เมืองหลวงกลับมาสงบสุขได้หลายวันแล้ว ร้านน้ำชาแห่งใหม่ก็เปิดตัวอย่างเป็นทางการปัญหา เนื่องจากต้องการให้ร้านเป็นที่รู้จักอย่างรวดเร็ววันแรกของการเปิดร้านนางจึงไม่คิดเงินลูกค้าทุกคนที่เข้ามา แน่นอนว่าต้องจำกัดจำนวนรายการเครื่องดื่มและของหวานที่สามารถสั่งได้
ผลตอบรับน่าพึงพอใจ ถึงจะเป็นที่นิยมเทียบร้านน้ำชาเก่าแก่ที่เปิดมาก่อนไม่ได้ แต่ผลลัพธ์ตอนนี้ก็ถือว่าไม่เลวเลยสำหรับหน้าใหม่อย่างนางหลี่เจิ้นหัวปรับโครงสร้างของหอกระจายข่าวใหม่ ทำให้เขาไม่ยุ่งเหมือนเมื่อก่อนและสามารถมาทำตัวติดกับนางได้ตลอดทั้งวัน อย่างน้อยก็มีสี่วันในหนึ่งสัปดาห์ที่เขาทำแบบนั้นฉินหลิวซีเขียนจดหมายหาที่บ้านอย่างสม่ำเสมอและเขียนถึงอาจารย์นาน ๆ ครั้ง ซุนเป่ยฉีเองถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญก็ไม่ตอบจดหมายนางอยู่แล้ว ไม่รู้ตอนนี้ไปมุดถ้ำอยู่ที่ไหน อาจารย์ของนางมีการเดินทางเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต จึงได้แต่ปลอบใจตัวเองว่าเขายังไม่ตายก็ดีแล้วส่วนงานที่โรงน้ำชาของนางนั้นราบรื่นและสงบสุขเป็นอย่างมากสงบสุขจนถึงเมื่อชั่วยามที่แล้ว…!นอกจากงานที่ล้นมือคงมีแต่สกุลฉินซึ่งเป็นบ้านเดิมขอ
"ความกตัญญูสำนึกผิดอะไรนั่นที่ท่านย่ากล่าว ข้าไม่ให้เจ้าค่ะ" สายตาเย็นชาที่มองมาราวก็จะแช่แข็งผู้ที่อยู่ตรงหน้าทั้งหมด"ท่านย่า ท่านป้าสะใภ้ และท่านน้าผู้ไร้ความสามารถของข้า สิ่งใดที่พวกท่านเคยทำกับข้าและครอบครัวในอดีต ฉินหลิวซีคนนี้ไม่เคยลืม…"เรื่องราวการกดขี่ข่มเหงโดยอ้างความกตัญญูของสกุลฉินพรั่งพรูออกมาไม่หยุดจนเป็นที่น่าอับอาย ชาวบ้านเปลี่ยนฝ่ายเมื่อได้ฟังและประณามพวกเขา เดินไปไหนมาไหนก็ถูกปากของใส่ส่วนในที่สุดก็ตากหน้าอยู่เมืองหลวงไม่ได้อีกคำพูดไร้หลักฐานของทั้งสองฝ่ายมีน้ำหนักได้อย่างไร ชาวเมืองที่นี่ล้วนไม่ใช่ผู้อยู่ในเหตุการณ์หรือสนิทสนมกับฝ่ายใดจึงไม่อาจตัดสิน ทว่าผ่านไปเพียงคืนเดียวข่าวลือที่มีมูลเหตุก็กระจายไปทั่วมีกลุ่มคนบางกลุ่มเคลื่อนไหว เมื่อไม่มีคำสั่งจากผู้เป็นนายหอชิงขุยก็เป็นสถานที่ซื้อขายข่าวสารธรรมดา แต่เมื่อมีบัญชาลงมาย่อมแปรเปลี่ยนเป็นแนวหน้าของสงครามข่าวสารที่ไม่อาจโค่นล้มคนที่จะรู้ทิศทางของแผ่นดินก่อนใครก็คือผู้ที่มีข้อมูลอยู่ในมือ ไม่ว่าเป็นเรื่องจริงหรือเท็จก็ต้องหามาให้ได้ เพราะข้อเท็จจริงท่ามกลางความน่าสง
