“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”
เฟยเมี่ยวมิได้กลัวอันใดกับคำพูดเชิงตำหนิแต่เต็มไปด้วยการล้อเลียนของบุรุษข้างเคียง นางยังคงเดินจ้ำอ้าวต่อไปไม่ได้ให้หวงลู่ที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาทเดินนำอย่างที่ควรเลย
“หม่อมฉันก็เรียนมาจากพระองค์ยามเข้าหน้าเหล่าขุนนางและลับหลังเหล่าขุนนางนั่นแหละเพคะ พระองค์ยิ้มบ่อยน่าจะรู้ว่าการหยักยกริมฝีปากมันเมื่อยเพียงใด”
เขาล้อมา เฟยเมี่ยวก็ล้อกลับบ้างไม่ยอมแพ้หรอก ในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงหวงลู่ผู้นี้นั่นล่ะที่รู้ว่าเนื้อแท้นิสัยของ
เฟยเมี่ยวซุกซนและเจ้าเล่ห์เพียงใด นางจึงสบายใจยามอยู่กับเขาและเอ่ยขอให้เขาช่วยพาออกนอกวังหลวงอยู่หลายครา ด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา เฟยเมี่ยวเลือกคบเขาเป็นสหายแล้วมีประโยชน์เป็นที่สุด“เสด็จแม่ก็เอ็นดูเจ้าเสียจริง แล้วนี่ยังถูกลู่หลินแกล้งอยู่หรือไม่?”
การที่หวงลู่รู้นั้นมิใช่เพราะว่าเฟยเมี่ยวมาฟ้องนะ แต่เพราะองค์หญิงสามแสนเอาแต่พระทัยผู้นั้นแสดงออกถึงความไม่ชอบหน้านางจนใครต่างก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาเองนั่นแหละ
“องค์หญิงสามแกล้งข้า ข้าก็แกล้งกลับเท่านั้นเอง พระองค์ไม่ต้องทรงห่วงหม่อมฉันหรอกเพคะ ไปห่วงน้องสาวพระองค์เถอะ ป่านนี้ร้องไห้จนตำหนักแตกไปแล้วกระมัง”
ได้ยินดังนั้นหวงลู่ก็เข้าใจเหตุที่น้องสาวเขาไม่มาร่วมทานอาหารวันนี้ทันที เขาเร่งฝีเท้าเดินขวางคนต้นเรื่องไว้
“ที่แท้ฝีมือเจ้า เมื่อเช้านางลงโทษนางกำนัลรับใช้ส่วนตัวยกชุดจนกูกูต้องหานางกำนัลใหม่แทบไม่ทันเชียวนะ เจ้าไปทำอันใดน้องข้ากัน บอกมาเสียดีดี”
แม้หวงลู่จะชอบพอนิสัยของเฟยเมี่ยวแต่ก็ไม่ได้มากกว่าน้องสาวสายเลือดเดียวกันเลย ซึ่งเฟยเมี่ยวก็เข้าใจดีในจุดนี้
“หม่อมฉันก็ได้ยินมาเช่นกันเพคะ อันใดคือพระองค์ถึงได้มองหม่อมฉันในแง่ร้ายเช่นนั้น”
เฟยเมี่ยวเดินหนีด้วยฝีเท้าเร็วขึ้น เพราะนางมิอยากถูกคาดคั้นไปมากกว่านี้ คนไม่ชอบโกหกแต่ก็ไม่สามารถบอกความจริงได้ เพราะอาจดึงภัยเข้าสู่ตนเอง ก็ต้องหาทางเลี่ยงไม่พูดแทนนั่นล่ะ
อ๊ะ ตรงหน้ามีขบวนข้ารับใช้กลุ่มใหญ่ กำลังมุ่งตรงหน้ามาทางนี้ ด้วยหลักยึดการเอาตัวรอดในวังหลวงของเฟยเมี่ยวแล้ว นางต้องเลี่ยงการเผชิญหน้า
“องค์รัชทายาทเพคะ เช้านี้พระองค์สนใจไปทรงม้ากับหม่อมฉันไหมเพคะ”
