“ผมจะรอคำตอบจากคุณ”
มิราวดีเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ชั่วครู่ พอรู้สึกตัวก็รีบขยับตัวถอย ห่างทันที “เอ่อ ฉันขอตัวก่อนนะคะ” เมื่อพูดจบหญิงสาวก็รีบเดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างรวดเร็ว รชตมองคนตัวเล็กเดินจากไปจนลับสายตา จึงเดินออกจากห้องรับแขกขึ้นมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ ไม่นานนักอาโปก็เดินเข้ามา “ปล่อยโอกาสแบบนี้ไปจะดีเหรอ ฉันเองก็ไม่อยากใช้พลังเยอะนะ รู้ไหมว่าฉันต้องอ่านความทรงจำของเธอ และสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้หล่อนขับมาทางนี้ได้ลำบากแค่ไหน...” อาโปเดินเข้ามาพลางบ่น พลังของเทพก็มีขีดจำกัดในการรับรู้เรื่องราว เพราะฉะนั้นถึงรับรู้เพียงเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ว่าหญิงสาวต้องการย้ายที่ใหม่อย่างเร่งด่วนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ไม่อาจรับรู้ได้ เจ้าไก่สีขาวกระโดดขึ้นนั่งประจำที่เก้าอี้เล็ก “วันนี้อาหารว่างไม่ได้เรื่องเลยนะ” “ถ้าเรื่องมากก็ไปทำกินเองสิ” รชตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่... “หน็อย !” อาโปมองด้วยแววตาขุ่นเคือง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อยปีนิสัยและวาจาก็ยังคงไม่เปลี่ยน เฮ้อ...แต่ก็นะ “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป” ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังไงเธอก็ต้องกลับมา” อาโปหันมองแววตามั่นใจและรอยยิ้มที่ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของรชต ครั้นพอเห็นสัญลักษณ์ที่หลังมือแล้วก็เข้าใจทันที ‘ให้ตายสิ แต่ก็...ยังดีที่ตามหาเจอสักที’ ไม่ต้องพูดหรืออธิบายอะไรเยอะ อาโปเดินออกจากห้องหนังสือมา ครั้นประตูปิดลงก็หันกลับไปมองแล้วถอนหายใจ แทนที่จะรั้งเธอไว้หากว่าอีกฝ่ายเจอเรื่องร้ายแล้วดันถึงคาดไปซะก่อนคงไม่ต้องรอไปอีกร้อยปีหรือยังไงกัน ผ่านไปหลายชั่วโมงแล้ว ก็ยังหาที่พักใหม่ที่ถูกใจไม่ได้ เมื่อเป็นเช่นนั้นมิราวดีจึงหาโรงแรมเพื่อเข้าพักชั่วคราวสำหรับคืนนี้ก่อน สองเท้าก้าวเข้ามาให้ห้องนั่งลงที่ปลายเตียงถอนหายใจออกมาด้วยความเหนื่อยล้า พลางนึกถึงหน้าและรอยยิ้มของแฟนหนุ่ม มันเจ็บมากกว่าการถูกบอกเลิกอีก นี่ไม่มีการบอกเลิกแต่ก็ทำเหมือนว่าไม่ได้รักเธอ เขาไม่เป็นห่วงความรู้สึกของเธอด้วยซ้ำไป ไม่เลยสักนิด จนตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาที่พึ่งได้ที่ไหนอีก หากว่ายังมีคนในครอบครัวให้กลับไปละก็ บางทีอาจจะไม่ต้องดิ้นรนหนีเพียงลำพัง เวลาแบบนี้แม้แต่จะร้องไห้ก็ไม่มีน้ำตาสักหยด