แต่ฉันคู่พันธะสัญญาเจ้าเป็นหงส์แดงเพลิงนะ ไม่เป็นไรแน่หรือชายหนุ่มข้างกายกะพริบตาปริบ ๆ ไม่แน่ใจว่านั่นเป็นทางเลือกที่ดีแน่หรือเปล่า เห็นเขาทำหน้าตาประหลาดก็เหมือนนางจะเข้าใจ"เสี่ยวฮั่วไม่สนใจเรื่องนั้นหรอกน่า เนื้อของสายพันธุ์เดียวกับตัวเองมันก็ยังกินมาแล้ว"เอาจริงหรือ ข้ายังไม่เคยให้อาเฉิงกินเนื้องูเลยนะในเมื่อเขาเป็นคนบอกให้นางเลือกเองและนางก็เลือกแล้ว จะมาเปลี่ยนคำพูดตอนนี้ก็ดูแปลก เช่นนั้นก็ทำไก่ต้มน้ำปลาอย่างที่ว่าก็แล้วกัน มีของผัดกับนึ่งอีกสักอย่างสองอย่างน่าจะดีนะคุณชายแซ่หลี่ไม่คิดมาก่อนว่าตนต้องเข้าครัวทำอาหารให้คนรักกิน กระทั่งได้พบกับสตรีผู้นี้ เห็นนางทำงานหนักตั้งแต่ร้านยายันร้านเครื่องประทินโฉม แถมล่าสุดยังเป็นโรงน้ำชาอีก เขาเลยฝึกทำอาหารทุกวันเพื่อจะช่วยคลายความเหนื่อยล้าให้นางตอนนี้ฉินหลิวซีไม่ได้ดูแลกิจการพวกนั้นแล้ว แต่เขาก็ยังอาสาทำหน้าที่นี้ด้วยตัวเองอยู่เจ้านายของเสี่ยวฮั่วสั่งประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่าโถเย็น ไม่รู้นางไปคุยกับช่างฝีมืออย่างไรแต่สุดท้ายก็ได้เจ้าโถเย็นมาตั้งอยู่ในบ้าน มันช่วยถนอมอาหารได้นานอย่างน่าเหลือเชื่อ
"เจ้ายิ้มมาทั้งวันแล้วนะ ไม่ปวดแก้มบ้างหรือ ให้ข้านวดให้ดีไหม" คนเป็นสามียิ้มเผล่ เขาพึ่งกลับมาจากการตัดไม้ทำฟืนที่ข้างนอก ทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้โดยมีผ้าซับเหงื่อพาดบ่า"พรุ่งนี้คงหายแล้วน่า กล้ามเนื้อใบหน้าได้ขยับบ้างก็เป็นเรื่องดีแล้วนี่ ในที่สุดพวกเขาก็มีงานเป็นของตัวเองนี่นา…"ก่อนฉินหลิวซีจะออกมาจากเมืองเคยรบเร้าจะจัดงานวิวาห์ให้น้าหญิง แต่ทั้งสองคนยืนกลางปฏิเสธจนนางเองก็จนใจ พอยกเรื่องงานมงคลของฉินหลิวซีมาอ้างบ้างนางก็เถียงไม่ออก ปล่อยให้ทั้งคู่ตัดสินใจกันเองฉินหลิวซีไม่อยากจัดงานใหญ่โตเพราะนางเกลียดความวุ่นวาย แต่สกุลหลี่ก็มีหน้าตาต้องรักษาเลยพบกันครึ่งทาง ฮูหยินเชิญแขกได้ตามสมควรแต่งานพิธีจัดแบบรวบรัดเพียงครึ่งวัน อ้างว่าพวกเขารีบเดินทางเดิมทีฉินหลิวซีไม่ได้เฝ้ารอวันที่ตนเองสวมชุดแดงมงคล นางจึงไม่รู้สึกตื่นเต้นมากเท่าเจ้าสาวคนอื่น แต่จะบอกว่าไม่ตื่นเต้นเลยก็ไม่ถูก หลี่เจิ้นหัวที่อยู่กับนางอย่างใกล้ชิดมาหลายปียังดูออกว่านางหน้าแดงเพราะเขินอายท่ามกลางบรรดาเครือญาติที่บอกว่านางหน้าตาไร้อารมณ์ราวตุ๊กตากระเบื้องเคลือบ เป็นควา
งานแต่งงานของน้าหญิงชิวหลานจบลงด้วยดี แต่ทั้งคู่เป็นสามีภรรยากันมานานแล้วการเข้าหอจึงไม่ได้น่าตื่นเต้น เหมือนสกุลชิวจะอาศัยชื่องานมากินเลี้ยงกันเฉย ๆ มากกว่า น้าหญิงของนางที่เป็นคนสนุกสนานร่าเริงเต็มขั้น พอเสร็จพิธีก็ลอกคราบเศรษฐีนีออกหมด อีกนิดคงแย่งงานสาวใช้มาช่วยยกอาหารแล้วจริง ๆครอบครัวสกุลชิวไม่ใหญ่ไม่เล็กแต่แขกมาร่วมงานกันพอสมควร