หวงลู่ฉงนใจที่อยู่ดีดีเฟยเมี่ยวที่เร่งฝีเท้าเดินหนีตนก็หมุนตัวกลับมาออกปากชวนไปโรงม้าเสียอย่างนั้น เขานิ่งไปชั่วครู่ก็พยักหน้าตกลง พากันเดินกลับไปอีกทางอันเป็นเส้นทางทอดยาวไปยังโรงม้าหลวงแทน
“พระองค์ต้องการให้กระหม่อมเตรียมรถม้าตอนนี้เลยหรือไม่พะยะค่ะ”
ขันทีอาวุโส หรือ ขันทีฉี ผู้ทำหน้าที่ดูแลเชื้อพระวงศ์ผู้เอาใจยากยิ่งอย่างชินอ๋อง หรือ จ้าวเต๋อรุ่ย พระอนุชาพระองค์เดียวของฮ่องเต้ที่สามารถอาศัยในเขตเมืองหลวงได้ อีกทั้งมีอำนาจ
พอ ๆ กับองค์รัชทายาท เขาเอ่ยถามเจ้านายของตนที่ออกมาเดินย่อยหลังมื้ออาหารไกลถึงสวนใกล้ตำหนักคุนหนิง หลังจากเดินย่อยแล้วก็เป็นเวลาออกวังนั่นเองขันทีมากประสบการณ์เอ่ยถามทั้ง ๆ ที่รู้คำตอบอยู่แล้วนั่นล่ะ ว่าเจ้านายเขาย่อมต้องมีรับสั่งให้เตรียมรถม้าเป็นแน่
“ไม่ล่ะ ข้าอยากไปออกกำลัง ซ้อมขี่ม้าเสียหน่อย ไปโรงม้าหลวงเถอะ”
เพล้ง ! เสียงความมั่นใจของขันทีมากประสบการณ์แตกดังก้องสะท้องหู อ้าปากค้างไม่ทันไรก็ต้องรีบตั้งสติเดินตามเจ้านายและหันไปสั่งคนให้กลับไปนำชุดสำหรับทรงม้าให้ชินอ๋องอย่างรู้หน้าที่ทันที
...เจ้านายเขายังต้องซ้อมม้าอีกหรือ ? มิใช่ว่าทรงเก่งกาจจนฮ่องเต้เอ่ยปากขอให้เป็นอาจารย์สอนองค์รัชทายาททรงม้าหรอกหรือ ?
ณ โรงม้าหลวง
เฟยเมี่ยวเปลี่ยนชุดเสร็จก็มาเจอกันกับองค์รัชทายาทหวงลู่ที่คอกม้าเพื่อมานำม้าคู่ใจของแต่คนไปขี่ ม้าประจำของ
หวงลู่คือม้าสีน้ำตาลเข้มขนดำเงางามดูก็รู้ว่าผ่านการดูแลอย่างดี ส่วนของเฟยเมี่ยวเป็นม้าสีขาวบริสุทธิ์ ตัวเตี้ยกว่าของหวงลู่หน่อยเดียวเท่านั้น นางตั้งชื่อม้าของตนว่าไป่ไป๋ ตั้งตามสีขนของมันนั่นล่ะตามจริงตอนทะลุมิติมาอยู่ในร่างนี้แรก ๆ นางหาได้ขี่ม้าเป็นไม่ ส่วนเจ้าของร่างเดิมก็ขี่ไม่เป็นเช่นเดียวกัน เฟยเมี่ยวได้องค์รัชทายาทหวงลู่ผู้นี้นั่นแหละเป็นคนช่วยสอน ด้วยความที่นางเป็นคนเรียนรู้เร็วอยู่แล้วเขาสอนสองสามครั้งก็ขี่เป็นแล้ว หลังจากนั้นเฟยเมี่ยวก็อาศัยความคุ้นชินกับความเร็วอยู่แล้ว แค่เปลี่ยนจากรถมอเตอร์ไซค์เป็นเจ้าม้าที่มีสี่ขาแทนเท่านั้น เฟยเมี่ยวว่าขี่ม้ายังง่ายกว่าขี้รถในยุคที่นางจากมาด้วยซ้ำ
“ไป่ไป๋ของข้าหล่อเหลาขึ้นนะเนี่ย อีกหน่อยย่อมต้องสูงใหญ่กว่าเจ้าเฉียวขององค์รัชทายาทหวงลู่เป็นแน่”
ใครว่าเฟยเมี่ยวหมั่นไส้หวงลู่เพียงนิสัย นางลามยันไปถึงอิจฉาความสูงของม้าเขาด้วยแล้ว เพราะพอทหารฝึกม้าเห็นนางเป็นสตรีหน่อยก็เลือกแต่ม้าตัวเล็ก ๆให้ตลอด ดีที่นางรู้มาว่าเจ้าไป่ไป๋ตัวนี้อยู่ในวัยเด็กยังเติบโตได้อีก และนางก็รู้สึกถูกชะตากับมันจึงยอมรับเจ้าม้าสีขาวมาเป็นม้าประจำของตนในที่สุด
