นานเกือบสองชั่วโมง กว่าที่หญิงสาวคนนี้จะยอมเล่าว่าตนเองนั้นก็ถูกขายใช้หนี้พนันเหมือนกัน และก็พยายามหาทางหนีหลายรอบแต่ไม่เคยสำเร็จ ทั้งยังบอกอีกว่ามีทางเดียวที่จะหนีได้คือช่วงหลังงานประมูล ช่วงนั้นคนคุมมีน้อย ซ้ำเฮียโชคหรือพ่อค้ามนุษย์ก็สนใจแต่ลูกค้าและเงินที่กำลังได้มา
“เราหนีไปด้วยกันไหม” อีกฝ่ายส่ายหน้า เพราะรู้ว่าหมดหนทางแล้ว “ไม่ได้ เพราะพวกมันเข้มงวดกับฉันมากขึ้น หากมันเจอว่าฉันหนีไปอีก ฉันต้องถูกฆ่าตายแน่ ๆ ถ้าเธอหนีไปได้ก็รีบย้ายที่อยู่ ย้ายไปให้ไกล ๆ ไม่ให้มันตามเจอ” มิราวดีพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรอีก เพราะนอกจากจะต้องหนีแล้วคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ได้เพียงแค่เฝ้ารอเวลาที่จะถูกขายประมูลออกไป หญิงสาวรู้สึกเจ็บใจมากกว่าเจ็บปวด เพราะไว้ใจแฟนหนุ่มราวกับคนในครอบครัวแต่ท้ายที่สุดกลับถูกแทงข้างหลัง ความรักที่มีไม่ได้สลายหายไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่มันกลับดูว่างเปล่าและย้ำเตือนว่าที่ผ่านมาแค่คำหลอกลวง ไม่ใช่ความจริงใจ ไม่ใช่ความรัก แค่คำตอแหลของผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้น ถ้าเขารักเธอจริง คงไม่ทำร้ายชีวิตเธอแบบนี้ ! หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป... มิราวดีใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงในห้องพักโทรม ๆ อาหารทุกมื้อถูกส่งมาให้ครบไม่มีขาด และเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่ผ่านมาหญิงสาวที่อยู่ร่วมห้องถูกพาตัวออกไป อีกไม่นานก็คงถึงเวลาของเธอแล้ว ในใจหวาดหวั่นด้วยความกลัวแต่ก็ต้องข่มสติและพยายามหาหนทางหนีให้ได้ ดวงตากลมกวาดสายตามองของภายในห้องที่พอจะใช้เป็นอาวุธสำหรับหลบหนี ทว่าในห้องนี้ไม่มีอะไรสักอย่างนอกจากฟูกนอนบนพื้นและชักโครกในห้องน้ำเท่านั้น ราวกับว่าพวกมันรู้ว่ามีผู้หญิงหลายคนที่ถูกพามาและพยายามจะหนีออกไป ประตูห้องถูกเปิดออกอย่างแรง มิราวดีสะดุ้งขยับตัวถอยหนีเมื่อมีผู้ชายร่างใหญ่ถึงสองคนเดินเข้ามา “พาตัวออกไป อย่าให้สินค้าเสียหาย” หญิงสาวรู้ดีว่าสักวันจะต้องมาถึง จึงนิ่งควบคุมสติไม่ร้องโวยวาย และยอมเซไปตามแรงดึงที่ชายสองคนนั้นพาออกไป “นี่ จะพาฉันไปไหน” อีกฝ่ายหันมองโดยไม่ตอบ แต่ในใจก็รู้อยู่แล้วว่าวันนี้เป็นวันของเธอที่จะต้องถูกขายประมูลออกไป เมื่อเดินออกมาจนถึงห้องหนึ่ง เธอก็ถูกผลักเข้าไปและได้ยินคำสั่งว่าให้จัดการอาบน้ำเปลี่ยนชุดให้ดูสะอาด แต่ก็ไม่ใช่ข่าวดีมากนัก ผู้หญิงที่มาแต่งหน้าให้เธอได้พูดออกมาว่า “เธอโชคดีนะ ที่ไม่ต้องถูกประมูล แถมได้ข่าวมาว่าลูกค้าคนนี้เงินหนา สบายไปทั้งชาติแน่ ๆ ” เมื่อได้ยินเช่นนั้นมิราวดีก็ใจหายวาบ ความรู้สึกและแผนการที่เตรียมตัวหนีมานั้นหายไปหมดสิ้น เธอไม่ได้ถูกส่งไปประมูล แต่เขาจับมาแต่งตัวเพื่อส่งให้ลูกค้าวีไอพี ! หลังจากที่ถูกจับแต่งหน้าใส่เสื้อผ้าชุดใหม่เสร็จแล้ว ทุกคนก็ออกจาก ห้องไป หญิงสาวได้แต่นั่งนิ่งตัวสั่นจนทำอะไรไม่ถูก หากสวรรค์ยังมีเมตตาต่อเธอก็ได้โปรดช่วยให้หนีพ้นเคราะห์กรรมที่หนักหนาที ยิ่งเวลาเดินผ่านไปแต่ละวินาทีมากเท่าไหร่ มิราวดียิ่งหวาดกลัวมากขึ้นเท่านั้น ใจหวังเพียงว่าขอมีโอกาสสักเล็กน้อยให้หลบหนีก็ยังดี ประตูห้องถูกเปิดออกหลังจากที่หญิงสาวนั่งรอในห้องราวชั่วโมง “ออกมาได้แล้ว” มิราวดีทำตามอย่างว่าง่าย ในใจก็หวาดหวั่นว่าจะหนีไปได้หรือไม่ เมื่อเดินไปตามทางจนกระทั่งออกมาอยู่ด้านนอกถึงรู้ว่าที่นี่คือแหล่งสถานบันเทิงอโคจรที่สุดของเมือง แม้ตำรวจจะมาตรวจหลายครั้งแต่พวกมันก็หลบหนีได้ ซ้ำยังสาวถึงเจ้านายใหญ่ไม่ได้อีก “พี่จะพาฉันไปไหนเหรอจ๊ะ” หญิงสาวข่มน้ำเสียงเอ่ยถาม อีกฝ่ายไม่ตอบคำถามแต่สั่งมาว่า “ขึ้นรถไป” แม้จะอยากขัดขืนและรีบวิ่งหนีไปแต่ทว่าย่านนี้เธอไม่คุ้นชินเส้นทาง และไม่รู้ว่าหากหนีไปตอนนี้แล้วจะรอดปลอดภัยเลยหรือเปล่า มิราวดีจึงยอมขึ้นรถไปโดยที่ไม่รู้ว่าจะมีทางหนีด่านหน้าได้หรือไม่ ภายในรถมีคนคุมตัวเธออยู่หนึ่งคน รวมคนขับด้วยก็เป็นสองคน ตอนแรกคิดว่าจะส่งมาเยอะแต่นี่ดูเหมือนพวกมันจะคิดว่าเธอไม่หนี ตลอดทางที่ขับออกมาเริ่มเข้าถนนใหญ่ในเส้นทางที่เริ่มคุ้นชินบ้างแล้ว แต่ก็ยังไม่เบาใจเพราะเป็นถนนใหญ่ที่ไม่ค่อยมีบ้านเรือนหรือมีแสงสว่างมากนัก หากหาสาเหตุหนีออกไปอาจจะเจอพวกโรคจิตตอนกลางคืนอีกได้ ครั้นรถแล่นเข้าในใจกลางเมือง แสงสี และเสียงทำให้หญิงสาวเบาใจลง เธอจึงขยับตัวม้วนท้องออกอุบายหลอกอีกฝ่ายทันที “โอ้ย ๆ พี่จอดรถแวะปั๊มด้านหน้าได้ไหม” มิราวดีทำท่าทางบิดปวดท้องร้องโวยวายหวังให้ทั้งสองคนยอมเชื่อ เพราะปั๊มด้านหน้านั้นต่อเชื่อมกับสะพานที่เข้าไปถึงห้างสรรพสินค้าพอดี หากหลบหนีที่นี่แน่นอนว่ามีโอกาสรอดสูง “โอ้ย ๆ พี่จอดเถอะนะ ฉันว่าฉันท้องเสีย ปวดบิดมาก โอ้ย ๆ ไม่ไหวแล้ว...จะไหลแล้ว” มิราวดีร้องไปพลางเหลือบมองคนสองคนที่มีท่าทางลังเล “โอ้ย ๆ ปวดท้อง ไม่ไหวแล้ว โอ้ย ๆ พี่ ขี้ฉันใกล้ทวารหนักแล้ว” ปู๊ด ปู๊ด จังหวะมาพอดีที่ปล่อยก๊าซธรรมชาติส่งกลิ่นเน่าจนเธอเองก็อยากจะเป็นลม แน่นอนว่าทั้งสองคนก็แทบทนไม่ได้ ปู๊ด ปู๊ด ป๊าด “เฮ้ย จอดที่ปั๊มด้านหน้านี้แหละ” อีกคนที่นั่งอยู่ข้างเธอสั่งคนขับรถให้เลี้ยวเข้าปั๊มตามจุดหมาย มิราวดีภาวนาขอบคุณในใจที่สวรรค์เมตตา รถแล่นเข้าจอดในปั๊มตัวเมือง ภายในปั๊มข้าง ๆ ก็มีร้านอาหาร ฝั่งตรงข้ามก็เป็นห้างสรรพสินค้าขนาดใหญ่เรียกว่าเป็นใจกลางเมือง