เนื่องด้วยตลอดเวลาที่อยู่ที่นี่ฉินหลิวซีกับน้าหญิงช่วยกันผูกมิตรคนบ้านใกล้และร้านค้าข้างเคียงจนสนิทสนมกัน ญาติบ่าวสาวก็มีเพียงสองครอบครัวดังที่เห็น"หลิวซี~ น้าคิดถึงเจ้าจริง ๆ เลย ไม่กลับมาเยี่ยมกันบ้างเล่า""ก็มาแล้วนี่อย่างไรคะ""ถ้าไม่มีงานนี้เจ้าก็ไม่มาหรอก เชื่อเขาเลย" ชิวหลานมองหน้าคู่สามีภรรยานักท่องยุทธภพก่อนจะเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง"หรือข้าต้องจัดงานแต่งทุกเดือน…"ทั้งโต๊ะหลุดขำพรืด บิดาของนางเอ่ยเห็นด้วย ไม่วายยังมีน้องชายตัวดีช่วยผสมโรง"พี่ไม่ได้ทำตัวเหมือนนักรบหรือนักปรุงยาพเนจรเลย…" ฉินซือหยวนไหวไหล่ ขณะเดียวกันพี่สาวของเขาก็แอบเลื่อนมือไปหยิบดอกไม้ประดับงานข้าง ๆ
ตั้งแต่รู้ว่าภรรยามีครรภ์ หลี่เจิ้นหัวก็คอยตามติดไม่ห่าง ถ้าเข้าไปสถิตในเงานางได้ของทำไปแล้ว หากคู่ครองของเจ้านายเป็นอย่างหลี่เจิ้นหัวสักร้อยคน สัตว์อสูรคู่พันธสัญญาคงไม่ต้องมีงานมีการทำ"เพราะไม่รู้ว่าเป็นหญิงหรือชายเอาแบบกลาง ๆ ก็แล้วกัน" ชิวย่าหนานเลือกผ้าอย่างขะมักเขม้น ตั้งใจซื้อไว้เป็นหีบให้หลานที่ยังไม่เกิดสองพี่น้องสกุลชิวไม่มีใครห่วงเรื่องปริมาณเพราะรู้ดีว่าฉินหลิวซีมีถุงเฉียนคุน แม้ความจริงนางจะสามารถเก็บทั้งหมดนั้นไว้ในมิติได้เลยก็ตาม แต่ยังไม่มีใครรู้เรื่องนี้นอกจากฉินซือหยวนกับสามี และมันจะยังเป็นแบบนั้นต่อไปหลังจากซื้อของจนพอใจมารดากับน้าหญิงก็กลับคฤหาสน์ก่อน ส่วนนางกับหลี่เจิ้นหัวก็ต้องไปแจ้งข่าวเรื่องนี้ที่บ้านสามี"ท่านแม่" นางค้อมกายลงให้ผู้อาวุโสที่มารอรับถึงด้านหน้า วันนี้แม่ทัพหลี่คงเข้าวังถึงได้เห็นฮูหยินอยู่คนเดียว"เข้ามาก่อนสิ เดินทางกันมาเหนื่อย ๆ อย่ายืนนานนักเลย"บรรยากาศที่จวนเปลี่ยนไป เหมือนว่าจะเงียบสงบกว่าเมื่อก่อนจนเข้าขั้นวังเวง จากการตัดสินใจของสามีนางคงทำให้อนุกับเหล่าคุณชายระหองระแหงกันบ้าง แต่ละเรือน
ช่วงเวลาผวาตื่นตอนกลางคืนเพราะเสียงร้องไห้ดำเนินมาได้เกือบปีแล้ว มนุษย์สองคนเริ่มกลายสภาพเป็นหมีกินไผ่เข้าไปทุกวัน ดีว่าไม่มีเพื่อนบ้านไม่รบกวนไม่อย่างนั้นพวกเขาคงต้องออกไปก้มหัวขอโทษขอโพยทุกวันแน่หลี่ไป๋น้อยใกล้ครบขวบแล้วพวกเขาเลยต้องกลับมาเมืองหลวงอีกครั้งตามธรรมเนียม สองสามีภรรยาไม่ชอบกลับมาให้ใครเห็นหน้าจึงถูกรบเร้าให้กลับมาช่วงเทศกาลหรืออย่างน้อยก็วันสำคัญใหญ่ ๆ ก็ยังดีอย่างไรวันครบเดือนกับครบขวบก็ต้องมาให้ท่านย่าท่านยายเห็นหน้าบ้าง เพราะใครจะรู้ว่าหลังจากวันฉลองครบขวบนี้แล้วฉินหลิวซีจะหอบลูกกับสามีหายหน้าไปเลยถึงห้าปีก็ได้"ยอดรัก ใกล้ ๆ นี้มีกองคาราวาน ข้าจะไปดูสินค้าสักเดี๋ยวนะ"หญิงสาวที่กำลังอุ้มเด็กน้อยแนบอกหันมามอง "ถ้าเลือกของตรงนี้เสร็จแล้วข้าจะไปรอที่ศาลากลางเมืองนะ""ได้ ข้าจะรีบตามไป""ค่อย ๆ ดูก็ได้ ไม่ต้องรีบร้อนนักหรอก" นางเอ่ยบอกไล่หลังคนที่วิ่งไปแล้วฉินหลิวซีกำลังเลือกดูไหมสำหรับเอาไปทำพู่ห้อย ทารกน้อยยังหลับสนิทด้วยความสบายใจในอ้อมอกแม่ หลี่ไป๋งอแงน้อยลงมากตั้งแต่เดือนก่อน ทำให้นางกับสามีสบายขึ้นเยอะเพร
"รอนานไหม" สามีเพิ่งมาถึงก็หอบแฮก"วิ่งไปช่วยคนนู้นคนนี้มาอีกแล้วล่ะสิถึงได้หมดแรงขนาดนี้" นางซับเหงื่อให้เขาพร้อมยื่นกระบอกน้ำไปตรงหน้า"อยากมาหาเจ้า เลยรีบร้อนไปหน่อย" รอยยิ้มของหลี่เจิ้นหัวเจิดจ้าเหมือนเคย"คิดว่าข้าจะเขินอายเมื่อได้ยินประโยคนั้นหรือ""ไม่ เจ้าจิตใจแข็งแกร่งมากจริง ๆ " บุรุษแซ่หลี่ทำใจแล้ว และให้ตายก็พูดออกไปไม่ได้หรอกว่าภรรยาของเขาชอบเขินอายเวลาอยู่ลำพังหรือมั่นใจว่าเขามองไม่เห็น คิดเรื่องที่เคยทำด้วยกันก็อมยิ้มไม่หยุดความลับที่ว่าเขารู้เรื่องนี้ ให้ตาก็พูดออกไปไม่ได้เด็ดขาด!"ว่าแต่เมื่อครู่เจ้าคุยอยู่กับใคร""ไม่รู้สิ ไม่ได้บอกชื่อ""มีใครทำอะไรแปลก ๆ หรือเปล่า""ยังไม่มี ช่างเรื่องนั้นก่อนเถอะ หิวแล้วหรือยัง เจ้าออกแรงไปขนาดนั้นคงเหนื่อยแย่"หลี่เจิ้นหัวสอดมือประสานไว้กับมือของนาง อีกข้างจับรถเข็นเด็กขยับเคลื่อนไปด้วย หลังเดินพ้นศาลาไม่วายเหลียวหลังไปมองตาขวาง ผู้ที่บังอาจมองภรรยาของเขาต่างพากันขนลุกเกลียว"หลิวซี~" น้าหญิงเห็นหน้านางก็กระโจนเข้าหา ทำเอาคนเป็นสามีหัวใจแทบวาย"ท่านน้า
นับตั้งแต่ก้าวเข้าสู่รัชสมัยใหม่ แคว้นนี้ก็รุ่งเรืองในด้านการค้าขายเป็นอย่างมาก ไม่ว่าเมืองไหน ๆ ต่างก็ครึกครื้นด้วยกันทั้งสิ้น การไปมาระหว่างแคว้นกลายเป็นปกติไปแล้ว ส่วนการที่คนต่างถิ่นเข้ามาก่อเรื่อง ทางการระหว่างสองแผ่นดินจะดำเนินการกันเอง ดังนั้นหากคิดจะก่อเรื่องก็อย่าหวังว่าจะรอดไปได้เมื่อไหร่ที่เมืองมีการจัดงานเทศกาลเด็ก ๆ จะครึกครื้นกันมาก บรรยากาศที่ต่างไปจากเดิมทำให้พวกเขาสนุกสนานเมืองที่ฉินหลิวซีอยู่ตอนนี้ก็กำลังมีงานเทศกาลเล็ก ๆ อยู่เช่นกันบุตรชายวัยย่างสี่ขวบของนางกำลังวิ่งวนรอบตัวพ่อแม่ หลี่เจิ้นหัวต้องจับเจ้าตัวน้อยขึ้นมาอุ้มไว้ข้างเอวก่อนจะไปชนใครเข้า ฉินหลิวซีซื้อขนมน้ำตาลปั้นให้ลูก ให้เขาสงบเสงี่ยมไปอีกสักพักหลังจากเลี้ยงเจ้าก้อนแป้งมาได้สามปีกว่า หลี่เจิ้นหัวก็พบปัญหาหนึ่งอย่าง นั่นคือแม่ลูกคู่นี้ไม่ค่อยคุยกันเลย เขารู็ว่าฉินหลิวซีไม่ใช่คนช่างพูดนอกจากตอนต่อปากต่อคำกับคนที่ไม่ชอบหน้า ลูกชายของพวกเขาก็ได้แม่มาเต็ม ๆ สองแม่ลูกเหมือนคุยกันผ่านกระแสจิตอย่างไรอย่างนั้นหลี่เจิ้นหัวเห็นทีก็กุมขมับที กลัวลูกจะพูดไม่คล่องเท่าเด็กว
