแรกนั้นเสร็จพวกเขาก็เดินต่อไปทางทิศตะวันออกระหว่างทางนั้นฉินหลิวซีก็ยังเก็บสมุนไพรมาได้อีกหลายต้น เดินต่อมาได้อีกระยะหนึ่งก็พบเข้ากับกอสมุนไพรใหม่ อีกทั้งกอนี้ยังเป็นสมุนไพรที่มีอายุสิบปีขึ้นไปทั้งนั้นอีกด้วย เมื่อเห็นของหายากพวกเขาก็ตั้งท่าระแวดระวังทันที และยกหน้าที่เก็บสมุนไพรเหล่านี้ให้ฉินหลิวซีดูแลระหว่างที่กำลังเดินหาและเฝ้ายามไปด้วย หัวหน้ากลุ่มอย่างหลี่เจิ้นหัวก็ส่งสัญญาณมือให้พวกเขาหยุด ยังไม่ทันได้ถามคำตอบก็ดังลั่นมาจากข้างหน้า"ส่งสมุนไพรในมือเจ้ามา!"ผู้ใช้โอสถที่กำลังเก็บสมุนไพรอย่างขะมักเขม้นลุกพรวดขึ้นมาจากพื้น มือหนึ่งจับด้ามกระบี่อ่อนของตนเอาไว้ ในมืออีกข้างยังเหลือต้นสมุนไพรที่พึ่งเก็บขึ้นมา"พวกดาราจักรนี่เอง" หนึ่งในศิษย์ของสำนักเซียนกระบี่เอ่ยขึ้นฉินหลิวซีประเมินด้วยสายตาแล้วก็คิดว่านางคงไม่จำเป็นต้องเข้าไปยุ่มย่ามให้ศึกครั้งนี้ นางปล่อยมือจากด้ามกระบี่ของตนแล้วยกหน้าที่คุ้มกันให้หลี่เจิ้นหัว เมื่อเห็นว่าฉินหลิวซีเมินเฉยต่อตัวตนของพวกเขา ลูกศิษย์กลุ่มนั้นก็เข้ามาจู่โจมทันทีดาราจ
ศิษย์ในสำนักต่างเห็นด้วยกับคำพูดของคนเหล่านี้ เว้นก็แต่หลี่เจิ้นหัวและน้องชายสุดรักของนาง ฉินซือหยวนจากที่หลบหลังหมอเทวดาอยู่ก็ออกมายืนข้าง ๆ ให้เห็นหน้าได้ชัด ตอนนี้เขาขบเขี้ยวเคี้ยวฟันอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อใครไปทั่วเสียงประท้วงดังได้อยู่ไม่นานท่านเจ้าสำนักก็ยกมือขึ้นให้พวกเขาหยุด“เรื่องที่สตรีผู้นี้ไม่ใช่คนใน ก็ไม่สามารถพูดได้เต็มปาก เพราะนางเป็นลูกศิษย์ของผู้อาวุโสท่านหนึ่งซึ่งก็เคยร่ำเรียนที่สำนักของเรา ส่วนเรื่องฝีมือของนาง แม้ข้าจะกล่าวไปก็ไม่อาจทำให้พวกเจ้าเชื่อได้นอกจากเห็นด้วยตา ผู้ที่รู้แจ้งคงมีไม่กี่หยิบมือ เช่นนั้นก็ให้โอกาสนางได้แสดงฝีมือให้เป็นที่ประจักษ์เถิด”คำแถลงไขของท่านเจ้าสำนักเว่ย แม้ไม่ได้เปลี่ยนการตัดสินใจ แต่ก็ทำให้พวกเขายอมรับได้มากขึ้น พวกเขาจึงได้สงบปากสงบคำลงดังเดิม แต่สถานการณ์ก็ยังไม่สงบลงเสียทีเดียว“เช่นนั้นท่านเจ้าสำนักโปรดช่วยแถลงไขความข้องใจให้ข้าที แท้จริงแล้วนางผู้นั้นเป็นใครกันแน่”นางจำได้ว่า คนผู้นั้นคือหว่านเล่อ ยอดฝีมือคนหนึ่งของสำนักเซียนกระบี่ที่กำลังเอ่ยถึงกัน ดูเหมือนเขาเองก็รู้สึกแคลงใจในเรื่องนี้จากที่หลี่เจิ้นหัวเล่าเรื่องของที่