เธออึ้งและเจ็บปวดจนทำอะไรไม่ถูก เหนื่อยเหลือเกิน มิราวดีไม่กล้าที่จะนำเรื่องนี้ไปแจ้งความ เพราะไม่มีหลักฐานมากพอและคิดว่าคงทำอะไรพวกมันไม่ได้ มันไม่ต่างจากมาเฟียที่ทำเรื่องใต้ดินสกปรกและมีเงินมากพอที่จะซื้อคนเพื่อปกปิดเรื่องชั่ว ๆ พอยิ่งมีเวลาคิดมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งเจ็บปวดมากขึ้น นอกจากจะต้อง ตัดพ้อการกระทำของแฟนแล้วยังต้องมาหนีตายอีก ทำไมเขาถึงได้เห็นแก่ตัวขนาดนี้ ที่ผ่านมาทั้งหมดเป็นการแสดงงั้นเหรอ มิราวดีหัวเราะสมเพชให้กับตัวเอง มือไม้สั่นจนทำอะไรไม่ถูก แต่ก็ไม่มีน้ำตาสักหยดไหลลงมา เธอรู้สึกเจ็บใจ โกรธ อยากจะฆ่าเขาให้ตายมากกว่าเสียใจซะอีก ทำไมถึงไปรักคนแบบนั้นได้ตั้งหลายปี... เสียงเพลงในผับและหญิงสาวหน้าตาดีกำลังเต้นยั่วยวน หลายวันมานี้ณัฏฐ์เปลี่ยวเหงาใจอยากจะหาเพื่อนคุยด้วยสักคน จึงออกมาเที่ยวเปลี่ยนบรรยากาศข้างนอก กระทั่งหันไปเห็นเป้าหมายที่กำลังเดินเข้ามา นัยน์ตาจับจ้องร่างอรชรในชุดเดรสสีดำ เขาเฝ้ารอจังหวะที่เธอนั่งลงที่เก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์จึงถือโอกาสย้ายที่ไปนั่งข้าง ๆ “ขอเหมือนเธอหนึ่งที่ด้วยครับ” เขาสั่งและยิ้มโปรยเสน่ห์ให้ “ผมขอนั่งเป็นเพื่อนด้วยได้ไหมครับ ถ้าคุณไม่รังเกียจ” เขาพูดด้วยน้ำเสียงทุ้มชวนฟัง อรวรรยาหันมายิ้มหวานให้ พลางส่งสายตาสำรวจชายหนุ่มหน้าตาดี “ก็...เอาสิคะ” “ผมชื่อณัฏฐ์นะครับ แล้วคุณชื่อ...” “อิงอรค่ะ เรียกฉันว่าอิงก็ได้ค่ะ” หญิงสาวยิ้มสวยยั่วชายหนุ่ม สายตาบ่งบอกถึงความพอใจทางหน้าตาของเขาเป็นอย่างมาก “คุณมาคนเดียวเหรอคะ” “ใช่ครับ” ณัฏฐ์ยกเครื่องดื่มในมือขึ้นดื่ม พลางเหลือบสายตามองสัดส่วนของหญิงสาวตรงหน้า “เออ...แล้วคุณมาคนเดียวเหรอครับ” “ค่ะ ฉันแค่อยากมานั่งเฉย ๆ แก้เบื่อน่ะค่ะ” อรวรรยาตอบก่อนขยับตัวโน้มเข้าไปใกล้ชายหนุ่มกระซิบเสียงหวานว่า “คุณอยากจะมาเป็นเพื่อนแก้เหงาของฉันไหมล่ะคะ” ณัฏฐ์ยิ้มอย่างไม่ปฏิเสธคำเชิญชวนของอีกฝ่าย “ถ้างั้นเราไปเปลี่ยนบรรยากาศที่อื่นดีไหมคะ” หญิงสาวเชิญชวนอย่างไม่อาย ส่งสายตายั่วชายหนุ่มที่ตอบรับท่าทีของเธอ “ได้สิครับ” ณัฏฐ์ลุกขึ้นเดินโอบอรวรรยาออกไป โดยที่ไม่ปฏิเสธคำชวนแสนหวานแต่อย่างใด ในเวลานี้จิตใต้สำนึก ความคิดถูกครอบงำไปเรียบร้อย พลันนึกถึงเรื่องของมิราวดีก็ไม่ได้ย้ำเตือนความรู้สึกผิด ซ้ำยังคิดอีกว่าแฟนเขาไม่ว่างจะมารับรู้เรื่องนี้ได้อยู่แล้ว อรวรรยาเดินควงชายหนุ่มออกมาจนถึงหน้าประตู ก่อนส่งสัญญาณ มือให้คนติดตามถอยออกห่าง เพราะต้องการความเป็นส่วนตัว ส่วนณัฏฐ์ก็ไม่ได้สังเกตเพราะเอาแต่จ้องหน้าอกอวบอิ่มของหญิงสาวไม่วางตา กระทั่งทั้งสองคนเดินออกมายังลานจอดรถก็มีผู้ชายสองคนใส่ชุด