"ท่านแม่ทำยา""อุ๊บ! ฮ่า ๆ ๆ ขอโทษด้วยนะ แต่แม่ไม่ได้เป็นกระต่ายหรอก" ฉินหลิวซีขำพรืดก่อนเอี้ยวตัวมาลูบศีรษะบุตรชายด้วยความเอ็นดู"ถึงจะพูดแบบนั้นก็เถอะ แต่เสี่ยวไป๋สามารถเป็นได้ทุกอย่างที่ลูกอยากเป็นเลย จะเป็นกระต่ายหรือดวงดาวก็ได้ แม้จะเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ก็อย่าได้ทิ้งสิ่งนี้ที่อยู่ในใจของลูกไปเลยนะ"เมื่อการเติบโตทำให้ความรับผิดชอบมากขึ้น ความสุขที่ไขว่คว้าได้ก็น้อยลง ต้องยอมปล่อยมือจากสิ่งที่รักและหวงแหน ต้องสละบางอย่างเพื่อสิ่งที่อาจไม่ปรารถนาแต่จำเป็นต้องมี วัฏจักรของมนุษย์ดำเนินไปเช่นนั้นฉินหลิวซีปรารถนาให้ลูกของตนไม่ถูกกลืนกินจากมัน แต่สุดท้ายก็คงไม่มีใครรอดพ้นอยู่ดี ดังนั้นก็จงทนุถนอมเอาไว้ให้ยาวนานเท่าที่ได้เถิดหลังจากบินเล่นจนพอใจแล้วหงส์แดงเพลิงก็ร่อนลงตรงที่กว้างสักแห่ง เจ้านายเปิดมิติให้ทุกคนก็เข้าไปพักผ่อน แต่เจ้าตัวสีทองนั่นยังบินเพลินไม่ยอมกลับเข้ามา เดือดร้อนคนรักของเจ้านายต้องออกไปตามอีกรอบมันเดินเตาะแตะมานอนซุกตัวข้างตัวบ้าน มิตินี้ไม่เคยถูกคนนอกรุกล้ำเข้ามาได้ แต่หากเกิดเหตุไม่คาดฝัน ผู้บุกรุกเหล่านั้นก็จะต้องรับมือมันก่อน
ทันทีที่มันลืมตาตื่นขึ้นมาบนโลกใบนี้ มันก็รู้ได้ด้วยสัญชาตญาณว่าการต่อสู้คือความสามารถและวิถีของมันทุกครั้งที่ฟักออกจากไข่ ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายคนก่อนจะหายไป ไม่ว่าความผูกพันธ์นั้นจะมีหรือไม่มี ก็จะถูกลบหายไปอย่างเท่าเทียมตั้งแต่ครั้งที่สามหรือสี่ที่รู้ตัวว่าเป็นแบบนั้น มันจึงใช้เวลากับเจ้านายใหม่เป็นตัวเองอย่างเต็มที่ เมื่อถูกปลุกขึ้นมา หลังถวายความภักดีให้ก็จะถูกใช้ไปสู้กับตัวอื่น ๆ บ้างก็แพ้บ้างก็ชนะ เคยถูกล่าม ถูกขัง และถูกเลี้ยงปล่อยเป็นอิสระด้วยเช่นกันการต้องจดจำเรื่องเหล่านั้นทุกครั้งที่ตื่นก็ดูเหนื่อยเกินไปจริง ๆ มันเริ่มรู้สึกเห็นด้วยที่ความทรงจำเกี่ยวกับเจ้านายถูกลบหาย เห็นเป็นเพียงเงาร่างเลือนที่นึกไม่ออกทั้งชื่อและหน้าเจ้านายแต่ละคนปฏิบัติกับมันและมอบบทบาทให้มันไม่เหมือนกันคิดว่าครั้งต่อไปจะให้มันทำอะไรก็ไม่เกินความสามารถ แต่ก็ไม่เคยนึกฝันมาก่อนว่าสัตว์อสูรในตำนานอย่างมันต้องมาทำหน้าที่พี่เลี้ยงเด็กแกว้ก!"เสี่ยวฮั่วเล่นกับ ๆ อยู่ตรงนี้นะ ข้าจะไปรดน้ำแปลงสมุนไพร" วางทารกกับเด็กเล็กหนึ่งคนพิงตัวมันเสร็จก็เดินหนีไปยุคสมัยท