เช้าวันรุ่งขึ้นผู้ใช้โอสถแซ่ฉินตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง วันนี้นางตั้งใจจะไปให้ทันส่งหลี่เจิ้นหัวก่อนเริ่มการแข่งให้ได้ฉินหลิวซีดูตัวเองอยู่หน้ากระจกจนพอใจจึงค่อยออกจากเรือนพัก นางเผื่อเวลาเอาไว้มาก ทำให้มาทันช่วงผู้เข้าแข่งขันกำลังเตรียมตัวในตอนที่ยังไม่มาเด็กชายก็มองหาสหายอยู่ก่อนแล้ว พอนางปรากฏตัวเขาจึงมองเห็นได้โดยง่าย และดูเหมือนทั้งคู่จะมีเรื่องอยากพูดคุยกันก่อนเข้าสู่สนามประลองวันที่สอง เพียงมองตาก็รับรู้ได้ทันทีว่าครั้งนี้ใจตรงกัน หลี่เจิ้นหัวลังเลที่จะเดินออกไป แล้วนี่ก็ใกล้ได้เวลาเปิดประตูแล้วฉินหลิวซีรู้ว่าเขามาไม่ได้จึงยัดของบางอย่างใส่มือน้องชาย“ซือหยวนน้อย เอาสิ่งนี้ไปให้พี่ชายหลี่ของเจ้าที”ฉินซือหยวนพยักหน้าก่อนจะเดินฝ่าฝูงชน หลี่เจิ้นหัวไม่อยากให้น้องชายเข้ามาถึงกลางสนามให้เป็นเป้าสายตาจึงเดินออกมาพบด้วยตัวเองครึ่งทาง“พี่สาวข้าฝากสิ่งนี้มาให้ท่าน”เขารับมาก็พบว่าเป็นเครื่องราง ฉินหลิวซีใส่ยันต์ที่นำพาความโชคดีเอาไว้ในถุงปักลายบุปผา หลี่เจิ้นหัวฝากคำขอบคุณกลับมาส่วนตัวเองก็ไปรวมตัวกับกลุ่มศิษย์สำนักเดียวกัน เขาเก็บสิ่งนั้นลงอกเสื้ออย่างทะนุถนอมพื้นที่ทับซ้อนนี้ถูก
และอีกสารพัดข้อห้ามเพื่อความปลอดภัยของลูกศิษย์จากแต่ละสำนัก ฉินหลิวซีปิดปากหาว กว่าจะร่ายกฎทุกข้อจบก็ทำเอานางง่วงแล้ว กติกาพื้นฐานในการแข่งขันก็เหมือนทั่ว ๆ ไป แต่ถึงจะออกกฎมาแบบนี้ก็ยังมีคนเจ้าคิดเจ้าแค้นในการแข่งขันอยู่เลย การแข่งขันล่าสัตว์อสูรเมื่อหลายปีก่อนที่นางเข้าร่วม มันต่างกับเรื่องนี้ตรงไหนจากมุมมองของผู้ใช้โอสถตัวน้อย คนกลุ่มนั้นเหมือนเด็กไม่รู้จักโต โตก็โตแค่ตัว ไม่มีน้ำใจนักกีฬาเอาเสียเลยหากยังยึดติดกับความคิดแบบนั้นไม่น่าอายุยืนได้หรอกผู้ชนะในการแข่งขันจะได้ผ่านเข้าสู่รอบต่อไป เมื่อให้ผู้เข้าแข่งขันลงจากสนามไปเตรียมตัวแล้วบรรยากาศรอบด้านก็เปลี่ยนไปฉินหลิวซีเฝ้ารอสิ่งนี้มาตลอดหลายวัน ในที่สุดก็ได้เห็นการต่อสู้ของสำนักอื่นเสียทีผู้ทำหน้าที่ดำเนินรายการประกาศให้ผู้เข้าแข่งขันคู่แรกมาประจำที่ ตัวแทนจากดาราจักรและศาสตราพิทักษ์ก้าวลงสู่สนามประลองโดยมีเสียงจากพยัคฆ์ทองและเซียนกระบี่คอยส่งกำลังใจ แต่เสียงที่มาจากสำนักเดียวกันย่อมดังก้องกว่าใครความถนัดของพวกเขาเป็นดังชื่อเรียก แม้แต่ละสำนักจะมีแตกแยกย่อยไปหลายแขนง แต่เรื่องโดดเด่นของพวกเขาย่อมเป็นหนึ่งเดียวกับนามเรียกขานก
