แชร์

บทที่ 5 ผู้มีพระคุณ

เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายและกำลังของ มิราวดีเริ่มตก เพราะไม่เคยต้องใช้แรงมากมายเท่านี้ พอเข้าตัวห้างสรรพสินค้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มีผู้คนค่อนข้างเยอะทำให้วิ่งหลบหนีได้ง่าย แม้จะมีคนมองทุกครั้งที่วิ่งผ่านหรือชน แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ ได้แต่กล่าวขอโทษในใจและวิ่งหนีต่อไป

“เฮ้ย อยู่ทางนั้น !”

“ทำไมตาดีขนาดนี้เนี่ย !” เธอบ่นพลางหันมองทั้งสองคนที่กำลังวิ่งตามทางบันไดเลื่อน แม้จะอยู่ห่างมากพอแต่ความไวของอีกฝ่ายก็ทำให้ประมาทไม่ได้

“เป็นนักวิ่งระดับชาติหรือไง !”

มิราวดีรู้ตัวดีว่าต้องหาสักที่หลบซ่อนไม่ให้หาเจอ แต่ถ้าเข้าห้องน้ำไปก็ไม่ปลอดภัย ถ้าหากไม่มีคนแล้วพวกนั้นบุกเข้ามา เหมือนไปติดกับเต็ม ๆ หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายจนเริ่มหาทางออกไม่ได้ แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ทว่าเธอก็ไม่มีโทรศัพท์หรือเงินติดตัวมาสักนิด ครั้นจะขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านก็รีบเดินหนีเธอทันที

ในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมาก ทำได้แต่วิ่งหนีไป กระทั่งหนีออกมาทางประตูของห้างที่เป็นลานรับส่งรถแล้ว ก็ยิ่งตัดสินใจลำบากว่าจะไปทางไหนต่อดี จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ทันเพราะพวกนั้นตามมาแล้ว

“นั่น ! อยู่ทางนั้น”

มิราวดีสะดุ้งลนลานเมื่อเห็นอีกฝ่ายห่างออกไปไม่ไกลมากนัก จึงรีบวิ่งหนีไปไม่คิดชีวิต ประสาทสัมผัสและสัญชาตญาณการหลบหนีพอรับรู้ได้ว่าพวกนั้นกำลังตามมาประชิด พอมองหนทางข้างหน้ากลับมืดมิด หญิงสาวตั้งมั่นในใจว่าจะต้องหาที่หลบบังกายเพื่อให้พวกนั้นตามหาไม่เจอ แต่แทบไม่มีที่ให้หนีต่อไป

ดวงตากลมมองเห็นรถคันหนึ่งผ่านมาและหยุดจอดอยู่ พอหันไปด้านหลังก็เห็นทั้งสองคนกำลังวิ่งมา หญิงสาวไม่มีเวลาคิดเยอะนอกจาก...เปิดได้ทีเถอะนะ !

มิราวดีภาวนาในใจและเปิดประตูกระโดดขึ้นรถทันที ไม่มองแม้แต่เจ้าของรถที่นั่งอยู่ด้วยซ้ำ หากจะแจ้งความจับก็ยิ่งดี พาเธอไปส่งตำรวจเลย !

พอเข้ามาแล้วก็ตั้งสติหันมองคนที่นั่งอยู่ในรถ จะให้ลงไปตอนนี้ก็ไม่ได้ มีแต่ต้องขออ้อนวอนเขา

“ออกรถก่อนได้ไหมคะ !” เธอสบตามองชายหนุ่มที่นั่งนิ่งอย่างอ้อนวอน ไม่รู้ว่าจะเป็นคนดีหรือไม่แต่ขอให้หลุดพ้นจากทั้งสองคนนี้ไปก่อน

รชตมองหญิงสาวที่เปิดประตูขึ้นรถมาด้วยสายตาเรียบนิ่งก่อนจะมองคนด้านนอกอีกสองคนที่กำลังวิ่งเข้ามา

“ออกรถได้”

เสียงที่พูดไม่ใช่เสียงของชายหนุ่ม แต่เป็นเสียงของไก่ตัวสีขาวที่อยู่ในกรงข้าง ๆ กับเธอ และคนขับรถก็ทำตามคำสั่ง