"เจ้าค่ะ!""เรื่องนั้นไม่ต้องพูดก็ได้" ซือหยวนจะตะครุบปากภรรยาเอาไว้ตอนนี้ก็ไม่ทันฉินหลิวซีประติดประต่อเรื่องราว ในที่สุดก็ได้ข้อสรุปในใจตัวเอง เอ่ยออกมาทั้งรอยยิ้มพลางปรายตามองน้องชายร่วมสายเลือด"อย่างนี้เอง ข้าเข้าใจแล้ว"อยากให้ยุคนี้มีกล้องจริง ๆ เลยเชียวเพราะเหยื่อล้วนไปที่หอนางโลมนั้น สาเหตุการตายมาจากพิษ คนร้ายต้องเป็นคนใน หากจะหาเบาะแสก็ต้องแฝงตัวเข้าไปไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง แต่หอนางโลมนั้นผู้ชายจะเข้าไปได้ก็ในฐานะลูกค้า ไม่สามารถเป็นคนที่ทำงานในหอนั้นได้ ขอบเขตของเบาะที่หามาย่อมเจอทางตัน สุดท้ายก็ต้องปลอมตัวไปเป็นคนในเสียเองในฐานะสตรีผู้หนึ่ง ฉินหลิวซีทั้งรู้สึกแย่และรู้สึกดีกับเรื่องนี้ในคนละมุมมอง แต่มันเป็นที่ผ่านมาเนิ่นนานแล้ว จะไปคิดมากก็ดูใช้พลังชีวิตเกินความจำเป็นดูจากตอนนี้ทั้งคู่ก็มีความสุขดี นางคงไม่ยื่นมือไปทำอะไรทั้งนั้น ตั้งใจว่าจะกลับมาเยี่ยมแต่โดนทำให้ตกใจเสียได้"พี่หญิงจะค้างที่นี่กี่วันหรือคะ ข้าจะให้คนจัดห้องให้""ไม่ต้องค้าง กลับไปเลย""พี่สาวเจ้ามาหาทำไมทำตัวแบบนี้ นางอุตส่าห์มาเยี่ยมเจ้า
เมื่อหลายปีก่อนมีสำนักคุ้มภัยเกิดขึ้นในเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง เมืองที่อยู่ห่างไกลเมืองหลวงเช่นนี้มักไม่ค่อยมีขุนนางน้ำดีแวะเวียนมาเพราะหาประโยชน์กอบโกยไม่ได้แต่แล้วก็มีเซียนโอสถน้อยผู้หนึ่งกำเนิดขึ้นที่นี่ นางกับน้องชายจากบ้านเกิดไปหลายปีเพื่อร่ำเรียนกับหมอเทวดา ครานั้นผู้คนในเมืองยังคิดกันอยู่เลยว่ามันไม่จริง เหมือนฝันอันห่างไกลที่เมืองแห่งนี้จะเจริญขึ้นได้การเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นทีละน้อย เริ่มมีสิ่งปลูกสร้างขนาดใหญ่ในที่ดินใกล้ที่ว่าการซึ่งปล่อยทิ้งร้าง มีร้านโอสถที่ขายยาหายาก เครื่องประทินโฉมอันเลื่องชื่อที่โด่งดังไปถึงต่างแดน"และคนที่เป็นเจ้าของสามในสี่อย่างที่ว่ามานี้ก็คือ ข้าเอง!"เสียงวางไหเหล้ากระแทกโต๊ะดังโครม ทุกคนเงียบกริบ เบนสายตาจากคนที่กำลังอวดอ้างตนเองมายังคนพเนจรร่างผอมบาง ผู้ที่มองไม่ออกว่าเป็นหญิงหรือชายเพราะสวมผ้าคลุมและหมวกสานปิดหน้าอาไว้"อะไร จะหาเรื่องกันรึ?" ผู้เป็นจุดศูนย์กลางของเรื่องเล่ามองเขม็งไม่สบอารมณ์"ได้ข่าวว่าสามสถานที่นั้นเป็นของเจ้าเพียงหนึ่งมิใช่รึ จะอ้างของใครก็ให้มันน้อย ๆ หน่อยคุณชายฉิน" เสียง