“วันนี้เจ้าพร้อมแข่งกับข้าหรือไม่ เมี่ยวเมี่ยวและเสี่ยวไป๋”
จากคำพูดของหวงลู่ดูเหมือนธรรมดา แต่คนฟังอย่างเฟยเมี่ยวที่มีความเจ็บปวดเรื่องม้าของตนตัวเล็กกว่านั้น พอถูกเขาเรียกว่า เสี่ยวไป๋ แล้วเลือดขึ้นหน้าอยากแก้แค้นแทนทันที เฟยเมี่ยวไม่เอ่ยสวนแต่นางเลือกที่จะบังคับไป่ไป๋ของตนให้ออกวิ่งเข้าสู่สนามม้าทันที เป็นการบอกว่าพร้อมแข่งแล้วนั่นล่ะ
เฟยเมี่ยวผู้นี้จะพาเจ้าไป๋ชนะเจ้าเฉียวจนเจ้านายของมันเสียหน้าให้ได้ !
ฮือ เฟยเมี่ยวขอถอนคำพูดที่เคยบอกไว้ว่าขี่ม้าง่ายกว่าขี่รถมอเตอร์ไซค์เสียตอนนี้ ชาติก่อนเฟยเมี่ยวขี่รถในสนามแข่งทีไรชนะที่หนึ่งตลอด ไยพอขี่ม้าแข่งบ้าง นางกลับไม่ชนะเสียทีเล่า !แดดแรงแล้ว เฟยเมี่ยวจึงขอทดไว้แข่งกับองค์รัชทายาทหวงลู่คราวหน้าแทน ทั้งสองคนลงจากหลังม้าได้ก็เดินเคียงคู่กันออกมาจากสนามวิ่งม้า จากที่เฟยเมี่ยวคิดไว้ว่าจะเดินกลับตำหนักของทันทีก็ต้องชะลอแผนนั้นไว้ก่อน เพราะที่ทางออกจากสนาม พบผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งยืนอยู่เจอหน้ากันเพียงนี้แล้ว จะเลี่ยงตามกฎที่ตนตั้งไว้ก็ไม่ได้ จำต้องเผชิญหน้าเท่านั้น“ถวายบังคมชินอ๋องเพคะ”“คำนับเสด็จอาพะยะค่ะ”ตรงหน้าของนางนั้นคือบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำทมึนพาดลายงูใหญ่นูนแต่ดูกลมกลืน บนชุดมีเพียงสีแดงเลือดกับสีทองบ้างช่วยแต่งเติมให้ดูยิ่งทรงอำนาจขึ้นไปอีก ชินอ๋องผู้นี้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ที่อายุห่างกว่าสิบปี ปีนี้เขาน่าจะอายุยี่สิบห้า เป็นโอรสองค์เล็กสุดในอดีตฮ่องเต้ ไม่รู้ด้วยความรักสายสัมพันธ์พี่น้อง หรือเป็นเพราะพระมารดาของชินอ๋องเป็นอดีตนางกำนัลคนสนิทของไทเฮา หรือเหตุอันใดทำให้ชินอ๋องผู้นี้สามารถดำรงอยู่ในเมืองหลวงข้างกายฮ่องเต้ได้ ทั้ง
ศาลยุคโบราณนี้ไม่ต่างจากยุคปีค.ศ.สองพันมากนัก มีตำแหน่งนั่งของคนเข้าดูบรรจุได้หลายสิบคน ตรงกลางเว้นไว้เป็นลานโล่งมีที่นั่งของจำเลย และทุกตำแหน่งนั่งหันไปทางตำแหน่งผู้พิพากษาและเหล่าเจ้าหน้าที่ตัดสินต่าง ๆ ซึ่งจัดไว้ในที่ปิดอย่างเหมาะสมเมื่อกลุ่มของชินอ๋อง องค์รัชทายาทและเฟยเมี่ยวมาถึงก็มีคนอยู่เต็มศาลว่าคดีแล้ว พวกนางมาถึงก็ไปอยู่ตรงตำแหน่งหลังที่นั่งของชินอ๋องอันนั่งแทนตำแหน่งของเสนาบดีหลิงทันที“เริ่มเลย”สิ้นคำของเต๋อรุ่ย