หญิงสาวร้องครางอวดโอยขณะที่รถกำลังจอดลง ชายคนหนึ่งที่นั่งข้าง ๆ เปิดประตูลงจากรถและพูดว่า “รีบ ๆ ซะ อย่าได้คิดหนี” “จ้ะ โอ้ย ๆ” หญิงสาวแสดงอาการร้อง ปวดจับหน้าท้องน้อยเดินตรงไปยังห้องน้ำ “ไม่ตามไปเหรอพี่” “จะตามไปให้คนอื่นสงสัยทำไมวะ มึงดูดิคนนั่งเยอะแยะ” “จะไม่หนีเหรอพี่” “เออ มึงก็ช่วย ๆ กันดูไว้” ทางด้านของมิราวดี หลังจากที่เข้ามาในห้องน้ำแล้วก็มองหาเส้นทาง ที่เดินออกไปฝั่งห้องน้ำชาย แถมดูเหมือนว่าพวกนั้นไม่ได้หันมาสนใจฝั่งนี้ จึงรีบเดินอ้อมทางด้านหลังห้องน้ำชายออกไป ทุกย่างก้าวต้องมองทั้งสองคนด้วยความระแวงกลัวว่าจะหันมามองในขณะที่กำลังหลบหนีอยู่ ได้จังหวะที่รถคันใหญ่ผ่านมาเข้ามาจอดพอดีช่วยบังให้วิ่งหลบหนีออกมาได้ แต่ทว่า... “เฮ้ย ! จะหนีไปไหน !” เสียงของผู้ชายคนขับรถตะโกนไล่หลังมา แม้มองออกไปจะดูห่างไกลแต่รู้สึกได้ว่าอีกฝ่ายวิ่งเร็วมาก หญิงสาวหันมองเพียงเสี้ยววินาทีก่อนจะรีบวิ่งขึ้นสะพานลอยข้ามฝั่งไป เธอชนคนที่เดินไปมามากมายโดยไม่สน นาทีนี้ขอเพียงหลุดรอดออกไปได้แค่นี้ก็พอ หากสวรรค์ยังมีเมตตาขอให้เธอหนีพวกคนเลวพ้นด้วยเถอะเสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายและกำลังของ มิราวดีเริ่มตก เพราะไม่เคยต้องใช้แรงมากมายเท่านี้ พอเข้าตัวห้างสรรพสินค้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มีผู้คนค่อนข้างเยอะทำให้วิ่งหลบหนีได้ง่าย แม้จะมีคนมองทุกครั้งที่วิ่งผ่านหรือชน แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ ได้แต่กล่าวขอโทษในใจและวิ่งหนีต่อไป“เฮ้ย อยู่ทางนั้น !”“ทำไมตาดีขนาดนี้เนี่ย !” เธอบ่นพลางหันมองทั้งสองคนที่กำลังวิ่งตามทางบันไดเลื่อน แม้จะอยู่ห่างมากพอแต่ความไวของอีกฝ่ายก็ทำให้ประมาทไม่ได้“เป็นนักวิ่งระดับชาติหรือไง !”มิราวดีรู้ตัวดีว่าต้องหาสักที่หลบซ่อนไม่ให้หาเจอ แต่ถ้าเข้าห้องน้ำไปก็ไม่ปลอดภัย ถ้าหากไม่มีคนแล้วพวกนั้นบุกเข้ามา เหมือนไปติดกับเต็ม ๆ หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายจนเริ่มหาทางออกไม่ได้ แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ทว่าเธอก็ไม่มีโทรศัพท์หรือเงินติดตัวมาสักนิด ครั้นจะขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านก็รีบเดินหนีเธอทันทีในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมาก ทำได้แต่วิ่งหนีไป กระทั่งหนีออกมาทางประตูของห้างที่เป็นลานรับส่งรถแล้ว ก็ยิ่งตัดสินใจลำบากว่าจะไปทางไหนต่อดี จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ทันเพราะพวกนั้นตามมาแล้ว“นั่น ! อยู่