สีดำเดินเข้ามาดักข้างหน้า “พวกแกเป็นใคร” เสียงแหลมของหญิงสาวเอ่ยขึ้นไม่พอใจ “เฮ้ย จับตัวมันไป” คนที่อยู่ทางด้านหลังเดินเข้ามา ณัฏฐ์จำหน้า คนนี้ได้ว่าเป็นคนของเฮียโชคชัย “เดี๋ยวก่อน !” อรวรรยาเอ่ยขึ้นพลางส่งสายตามอง “พวกแกถอยออกไปถ้าไม่อยากเจอดี” ณัฏฐ์มองหญิงสาวข้างตัวก็รีบเดินเข้ามาโอบและพูดเสียงหวาน “คุณอิงใจเย็น ๆ นะ” คนตัวใหญ่ไม่ได้สนใจผู้หญิงกลับใช้กำลังลากณัฏฐ์ออกมา อรวรรยารู้สึกหงุดหงิดที่ผู้ชายคนนี้กำลังจะถูกแย่งไปจึงลงสัญญาณเรียกคนติดตามที่ยืนห่างออกไปเข้ามาจัดการซ้อมคนทั้งสามทันที แน่นอนว่าสามคนไม่สามารถสู้คนติดตามที่มีเกือบสิบคนได้ คนหนึ่งหมอบลงกับพื้น อีกสองคนถูกบังคับให้ยืนขึ้นและซ้อมจนใบหน้า ลำตัวฟกช้ำไปหมด ณัฏฐ์เห็นแล้วได้แต่กลืนน้ำลายไม่กล้ามีปากเสียงหรือเอ่ยห้ามอะไร “อย่ามาให้เห็นหน้าอีก และอย่ามายุ่งกับคนของฉัน เข้าใจไหม !” อรวรรยาพูดด้วยน้ำเสียงขุ่นเคืองก่อนจะเดินมาหาณัฏฐ์ที่ยืนอึ้งอยู่ “ขอโทษนะคะ ที่ทำให้คุณตกใจ พอดีคุณพ่อชอบให้มีคนติดตามเพื่อความปลอดภัย คุณคงไม่กลัวฉันใช่ไหมคะ” ณัฏฐ์พูดไม่ออกแต่ก็ยิ้มอ่อยให้หญิงสาว นี่อาจจะเป็นโชคดีที่โชคชัยไม่ต้องมาตามราวีอีกก็ได้ หนี้ก็ได้ใช้หมดไปแล้ว เขาเองก็ไม่เข้าใจว่าพวกมันจะตามมาอีกทำไม “ไม่เลยครับ คุณเท่และก็สวยมากเลย” “จริงเหรอคะ” เธอทำสีหน้าดีใจ แล้วเอ่ยถามชายหนุ่มว่า “พวกมันตามคุณทำไมคะ หรือว่าคุณ...” “ไม่มีอะไรหรอกครับ พวกมันแค่ตามหาเพื่อนผมไม่เจอ เลยจะมาทำร้ายผม...ผมโชคดีมากที่มีนางฟ้าอย่างคุณมาปกป้อง” “งั้นเหรอคะ” หญิงสาวขานรับมองสามคนในสภาพที่ดูไม่ได้อย่างสมเพช ชายหนุ่มพยักหน้าพลางขยับตัวโน้มเข้าไปใกล้ “ถ้ายังไงเราไปเปลี่ยนบรรยากาศกันเถอะครับ” “ไปสิคะ”อรวรรยาตอบกลับก่อนส่งสัญญาณให้ลูกน้องปล่อยสามคนนั้นไป ณัฏฐ์ควงหญิงสาวขึ้นไปอย่างมีความสุข ช่างโชคดีจริง ๆ หากได้มาเป็นคู่ควงคงไม่มีอะไรต้องกลัว สำหรับคืนนี้เขาจะมอบความพึงใจให้เธอไม่ไปสนใจใครได้อีก...นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจิตนาการของนักเขียนเท่านั้น เนื้อเรื่อง สถานที่ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เเละตัวละครไม่มีอยู่จริง ผู้อ่านที่น่ารักโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยจ้า ทั้งหมดคือการสมมุติเพื่อเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดค่ะ./สามีพันธกาลรักเขียน เฌอรินทิพย์././ปีคริสต์ศักราช 199Xตึกสูงระฟ้ามากมายในเมืองหลวง ถนนหนทาง และเทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกยุคทุกสมัย เสียงฝีเท้าหยุดลง ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปร่าง