บุรุษเคราย้อยผู้หนึ่ง ก็เดินออกมาข้างหน้าพร้อมหนังสือในมือเตรียมเปิดอ่านรายละเอียดคดีให้ทุกคนในศาลว่าคดีรู้กันถ้วนทั่วเขาคือบิดาของเหลียงซู สหายใหม่ที่โดนไล่ออกจากการเป็นพระสหายของเหล่าองค์หญิงองค์ชายไปแล้วนั่นเอง เขามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกรมตุลาการ หรือที่คนเรียกกันว่า ผู้ช่วยเลี่ยง“คดีนี้มีผู้ตายคือ นายตู้ อายุสี่สิบห้าปี อาชีพเก็บของป่าไปขาย ไม่มีภรรยา บิดามารดาตายหมดแล้ว เขาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าคนเดียว ในวันเกิดเหตุนั้นมีนายซางที่เป็นสหายมาร่วมดื่มสุราด้วยที่บ้าน เช้าวันต่อมามีชาวบ้านแถบนั้นพบศพนายตู้นอนสิ้นใจอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านในที่ลับตาคน ไม่ไกลมีมีดที
บทนำเขตวังหลวงเป็นสถานที่คนนอกอยากเข้ามาดูด้วยตาสักครา ทว่าหากมิใช่เหล่าขุนนางที่ต้องเข้ามาว่าราชการกับฮ่องเต้แห่งแคว้น ก็ต้องมีรับสั่งจากคนภายในอนุญาตให้เข้ามาได้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ย่างกายเข้ามา...คนที่อาศัยอยู่ข้างในนั้นกลับมีความคิดอยากออกไปข้างนอกยิ่ง และก็ออกไปได้ยากเช่นกันซุนเฟยเมี่ยวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยคิดอยากเข้าวังหลวงแต่พอได้มาอาศัยอยู่จริงแล้วกลับหาทางออกไปนอกวังหลวงเสียทุกวันและทุกเวลาเฟยเมี่ยวมิใช่นางกำนัล และยิ่งไม่ใช่คนในราชวงศ์ที่ต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงอันเปรียบเสมือนกรงทองแห่งนี้ แต่นางคือสตรีวัยสิบสี่ย่างเข้าสิบห้าใกล้วัยปักปิ่นที่ถูกบุพการีทอดทิ้ง !บิดา มารดาของซุนเฟยเมี่ยวนั้น ทิ้งให้นางต้องเติบโตในวังที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบและลำดับขั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ ที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอ ไม่แพ้ข้าวสามมื้อที่ต้องกินทุกวันเลยล่ะหากเจอคนที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ว่าตนเองจะมีอายุมากน้อยเพียงใดก็ต้องน้อมเคารพเสมอ มิเช่นนั้นแล้วอาจลืมตาตื่นอีกทีในคุกหลวงก็เป็นได้ทว่าสิ่งที่แม้ว่าทำถูก หากไม่เป็นที่ถูกใจก็ย่อมสามารถกลายเป็นผิดได้เสมอ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้...“พวกท่านช่างกล้าแย