หลังจากความแตกวันนั้น ฉินหลิวซีก็หมกตัวอยู่แต่ในห้องเพื่อหลบหน้าคนกลุ่มนั้นไปจนถึงวันประลอง ถึงแม้จะน่าหงุดหงิดไปบ้างที่นางต้องมาซ่อนตัวแค่เพราะคนเจ้าคิดเจ้าแค้นนั่น แต่เพื่อชีวิตสงบสุขของตัวเอง นางจะยอมกลืนศักดิ์ศรีลงไปก็ได้ด้วยความที่นางเป็นศิษย์เอกของหมอเทวดาพวกเขาจึงยังเกรงใจ และไว้หน้านางอยู่บ้าง ไม่มีใครบอกคนนอกว่านางพักอยู่ที่ไหน และที่พักของนางก็อยู่ใกล้กับท่านอาจารย์ หากใครคิดจะมาหาเรื่องฉินหลิวซีก็เท่ากับว่ามีเรื่องกับหมอเทวดาด้วยแต่จนแล้วจนรอดวันชุมนุมนางก็ต้องมา เพราะรับปากกับท่านเจ้าสำนักเอาไว้แล้ว ถึงแม้จะไม่ได้ร่วมลงสนามแต่นางก็มาดูในฐานะผู้ชมได้ ตามจริงแล้วคนนอกจะไม่ได้รับอนุญาต แต่อาจารย์ของนางได้รับเชิญ นางจึงได้สิทธิ์เข้ามานี่เป็นครั้งแรกในรอบหลายวันตั้งแต่มาที่นี่ที่ฉินหลิวซีได้พบหน้าน้องชาย“ท่านพี่!”“ซือหยวน” ฉินหลิวซีอ้าแขนรับเจ้าตัวดีที่พุ่งเข้ามาหานางโดยไม่คิดจะยั้งแรง เด็กหญิงถึงกับเซไปข้างหลังหลายก้าว“ข้าคิดถึงท่านจังเลย”“ข้าก็คิดถึงเจ้า” สองพี่น้องกอดกันกลม สนิทสนมจนเป็นที่น่าอิจฉา มีไม่มากที่พี่น้องจะรักใคร่กลมเกลียวกันปานนี้ฉินซือหยวนเพิ่งเข้าสำนั
เด็กหญิงแซ่ฉินนั่งเท้าคางอยู่บนก้อนหิน มองดูเหล่าศิษย์สำนักวัยเดียวกันออกเพลงหมัดมวยตามในตำรา บางช่วงก็ผลัดกันถือกระบี่ประลองฝีมือฉินหลิวซีรู้สึกเพลิดเพลินเป็นอย่างมาก อย่างน้อยก็ดีกว่าให้นางอุดอู้อยู่แต่ในห้องพัก สำนักเซียนกระบี่เรียกได้ว่าเป็นสถานที่รวมตัวของผู้มากพรสวรรค์โดยแท้เมื่อวานมีแต่เรื่องรีบร้อนให้นางทำจนไม่มีเวลาสนใจทักษะของแต่ละคนหลายคนหน่วยก้านไม่เลวเลย ถ้าน้องข้าได้ฝึกแบบเดียวกันฝีมือคงพัฒนาไปไกลฉินหลิวซีกวาดสายตามองทิวทัศน์รอบกาย สายลมอุ่นพัดผ่านก่อนจากไป ตอกย้ำว่าเข้าใกล้ฤดูหนาเข้าไปทุกทีไม่รู้ตอนนี้ที่บ้านนางเป็นอย่างไร จะอยู่สุขสบายดีหรือไม่ มีใครมารังแกหรือเปล่า พอได้คิดถึงพวกเขาครั้งหนึ่งแล้วก็คิดซ้ำไปซ้ำมา ฉินหลิวซีคิดว่าคืนนี้คงต้องเขียนจดหมายหาท่านพ่อท่านแม่เสียหน่อยระหว่างที่เด็กหญิงกำลังคิดอะไรเพลิน ๆ สายตาของผู้ใช้โอสถก็เหลือบไปเห็นบางอย่างที่ชวนให้หวั่นใจเข้าเด็กน้อยผู้นั่งอยู่บนโขดหินถึงกับลมหายใจสะดุด ความรู้สึกกังวลจนใจหายเป็นอย่างนี้นี่เอง ทั้ง ๆ ที่นางไม่ได้ทำอะไรร้ายแรง แต่ความรู้สึกเหมือนมีชนักติดหลังไปได้รู้สึกไม่ปลอดภัยเอาเสียเลยฉินหลิวซีร