หลี่ไป๋ได้ยินก็หูผึ่ง ต้องเป็นคนของบิดาเขาแน่ เวลาขนาดนี้ท่านแม่ก็น่าจะกลับมาจากออกล่าแล้วเช่นกัน แถมยังกำลังตามหาพวกเขาอยู่ หลี่ไป๋เริ่มมีความหวัง"ย้ายที่กันก่อน รีบพาสินค้าไปจุดรับของ" แม้จะร้อนใจจากเรื่องที่พึ่งได้ยินแต่หัวหน้าคนชั่วก็สั่งด้วยความใจเย็นหลี่ไป๋ขมวดคิ้ว พวกนั้นรีบร้อนแบบนี้ที่นี่คงอยู่ใกล้ ๆ เมือง เขาต้องหาทางถ่วงเวลา"เสี่ยวหนิง" เขากระซิบเรียกน้องสาวที่ยังนอนกลิ้งหนีความจริงไม่เลิก"หือ?" เชือกมัดปากก็ไม่ยอมแกะทำเป็นเล่นจริง ๆ ให้ตายสิแต่ก็ดีกว่านางร้องไห้ ไม่อย่างนั้นพวกเขาได้หูแตกแน่ แถมเหมืองยังจะถล่มแน่นอนอีกด้วย"ช่วยพี่ชายหน่อยสิ เดี๋ยวซื้อเปาจื่อให้สามลูก"พอเอาของกินมาล่อนางก็พยักหน้าทันทีพวกมันขนสัมภาระขึ้นเกวียนอย่างรวดเร็วแล้วออกเดินทางจากเมือง ผ่านอุโมงค์ทอดยาวจนมาถึงด้านนอกในที่สุด ตอนนี้เป็นเวลาเย็นแล้วท้องฟ้าจึงเริ่มเปลี่ยนเวลาที่ใช้ไปกว่าจะออกมาข้างนอกไม่นาน หมายความว่าเมืองแห่งนี้ไม่ได้ลึกอย่างที่คิดหลี่หวานหนิงมองหน้าพี่ชาย พออีกฝ่ายพยักหน้านางก็กรีดร้องเสียงดัง"กร
"สามีที่รัก…การกลับมาอย่างรีบร้อนของข้าเหมือนจะไม่ได้รับผลลัพธ์ที่ดีเท่าไรเลยนะ"เหนืออาคารของหอกระจายข่าวคล้ายมีเมฆครึ้มทั้งที่ท้องฟ้าส่วนอื่นยังแจ่มใสถ้าไม่นับนายท่านที่พึ่งกลับมาได้จังหวะพอดิบพอดีคนอื่น ๆ ล้วนกำลังตามหาร่องรอยคนร้าย หัวหน้าหอแห่งอวิ๋นซีจึงเป็นผู้ร่วมชะตากรรมหนึ่งเดียวที่ต้องมานั่งคุกเข่าสำนึกผิดต่อหน้าฮูหยินอยู่ตอนนี้แต่เป็นใครมาอยู่ตรงนี้เฟยหลางก็คิดว่ายอมศิโรราบกันหมดตั้งแต่นางเดินเข้ามาประตูมาอยู่ดี ลองเห็นภาพนางลากคอไก่ฟ้าตัวขนาดพอ ๆ หงส์แดงเพลิงเข้ามาใครจะไม่ผวาบ้างหลี่เจิ้นหัวหน้าซีดตัวหดเหลือสองชุ่น"ยะ ยอดรักจ๋า""ไม่เคยเห็นในเมืองวุ่นวายขนาดนี้ แถมยังเป็นคนของหอกระจายข่าวอีก คิดว่าจะปิดบังได้หรือไง""ก็…ไม่หรอก แต่ข้าอยากรีบหาตัวให้เจอก่อนเจ้ามา"ก่อนมาถึงอาคารนี้นางก็จับคนมาถามความแล้วจึงรู้เรื่อง ไม่ได้แปลกใจอะไร ปญหามันอยู่ต่อจากนี้ต่างหากฉินหลิวซีเอาอาวุธคู่กายทั้งสองออกมา โยนงานจิปาถะให้คนอื่นทำ"ไก่ฟ้านี่ฝากชำแหละหน่อย เดี๋ยวข้ากลับมา"ว่าแล้วก็โดดออกทางหน้าต่างข
"โฮ่ คุณหนูน้อยสองคนคุยเรื่องรูปสลักในร้านยายกันใหญ่เชียว ทำไมไม่เลือกมันเล่า""น้องข้ามีเยอะแล้ว ให้นางเท่านี้ก็พอขอรับ" หลี่ไป๋ตอบกลับอย่างสุภาพ หญิงชราเจ้าของร้านงึมงำอะไรบางอย่างที่เขาฟังไม่เข้าใจหลี่ไป๋เอาถุงเงินออกมาเตรียม แต่ลืมไปว่าฝากไว้ที่เฟยหลาง"พี่เฟย - ""ขอรับคุณชาย…คุณชาย?"เฟยหลางหันซ้ายหันขวา รอบตัวเขาไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อครู่มั่นใจว่าคุณชายน้อยเรียกเขาแน่ ๆ ร้านแผงลอยก็ปราศจากเจ้าของ เฟยหลางหน้าซีด"ซวยแล้ว…"หลี่หวานหนิงร้องอู้อี้เพราะถูกมัดมือมัดเท้าเอาไว้ ที่ปากก็มีเชือกผูกไม่ให้ส่งเสียง เพียงพริบตาเดียวที่สายตาหลุดจากหญิงชราตรงหน้าไป พวกเขาก็ถูกพามาที่ไหนสักแห่งด้วยยันต์เคลื่อนย้าย ทันทีที่ร่วงกระแทกพื้นพวกมันก็กรูกันเข้ามาจับมัดทันที แต่เพราะเห็นเป็นเด็กจึงไม่ได้มัดแน่นหนาอะไรหลี่หวานหนิงกระดึ๊บซ้ายทีขวาทีราวกับหนอนยักษ์ นางค่อนจะ…ไม่รู้ร้อนรู้หนาวเกินไปสำหรับเด็กที่ถูกขโมยตัวมา แต่จะว่านางก็เหมือนถ่มน้ำลายใส่หน้าตัวเอง เพราะคนที่สงบนิ่งยิ่งกว่าใครก็คือหลี่ไป๋เองนอกจากพวกเ