กลางดึกในเขตวังหลวงนั้นเอง องครักษ์เฝ้ายามทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ใครต้องการบุกรุกเข้ามาล้วนทำได้ยากยิ่ง แต่ท่ามกลางความมืดนั้นเองก็ยังมีร่างเพรียวบางสวมชุดสีดำทั้งตัวกระโดดข้ามหลังคาด้วยฝีเท้าเบามิต่างจากฝีเท้าแมว นางห้ามจากหลังคาหนึ่งไปอักหลังหนึ่งด้วยเครื่องมือที่พิสดารไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ ค่อย ๆ อาศัยจุดบอดของการเฝ้ายาม เดินทางจนมาถึงตำหนักลู่ซานอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์หญิงสามลู่เอินร่างเพรียวชุดดำผู้นี้คือ ซุนเฟยเมี่ยวเอง คืนนี้นางมีนัดกับสหายข้างนอกวังหลวง แต่ก่อนออกไปนั้นนางต้องจัดการเหล่าบุคคลที่กลั่นแกล้งนางเมื่อช่วงกลางวันเสียก่อนเวลานี้กลางยามห้าย[1]แล้ว จากสายของเฟยเมี่ยวในตำหนักลู่ซานบอกไว้ว่ายามนี้ทั้งเจ้านายและบ่าวรับใช้ต่างเข้านอนหมดแล้ว เป็นช่วงเหมาะสมยิ่งที่เฟยเมี่ยวจะจัดการบางอย่างอย่างลับ ๆ ในตำหนักนี้ นางเข้าไปในตำหนักไม่นานจัดการนำผงสมุนไพรคันใส่ในหีบเสื้อผ้าของลู่เอินเสร็จก็จากไปทันทีเวรยามของวังหลวงเฟยเมี่ยวเข้าใจหมด ด้วยการใช้ทักษะที่ร่ำเรียนมากว่าสิบปีของการเป็นสายลับในชาติก่อน ค่อย ๆ ชักจูงคนด้วยความปรารถนาใต้บึ้งลึกจิตใจ หรือไม่ก็กิเลสหล
ศาลยุคโบราณนี้ไม่ต่างจากยุคปีค.ศ.สองพันมากนัก มีตำแหน่งนั่งของคนเข้าดูบรรจุได้หลายสิบคน ตรงกลางเว้นไว้เป็นลานโล่งมีที่นั่งของจำเลย และทุกตำแหน่งนั่งหันไปทางตำแหน่งผู้พิพากษาและเหล่าเจ้าหน้าที่ตัดสินต่าง ๆ ซึ่งจัดไว้ในที่ปิดอย่างเหมาะสมเมื่อกลุ่มของชินอ๋อง องค์รัชทายาทและเฟยเมี่ยวมาถึงก็มีคนอยู่เต็มศาลว่าคดีแล้ว พวกนางมาถึงก็ไปอยู่ตรงตำแหน่งหลังที่นั่งของชินอ๋องอันนั่งแทนตำแหน่งของเสนาบดีหลิงทันที“เริ่มเลย”สิ้นคำของเต๋อรุ่ย บุรุษเคราย้อยผู้หนึ่ง ก็เดินออกมาข้างหน้าพร้อมหนังสือในมือเตรียมเปิดอ่านรายละเอียดคดีให้ทุกคนในศาลว่าคดีรู้กันถ้วนทั่วเขาคือบิดาของเหลียงซู สหายใหม่ที่โดนไล่ออกจากการเป็นพระสหายของเหล่าองค์หญิงองค์ชายไปแล้วนั่นเอง เขามีตำแหน่งเป็นผู้ช่วยเสนาบดีกรมตุลาการ หรือที่คนเรียกกันว่า ผู้ช่วยเลี่ยง“คดีนี้มีผู้ตายคือ นายตู้ อายุสี่สิบห้าปี อาชีพเก็บของป่าไปขาย ไม่มีภรรยา บิดามารดาตายหมดแล้ว เขาอาศัยอยู่ในบ้านเช่าคนเดียว ในวันเกิดเหตุนั้นมีนายซางที่เป็นสหายมาร่วมดื่มสุราด้วยที่บ้าน เช้าวันต่อมามีชาวบ้านแถบนั้นพบศพนายตู้นอนสิ้นใจอยู่ที่ท้ายหมู่บ้านในที่ลับตาคน ไม่ไกลมีมีดที