เด็กชายทำหน้าลังเลทันที เรื่องคัมภีร์ฝึกวิชาเป็นความลับของสำนัก ไม่ว่าที่ใดก็เป็นเรื่องละเอียดอ่อน แต่วันนี้เขาก็พานางไปแล้ว ไม่ได้ตั้งใจจะให้ไปเรียนรู้ แต่เขาไม่อยากห่างจากนาง และตั้งใจจะพามากินข้าวต่ออยู่แล้วจึงไม่ได้ให้นางกลับเห็นสีหน้าลำบากใจของเขานางก็เข้าใจได้ว่าอะไรเป็นอะไร“ข้าจะลองถามท่านเจ้าสำนักดูเอง เจ้าสบายใจเถอะ ข้าไม่ทำให้เจ้าเดือดร้อนหรอก”หลี่เจิ้นหัวไม่ได้ห่วงเรื่องนั้นสักเท่าไร แต่การไปขออนุญาตท่านเจ้านักเป็นเรื่องถูกต้องแล้วพวกเขาไม่ได้พูดกันเรื่องนี้อีก ทั้งสองกินอาหารกลางวันด้วยกันเสร็จฉินหลิวซีก็ตั้งใจจะไปขออนุญาตกับท่านเจ้าสำนักด้วยตัวเองทันทีนางมาที่เรือนด้านหลังที่เคยมาเมื่อวาน นอกจากท่านเจ้าสำนักแล้วนางยังพบว่าอาจารย์ท่านอื่น ๆ ก็อยู่ด้วยฉินหลิวซีค้อมกายประสานมือคารวะอาวุโสกว่า หลี่เจิ้นหัวที่ตามหลังมาติด ๆ พอเห็นว่าอาจารย์อยู่กันเกือบทุกคนก็รีบทำความเคารพทันที“มีธุระอะไรล่ะ” เจ้าสำนักเว่ยหันมาถามนางเด็กหญิงไม่รอช้าที่จะบอกความต้องการของตัวเอง “ข้าจะมาขออนุญาตติดตามสหายผู้นี้ไปดูเขาฝึกศิษย์คนอื่นเจ้าค่ะ”“สามหาวยิ่งนัก! เป็นใครมาจากไหนไม่รู้หัวนอนปลาย
เขาพานางเดินต่อไปเรื่อย ๆ จนพ้นออกมาจากบรรยากาศเงียบสงบ แทนที่ด้วยเสียงจอแจของผู้คน นางเปรียบเทียบอยู่แล้วเห็นความแตกต่างได้อย่างชัดเจนว่าที่แห่งใดคนนอกเข้าออกได้สะดวก และที่แห่งใดอย่าได้นึกย่างกรายเข้าไป“เขตหวงห้ามของสำนักเซียนถ้าไม่มีคนในพาเข้าไป คนนอกย่อมเข้าไปไม่ได้ ยามที่มีการชุมนุมกับสำนักอื่นก็จะมีการเฝ้ายามบริเวณนี้เป็นพิเศษ”“ข้าเข้าใจแล้ว ต่อไปจะระวังนะ”“เจ้าออกมาเพราะเบื่ออยู่ในห้องสินะ ตามที่ข้ารับปากไว้เมื่อวาน วันนี้ข้าจะพาเจ้าเที่ยวชมรอบ ๆ ก็แล้วกัน”“ต้องรบกวนแล้วเจ้าค่ะ”นางประสานมือโค้งคำนับให้เขาคล้ายจะล้อเลียน หลี่เจิ้นหัวทั้งยิ้มทั้งหัวเราะคล้ายว่าจะชอบใจอย่างมากกับสิ่งที่นางทำ หลังจากนั้นเด็กชายก็นำทางนางไปยังสถานที่ต่าง ๆสำนักเซียนกระบี่มีขนาดใหญ่โต นางยังเดินดูได้ไม่หมดหลี่เจิ้นหัวก็ถูกเรียกตัวอีกครั้งแล้ว“ศิษย์น้องหลี่ ที่ลานฝึกมีคนเรียกหาเจ้าน่ะ”ศิษย์พี่คนหนึ่งที่บังเอิญเดินผ่านมาเอ่ยเรียกทั้งสองไว้ ดูเหมือนว่าเขาก็เพิ่งกลับมาจากลานฝึกเช่นกัน“ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ รบกวนท่านแล้ว ขอบคุณศิษย์พี่”หลังจากศิษย์คนนั้นเดินจากไป ฉินหลิวซีก็เอ่ยขึ้น“ดูเหมือนว่าต้องล