สูงโปร่ง ดวงตาสีเทาดำ เรือนผมสีดำ ใบหน้าคมสัน ริมฝีปากเรียว ยืนแหงนมองตึกสูงโดยรอบ ผู้คนขวักไขว่กันด้วยชีวิตเร่งรีบ ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม กาลเวลาผันผ่านอย่างรวดเร็วทว่าอายุขัยของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง“นายท่าน” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้เขาหันไปมองดวงตานิ่งของชายหนุ่มมองพินิจคนตรงหน้าซึ่งถูกส่งตัวมา“ผมชื่อมงคลเป็นลูกชายของเด่นภูมิ มาทำหน้าที่รับใช้นายท่านต่อจากพ่อครับ”“อืม” เขาพยักหน้ารับชายหนุ่มมอง ก่อนจะส่งกรงที่ถืออยู่ในมือให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้ถามสิ่งอื่นใดแล้วเดินขึ้นมานั่งในรถ จนกระทั่งรถออกตัวได้สักพัก เสียงของคนขับรถก็พูดขึ้น “พ่อผมเสียไปเมื่อปีที่แล้ว
บทที่ 1 ปีคริสต์ศักราช 20XX ภายในห้องชุดคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง เสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น หญิงสาวรูปร่างเพรียวส่วนสูงราวกับนางแบบ ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาสีดำกลมโต ริมฝีปากอิ่มเข้ากับรูปหน้า กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะที่เลือกหยิบเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก รอยยิ้มหวานปรากฏออกมาครั้นนึกถึงคำพูดของแฟนหนุ่มเมื่อสามวันก่อนที่ดังก้องในหัว ‘ที่รัก...เราแต่งงานกันนะ’ มิราวดีหยิบเสื้อผ้าขึ้นทาบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังไม่พอใจ วันนี้แฟนหนุ่มกำชับให้แต่งตัวสวยที่สุดด้วยแล้วยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีกแน่นอน ดวงตากลมหันมองเสื้อผ้าหลายสิบชุดที่กองรวมอยู่บนเตียง หยิบยกขึ้นมาดูหลายทีโดยที่ยังตัดสินใจไม่ได้ พอได้ยินเสียงสั่นข้อความเข้าจึงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดอ่าน รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าอย่างมีความสุข มองตัวอักษรบนจออย่างเขินอาย มิราวดีวางโทรศัพท์ก่อนหันไปเลือกชุดต่อเมื่อรู้ว่าเสียเวลาไปนานพอสมควร มือหยิบชุดขึ้นทาบมองตัวเองสะท้อนจากหน้ากระจก ก่อนตัดสินใจเลือกชุดเดรสสั้นเหนือเข่าเข้ากับสีผิวและสีผม เมื่อเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมไปทานมื้อค่ำได้แล้ว หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำออกมาแ
ณัฏฐ์ขยับตัวนั่งที่เบาะเหมือนเดิม พลางมองคู่หมั้นหลับคอพับด้วย สีหน้าลังเล จะต้องทำจริง ๆ หรือ ผู้หญิงคนนี้คือคนที่กำลังจะแต่งงานด้วยและเป็นคนที่ไว้ใจเขามากที่สุด แต่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องตายทั้งคู่ และเธอก็บอกเองว่าต่อให้เขาทำผิดมากแค่ไหนก็อภัยให้ได้เสมอ “ขอโทษนะ” เขาได้แต่เอ่ยขอโทษด้วยความผิดบาป แม้ใจยังลังเลอยากจะเลี้ยวรถกลับไปก็ตาม “บ้าจริง !” ส่วนลึกในใจตอกย้ำต่อความรักและความเชื่อใจที่มีให้กันจนไม่กล้าที่จะทำ ณัฏฐ์นั่งลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจจะขับรถเลี้ยวกลับไปทว่า ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ เสียงเคาะกระจกทำให้เขาสะดุ้งหันไปมองด้วยความหวาดหวั่น คนด้านนอกทำมือเป็นสัญญาณบอกให้ออกมา ณัฏฐ์ทำอะไรไม่ถูกเพราะ ความกลัวกำลังครอบงำจิตใจ จึงทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยง่าย “เงินอยู่ไหน” ชายหนุ่มสะดุ้งพลางยกมือขึ้นไหว้ “ผมยังไม่มี ผม...” ยังพูดไม่ทันจบณัฏฐ์ก็ถูกอีกฝ่ายต่อยล้มลงที่พื้น ครั้นจะทรงตัวยืนขึ้นก็ถูกกระทืบซ้ำอีกหลายที “อั๊วบอกแล้ว ถ้าไม่มีเงินให้ก็ต้องตาย !” ชายหนุ่มมองปืนที่อยู่ในมือชายร่างท้วมด้วยความหวาดกลัว พลาง ยกมือขึ้นไหว้ของร้องชีวิต “เฮียโ
นานเกือบสองชั่วโมง กว่าที่หญิงสาวคนนี้จะยอมเล่าว่าตนเองนั้นก็ถูกขายใช้หนี้พนันเหมือนกัน และก็พยายามหาทางหนีหลายรอบแต่ไม่เคยสำเร็จ ทั้งยังบอกอีกว่ามีทางเดียวที่จะหนีได้คือช่วงหลังงานประมูล ช่วงนั้นคนคุมมีน้อย ซ้ำเฮียโชคหรือพ่อค้ามนุษย์ก็สนใจแต่ลูกค้าและเงินที่กำลังได้มา“เราหนีไปด้วยกันไหม”อีกฝ่ายส่ายหน้า เพราะรู้ว่าหมดหนทางแล้ว“ไม่ได้ เพราะพวกมันเข้มงวดกับฉันมากขึ้น หากมันเจอว่าฉันหนีไปอีก ฉันต้องถูกฆ่าตายแน่ ๆ ถ้าเธอหนีไปได้ก็รีบย้ายที่อยู่ ย้ายไปให้ไกล ๆ ไม่ให้มันตามเจอ”มิราวดีพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรอีก เพราะนอกจากจะต้องหนีแล้วคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ได้เพียงแค่เฝ้ารอเวลาที่จะถูกขายประมูลออกไปหญิงสาวรู้สึกเจ็บใจมากกว่าเจ็บปวด เพราะไว้ใจแฟนหนุ่มราวกับคนในครอบครัวแต่ท้ายที่สุดกลับถูกแทงข้างหลัง ความรักที่มีไม่ได้สลายหายไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่มันกลับดูว่างเปล่าและย้ำเตือนว่าที่ผ่านมาแค่คำหลอกลวง ไม่ใช่ความจริงใจ ไม่ใช่ความรัก แค่คำตอแหลของผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้นถ้าเขารักเธอจริง คงไม่ทำร้ายชีวิตเธอแบบนี้ !หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...มิราวดีใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงในห้องพัก
เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายและกำลังของ มิราวดีเริ่มตก เพราะไม่เคยต้องใช้แรงมากมายเท่านี้ พอเข้าตัวห้างสรรพสินค้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มีผู้คนค่อนข้างเยอะทำให้วิ่งหลบหนีได้ง่าย แม้จะมีคนมองทุกครั้งที่วิ่งผ่านหรือชน แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ ได้แต่กล่าวขอโทษในใจและวิ่งหนีต่อไป“เฮ้ย อยู่ทางนั้น !”“ทำไมตาดีขนาดนี้เนี่ย !” เธอบ่นพลางหันมองทั้งสองคนที่กำลังวิ่งตามทางบันไดเลื่อน แม้จะอยู่ห่างมากพอแต่ความไวของอีกฝ่ายก็ทำให้ประมาทไม่ได้“เป็นนักวิ่งระดับชาติหรือไง !”มิราวดีรู้ตัวดีว่าต้องหาสักที่หลบซ่อนไม่ให้หาเจอ แต่ถ้าเข้าห้องน้ำไปก็ไม่ปลอดภัย ถ้าหากไม่มีคนแล้วพวกนั้นบุกเข้ามา เหมือนไปติดกับเต็ม ๆ หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายจนเริ่มหาทางออกไม่ได้ แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ทว่าเธอก็ไม่มีโทรศัพท์หรือเงินติดตัวมาสักนิด ครั้นจะขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านก็รีบเดินหนีเธอทันทีในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมาก ทำได้แต่วิ่งหนีไป กระทั่งหนีออกมาทางประตูของห้างที่เป็นลานรับส่งรถแล้ว ก็ยิ่งตัดสินใจลำบากว่าจะไปทางไหนต่อดี จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ทันเพราะพวกนั้นตามมาแล้ว“นั่น ! อยู่
มิราวดีไม่มีเวลาให้ทำใจหรือเสียใจกับความรักที่มอบให้แฟนหนุ่มมาหลายปีมากนัก เพราะต้องตั้งสติเอาชีวิตรอดจากนรกบนดินนี้เสียก่อน หญิงสาวรีบจัดเก็บของลงกระเป๋าเท่าที่ทำได้ โชคดีที่ไม่มีของเยอะ หลังจากเก็บของใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมงจนข้ามวันใหม่ เธอจึงใช้โทรศัพท์เครื่องสำรองรีบโทร.บอกเจ้าของห้องไม่ต่อสัญญาและย้ายออกทันทีเมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วจึงรีบโทร.แจ้งธนาคารอายัดธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดไว้ ถึงแม้ใจอยากจะแจ้งความมาก แต่หากแจ้งไปต่อให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นคงไม่เจอเพราะพวกนั้นคงไหวตัวทันในเวลานี้มิราวดีไม่ไว้ใจเพื่อนสนิทหรือใครที่รู้จักเลย เพราะอาจจะบอกที่อยู่ให้แฟนหนุ่มรู้ได้ จึงทำได้เพียงเก็บและขนของทั้งหมดที่ใส่ได้ลงรถ และขับออกจากคอนโดฯ ไปอย่างรวดเร็วหญิงสาวขับรถออกจากสถานที่เดิมมาหาห้องพักเพื่ออยู่ชั่วคราวไปก่อน แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยกระทั่งรถขับผ่านบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกจากใจกลางเมือง ซ้ำยังประกาศติดว่า “แชร์เฮ้าส์”ดวงตากลมมองด้วยความลังเลเพราะไม่ชินกับการอยู่ร่วมคนแปลกหน้า แต่นี่อาจจะเป็นความปลอดภัยแบบหนึ่งก็ได้ มิราวดีตัดสินใจจอดรถไว้ข้างทาง และกำลังจะกดก