มิราวดีอึ้งจนคิดว่าตนเองต้องเสียสติของไปแล้วแน่

“ไก่...พูดได้...” หญิงสาวมองเหมือนเป็นเรื่องประหลาดและตกใจจนเผลอลืมเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อครู่

“จอดรถ” ชายหนุ่มสั่งและหันมองหญิงสาว “ลงไปได้แล้ว”

“คะ” มิราวดีอึ้งขานรับอย่างงง ๆ แต่พอนึกได้ว่าต้องเดินทางกลับต่อเองจึงพูดขึ้นว่า “คุณพอมีเงินให้ฉันไหมคะ ฉันสัญญาว่าจะคืนคุณแน่นอนค่ะ นะคะ...คือฉัน...”

“ลงไปได้แล้ว”

“ถ้างั้นไปส่งฉันที่สถานีตำรวจทีนะคะ !” หญิงสาวไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากทางนี้

“ขอร้องเถอะนะคะ”

ชายหนุ่มถอนหายใจออกมา มองหญิงสาวด้วยสายตาเรียบนิ่ง ครั้นจะพูดต่อแต่ก็โดนแทรกขึ้นเสียก่อน

“อยู่ที่ไหนล่ะ” แน่นอนไม่ใช่เสียงของคนขับรถหรือชายหนุ่ม แต่เป็นเสียงของไก่ตัวสีขาวที่อยู่ในกรงขนาดกลาง

“เร็วสิ ! จะให้ไปส่งที่ไหน” เจ้าไก่ตัวสีขาวเอียงคอพูด

“อยู่ที่คอนโด...” หญิงสาวตอบแบบงง ๆ

เมื่อได้คำตอบ รถก็เคลื่อนตัวออกไปอีกครั้ง รชตส่งสายตามองไก่ตัวผู้ที่อยู่ในกรงด้วยความขุ่นเคืองเป็นเชิงบอกว่า อยากเป็นไก่ต้มหรือไง !

ยี่สิบนาทีต่อมารถยนต์คันหรูสีดำหยุดจอดลงที่หน้าคอนโดฯ ของ มิราวดี เธอหันมองด้วยความโล่งใจและยกมือขึ้นขอบคุณชายหนุ่ม

“ขอบคุณมากนะคะ ฉันสัญญาว่าจะตอบแทนบุญคุณคุณแน่นอน”

“หนีหนี้มาสินะ” เจ้าไก่เอ่ยขึ้น

“เปล่าค่ะ” เธอตอบเสียงแผ่ว ถึงจะบอกว่าใช่ก็ไม่ถูกเพราะไม่ใช่หนี้ของเธอสักหน่อย หญิงสาวผ่อนลมหายใจหันไปมองชายหนุ่มแล้วเอ่ยขึ้น “แต่ยังไงก็ขอบคุณอีกครั้งนะคะ”

กล่าวขอบคุณก่อนที่จะรีบลงจากรถ เพราะเห็นสีหน้าของชายหนุ่มดูไม่พอใจเท่าไหร่ ถึงจะรู้สึกแปลก ๆ บ้างที่อาศัยรถเขามาส่งแต่ความโล่งใจที่เกิดขึ้นและอิสระที่หนีมาได้ ทำให้รู้สึกว่าสวรรค์ยังเมตตา แน่นอนว่าจะอยู่ที่นี่ต่ออีกไม่ได้ หากพวกนั้นถามถึงที่อยู่จากแฟนและตามมาละก็ทุกอย่างคงจบกันแน่นอน

“อะไร มองฉันแบบนั้นหมายความว่ายังไง”

เจ้าไก่ตัวสีขาว หรือนามว่า ‘อาโป’ เอ่ยถาม

รชตมองด้วยสายตาขุ่นเคือง “นายอยากเป็นยาบำรุงให้ฉันหรือไง”

“นายต้องขอบคุณฉันสิ ! ฉันเป็นเทพนะ เทพเจ้าน่ะ” อาโปขยับปีกดิ้นอยู่ในกรงจนเกือบตกจากที่นั่ง มองชายหนุ่มที่ส่งสายตาประมาณว่า ‘อ้อ งั้นเหรอ’ พอเห็นแล้วก็ยิ่งหงุดหงิด ทั้งที่เขาเป็นเทพรูปหล่อที่ต้องมาซวยอยู่ในร่างไก่สีขาวที่หมดอายุขัยแล้ว ไม่ว่าจะพยายามแค่ไหนก็กลับไปร่างเดิมไม่ได้สักที