ฮือ เฟยเมี่ยวขอถอนคำพูดที่เคยบอกไว้ว่าขี่ม้าง่ายกว่าขี่รถมอเตอร์ไซค์เสียตอนนี้ ชาติก่อนเฟยเมี่ยวขี่รถในสนามแข่งทีไรชนะที่หนึ่งตลอด ไยพอขี่ม้าแข่งบ้าง นางกลับไม่ชนะเสียทีเล่า !แดดแรงแล้ว เฟยเมี่ยวจึงขอทดไว้แข่งกับองค์รัชทายาทหวงลู่คราวหน้าแทน ทั้งสองคนลงจากหลังม้าได้ก็เดินเคียงคู่กันออกมาจากสนามวิ่งม้า จากที่เฟยเมี่ยวคิดไว้ว่าจะเดินกลับตำหนักของทันทีก็ต้องชะลอแผนนั้นไว้ก่อน เพราะที่ทางออกจากสนาม พบผู้สูงศักดิ์ท่านหนึ่งยืนอยู่เจอหน้ากันเพียงนี้แล้ว จะเลี่ยงตามกฎที่ตนตั้งไว้ก็ไม่ได้ จำต้องเผชิญหน้าเท่านั้น“ถวายบังคมชินอ๋องเพคะ”“คำนับเสด็จอาพะยะค่ะ”ตรงหน้าของนางนั้นคือบุรุษร่างสูงใหญ่สวมชุดสีดำทมึนพาดลายงูใหญ่นูนแต่ดูกลมกลืน บนชุดมีเพียงสีแดงเลือดกับสีทองบ้างช่วยแต่งเติมให้ดูยิ่งทรงอำนาจขึ้นไปอีก ชินอ๋องผู้นี้เป็นพระอนุชาของฮ่องเต้ที่อายุห่างกว่าสิบปี ปีนี้เขาน่าจะอายุยี่สิบห้า เป็นโอรสองค์เล็กสุดในอดีตฮ่องเต้ ไม่รู้ด้วยความรักสายสัมพันธ์พี่น้อง หรือเป็นเพราะพระมารดาของชินอ๋องเป็นอดีตนางกำนัลคนสนิทของไทเฮา หรือเหตุอันใดทำให้ชินอ๋องผู้นี้สามารถดำรงอยู่ในเมืองหลวงข้างกายฮ่องเต้ได้ ทั้ง
“เมี่ยวเมี่ยวชักจะเหิมเกริมเกินไปเสียแล้วนะ อันใดคือเจ้าหุบยิ้มทันทีที่มิได้อยู่ต่อหน้าเสด็จแม่กัน”เฟยเมี่ยวมิได้กลัวอันใดกับคำพูดเชิงตำหนิแต่เต็มไปด้วยการล้อเลียนของบุรุษข้างเคียง นางยังคงเดินจ้ำอ้าวต่อไปไม่ได้ให้หวงลู่ที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์รัชทายาทเดินนำอย่างที่ควรเลย“หม่อมฉันก็เรียนมาจากพระองค์ยามเข้าหน้าเหล่าขุนนางและลับหลังเหล่าขุนนางนั่นแหละเพคะ พระองค์ยิ้มบ่อยน่าจะรู้ว่าการหยักยกริมฝีปากมันเมื่อยเพียงใด”เขาล้อมา เฟยเมี่ยวก็ล้อกลับบ้างไม่ยอมแพ้หรอก ในวังหลวงแห่งนี้มีเพียงหวงลู่ผู้นี้นั่นล่ะที่รู้ว่าเนื้อแท้นิสัยของเฟยเมี่ยวซุกซนและเจ้าเล่ห์เพียงใด นางจึงสบายใจยามอยู่กับเขาและเอ่ยขอให้เขาช่วยพาออกนอกวังหลวงอยู่หลายครา ด้วยอำนาจขององค์รัชทายาทที่เป็นรองเพียงฮ่องเต้และฮองเฮา เฟยเมี่ยวเลือกคบเขาเป็นสหายแล้วมีประโยชน์เป็นที่สุด“เสด็จแม่ก็เอ็นดูเจ้าเสียจริง แล้วนี่ยังถูกลู่หลินแกล้งอยู่หรือไม่?”การที่หวงลู่รู้นั้นมิใช่เพราะว่าเฟยเมี่ยวมาฟ้องนะ แต่เพราะองค์หญิงสามแสนเอาแต่พระทัยผู้นั้นแสดงออกถึงความไม่ชอบหน้านางจนใครต่างก็รู้ดี ไม่เว้นแม้แต่ฮองเฮาเองนั่นแหละ“องค์หญิงสามแกล้งข้า