"หมายความว่าอย่างไรโดนลักพาตัว!""ขออภัยขอรับนายท่าน ข้าคลาดสายตาไปเพียงนิดเดียวพวกเขาก็ไม่อยู่แล้ว"หลี่เจิ้นหัวตะโกนเสียงดัง "คิดว่าข้ออ้างแบบนั้นจะแก้ตัวขึ้นหรือไง รีบไปตามหาเดี๋ยวนี้เลย!"คนของหอกระจายข่าวสาขาประจำเมืองกระจายกำลังกันไปอย่างรวดเร็ว จะมีอะไรเป็นเรื่องเร่งด่วนไปกว่าเรื่องที่บุตรทั้งสองของนายท่านหายตัวไป แถมยังเป็นความสะเพร่าซึ่งเกิดขึ้นตอนฮูหยินไม่อยู่ หากจัดการเรื่องนี้ให้เรียบร้อยไม่ได้ ไม่แน่ว่าสิ่งที่อยู่ในหม้อต้มยาจะไม่ใช่วัตถุดิบสมุนไพรแต่เป็นกระดูกพวกเขาต่างหากเด็กเก้าขวบกับห้าขวบตัวไม่ใช่เล็ก ๆ จะหายไปทันทีได้อย่างไร อีกทั้งดูเหมือนจะไม่ใช่แค่เพียงการเล่นสนุกของเด็ก ๆ คนที่ทำเรื่องอย่างนี้ต้องมีมากกว่าสอง หรืออาจจะทำกันเป็นกลุ่มใหญ่เลยก็ได้ ต้องรีบหาให้เจอภายใต้เงาของเมืองอันเงียบสงบคนของหอกระจายข่าวกำลังเคลื่อนไหว เกิดเรื่องที่ไหนไม่เกิดมาเกิดที่เมืองพวกเขาเสียได้ สาขาของหอกระจายข่าวมีตั้งมากดันเลือกมาเกิดที่เมืองที่สงบสุขที่สุดในแคว้นช่างน่าเวทนาผู้ไม่ประสงค์ดีกลุ่มนั้นเหลือเกิน…หลี่เจิ้นหั
นายท่านหอชิงขุยจัดการแยกงานที่ต้องทำด่วนจะทำทีหลังได้ออกจากกันเป็นสองกอง พอไม่ได้เข้ามาที่หอนานแบบนี้งานก็กองสุมการจนล้นมือไปหมด พอมีลูกสองคนแล้วเขาก็ยิ่งขยันทำงานมากขึ้นคงต้องเข้ามาที่หอชิงขุยบ่อยกว่านี้แล้วล่ะ"ฉินหลิวซีไม่อยู่แบบนี้คือช่วงเวลาพิสูจน์ฝีมือสินะ"เมื่อนางกลับมาจะต้องภูมิใจในตัวสามีร่วมงานคนนี้ ที่เขาเลี้ยงลูกได้ไม่มีขาดตกบกพร่อง คิดแล้วก็เผลอยิ้มออกมา"ท่านพ่อ ทำหน้าตาพิลึกจัง""พิลึก!" พอโดนเด็กทักแบบนี้ทำเอาใจแป้วเลยทีเดียว นี่เขายิ้มแล้วหน้าตาพิลึกหรอกหรือ"หรือจริง ๆ แล้วข้าไม่ได้รูปงาม แต่หน้าตาแปลกพิสดาร?"ท่านแม่ รีบกลับมาทีขอรับ"เสี่ยวไป๋…ทำไมมองพ่อด้วยสายตาเย็นชาแบบนั้นล่ะลูก"คำถามของเขาไม่ได้รับคำตอบ บุตรชายเอียงคอมองหน้างง ๆ คล้ายไม่เข้าใจ ทำให้ยิ่งเกิดคำถามขึ้นมาในหัวว่าหรือจริง ๆ แล้วเขาเอง เป็นเขาเองที่แปลก"อ้ะ แต่ถ้านางชอบ แปลกก็ดีแล้วนี่นา"ท่านแม่…ไม่รู้ด้วยเหตุใดแต่บุตรคนแรกของเขาดูจะมีความคิดที่โตเกินวัยไปสักหน่อย รวมถึงคำพูดคำจาที่เด็กวัยเดียวกันไม่น่าคิด