“ถ้านายไม่ได้ช่วย ฉันคงไม่รู้หรอกว่าผู้หญิงคนเมื่อกี้คือคนที่นายกำลังตามหาอยู่”

“หมายความว่ายังไง” สีหน้าของรชตดูเปลี่ยนไป

อาโปขยับปีกวางท่า “ฉันสัมผัสได้ว่าดวงวิญญาณของเธอเหมือนกับของผู้หญิงคนนั้น...อาจจะเป็นสิ่งที่ฉันรอคอยคือการกลับไปเป็นเทพเจ้ารูปหล่ออีกครั้งหนึ่ง !”

“ถ้านายพูดผิดอาจจะได้อยู่ร่างนี้ไปกับฉันอีกสักร้อยปี”

“ไม่มีทางหรอกน่า!” อาโปขยับปีกหมายบินเข้าหาชายหนุ่ม เป็นเพราะพิธีกรรมโบราณนั่น ทำให้เขาต้องเผลอซวยมาเป็นผู้พิทักษ์จำเป็นเพื่อช่วยชายผู้นี้จนกว่าจะแก้คำสาปได้

“ฉันไม่อยากอยู่ร่างนี้ไปถึงหนึ่งพันปีหรอกนะ ให้ตายสิ !”

ชายหนุ่มมองด้วยสีหน้าเรียบนิ่ง

เขาไม่รู้สึกถึงตัวตนหรือวิญญาณของหญิงสาวเลยแม้แต่นิดเดียว หลายร้อยปีมานี้เดินทางไปทั่ว ย้ายถิ่นไปเรื่อย และตามหาเธอ ทุกครั้งที่เข้าใกล้หรือรู้สึกว่าต้องเป็นคนเดียวกันกลับมาเกิดใหม่ แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่

“ถ้าใช่ก็จะแก้คำสาปนี้ได้ใช่ไหม”

“อืม” อาโปทำท่าทางนึกคิด “ตอนที่ทำพิธีนี้ ผู้หญิงคนนี้เต็มใจมอบด้วยความรัก ฉันคิดว่าถ้านายทำให้เธอรักได้ ก็อาจจะ”

มันยากลำบากเหลือเกินที่จะทำใจแสร้งเล่นละครอีกครั้งหนึ่งเพื่อหลอกล่อให้เธอช่วยแก้คำสาป ทว่าการมีชีวิตอายุยืนนั้นไม่ได้ทำให้เขามีความสุขแม้แต่น้อย

“แค่นายทำให้เธอรักนายก่อน ส่วนที่เหลือฉันจะลองหาวิธีดู” อาโปพูดด้วยสีหน้าคิดหนัก แม้จะเป็นเทพก็ไม่ได้รู้อะไรมากขนาดนั้น ซ้ำพิธีนี้สร้างขึ้นจากความเชื่อของมนุษย์จนเกิดเป็นความศักดิ์สิทธิ์ที่เทพองค์หนึ่งประทานพรให้ ในอดีตกาลหลายพันปีที่ถูกสืบทอดมา แต่ไม่มีใครได้ใช้มันแม้สักครั้งเดียว จวบจนเวลาก็ผ่านมานานจนความเชื่อเหล่านี้ถูกลบเลือนไปเกือบสิ้น

รชตส่งสายตานิ่ง ๆ ก่อนหันหน้าออกไปทางหน้าต่างรถ มองวิวกลางคืนพลางคิดเพียงลำพัง ถ้าหากง่ายขนาดนั้นคงจะดีไม่น้อย เขาจะได้หยุดความอมตะที่ทรมานนี้สักที

“แล้วนายอยากให้ฉันช่วยไหมล่ะ”

ชายหนุ่มพยักหน้า “มีแผนเหรอ”

เจ้าไก่สีขาวส่งสายตามีเลศนัย ยิ้มหัวเราะอย่างมีชัย

“ระดับท่านเทพซะอย่าง”

บทที่เกี่ยวข้อง

บทล่าสุด

DMCA.com Protection Status