กลางดึกในเขตวังหลวงนั้นเอง องครักษ์เฝ้ายามทำหน้าที่ได้ดีแล้ว ใครต้องการบุกรุกเข้ามาล้วนทำได้ยากยิ่ง แต่ท่ามกลางความมืดนั้นเองก็ยังมีร่างเพรียวบางสวมชุดสีดำทั้งตัวกระโดดข้ามหลังคาด้วยฝีเท้าเบามิต่างจากฝีเท้าแมว นางห้ามจากหลังคาหนึ่งไปอักหลังหนึ่งด้วยเครื่องมือที่พิสดารไม่สามารถพบเห็นได้ทั่วไปในยุคนี้ ค่อย ๆ อาศัยจุดบอดของการเฝ้ายาม เดินทางจนมาถึงตำหนักลู่ซานอันเป็นที่ประทับส่วนพระองค์ขององค์หญิงสามลู่เอินร่างเพรียวชุดดำผู้นี้คือ ซุนเฟยเมี่ยวเอง คืนนี้นางมีนัดกับสหายข้างนอกวังหลวง แต่ก่อนออกไปนั้นนางต้องจัดการเหล่าบุคคลที่กลั่นแกล้งนางเมื่อช่วงกลางวันเสียก่อนเวลานี้กลางยามห้าย[1]แล้ว จากสายของเฟยเมี่ยวในตำหนักลู่ซานบอกไว้ว่ายามนี้ทั้งเจ้านายและบ่าวรับใช้ต่างเข้านอนหมดแล้ว เป็นช่วงเหมาะสมยิ่งที่เฟยเมี่ยวจะจัดการบางอย่างอย่างลับ ๆ ในตำหนักนี้ นางเข้าไปในตำหนักไม่นานจัดการนำผงสมุนไพรคันใส่ในหีบเสื้อผ้าของลู่เอินเสร็จก็จากไปทันทีเวรยามของวังหลวงเฟยเมี่ยวเข้าใจหมด ด้วยการใช้ทักษะที่ร่ำเรียนมากว่าสิบปีของการเป็นสายลับในชาติก่อน ค่อย ๆ ชักจูงคนด้วยความปรารถนาใต้บึ้งลึกจิตใจ หรือไม่ก็กิเลสหล
บทนำเขตวังหลวงเป็นสถานที่คนนอกอยากเข้ามาดูด้วยตาสักครา ทว่าหากมิใช่เหล่าขุนนางที่ต้องเข้ามาว่าราชการกับฮ่องเต้แห่งแคว้น ก็ต้องมีรับสั่งจากคนภายในอนุญาตให้เข้ามาได้เท่านั้น จึงจะมีสิทธิ์ย่างกายเข้ามา...คนที่อาศัยอยู่ข้างในนั้นกลับมีความคิดอยากออกไปข้างนอกยิ่ง และก็ออกไปได้ยากเช่นกันซุนเฟยเมี่ยวเองก็เป็นหนึ่งในคนที่เคยคิดอยากเข้าวังหลวงแต่พอได้มาอาศัยอยู่จริงแล้วกลับหาทางออกไปนอกวังหลวงเสียทุกวันและทุกเวลาเฟยเมี่ยวมิใช่นางกำนัล และยิ่งไม่ใช่คนในราชวงศ์ที่ต้องอาศัยอยู่ในวังหลวงอันเปรียบเสมือนกรงทองแห่งนี้ แต่นางคือสตรีวัยสิบสี่ย่างเข้าสิบห้าใกล้วัยปักปิ่นที่ถูกบุพการีทอดทิ้ง !บิดา มารดาของซุนเฟยเมี่ยวนั้น ทิ้งให้นางต้องเติบโตในวังที่เต็มไปด้วยกฎระเบียบและลำดับขั้น ยศถาบรรดาศักดิ์ ที่ต้องพึงระลึกไว้เสมอ ไม่แพ้ข้าวสามมื้อที่ต้องกินทุกวันเลยล่ะหากเจอคนที่มีศักดิ์สูงกว่าไม่ว่าตนเองจะมีอายุมากน้อยเพียงใดก็ต้องน้อมเคารพเสมอ มิเช่นนั้นแล้วอาจลืมตาตื่นอีกทีในคุกหลวงก็เป็นได้ทว่าสิ่งที่แม้ว่าทำถูก หากไม่เป็นที่ถูกใจก็ย่อมสามารถกลายเป็นผิดได้เสมอ อย่างที่เป็นอยู่ตอนนี้...“พวกท่านช่างกล้าแย