มิราวดีไม่มีเวลาให้ทำใจหรือเสียใจกับความรักที่มอบให้แฟนหนุ่มมาหลายปีมากนัก เพราะต้องตั้งสติเอาชีวิตรอดจากนรกบนดินนี้เสียก่อน หญิงสาวรีบจัดเก็บของลงกระเป๋าเท่าที่ทำได้ โชคดีที่ไม่มีของเยอะ หลังจากเก็บของใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมงจนข้ามวันใหม่ เธอจึงใช้โทรศัพท์เครื่องสำรองรีบโทร.บอกเจ้าของห้องไม่ต่อสัญญาและย้ายออกทันทีเมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วจึงรีบโทร.แจ้งธนาคารอายัดธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดไว้ ถึงแม้ใจอยากจะแจ้งความมาก แต่หากแจ้งไปต่อให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นคงไม่เจอเพราะพวกนั้นคงไหวตัวทันในเวลานี้มิราวดีไม่ไว้ใจเพื่อนสนิทหรือใครที่รู้จักเลย เพราะอาจจะบอกที่อยู่ให้แฟนหนุ่มรู้ได้ จึงทำได้เพียงเก็บและขนของทั้งหมดที่ใส่ได้ลงรถ และขับออกจากคอนโดฯ ไปอย่างรวดเร็วหญิงสาวขับรถออกจากสถานที่เดิมมาหาห้องพักเพื่ออยู่ชั่วคราวไปก่อน แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยกระทั่งรถขับผ่านบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกจากใจกลางเมือง ซ้ำยังประกาศติดว่า “แชร์เฮ้าส์”ดวงตากลมมองด้วยความลังเลเพราะไม่ชินกับการอยู่ร่วมคนแปลกหน้า แต่นี่อาจจะเป็นความปลอดภัยแบบหนึ่งก็ได้ มิราวดีตัดสินใจจอดรถไว้ข้างทาง และกำลังจะกดก
“ผมจะรอคำตอบจากคุณ”มิราวดีเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ชั่วครู่ พอรู้สึกตัวก็รีบขยับตัวถอยห่างทันที “เอ่อ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”เมื่อพูดจบหญิงสาวก็รีบเดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างรวดเร็วรชตมองคนตัวเล็กเดินจากไปจนลับสายตา จึงเดินออกจากห้องรับแขกขึ้นมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ ไม่นานนักอาโปก็เดินเข้ามา“ปล่อยโอกาสแบบนี้ไปจะดีเหรอ ฉันเองก็ไม่อยากใช้พลังเยอะนะ รู้ไหมว่าฉันต้องอ่านความทรงจำของเธอ และสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้หล่อนขับมาทางนี้ได้ลำบากแค่ไหน...” อาโปเดินเข้ามาพลางบ่น พลังของเทพก็มีขีดจำกัดในการรับรู้เรื่องราว เพราะฉะนั้นถึงรับรู้เพียงเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ว่าหญิงสาวต้องการย้ายที่ใหม่อย่างเร่งด่วนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ไม่อาจรับรู้ได้เจ้าไก่สีขาวกระโดดขึ้นนั่งประจำที่เก้าอี้เล็ก“วันนี้อาหารว่างไม่ได้เรื่องเลยนะ”“ถ้าเรื่องมากก็ไปทำกินเองสิ” รชตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่...“หน็อย !” อาโปมองด้วยแววตาขุ่นเคือง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อยปีนิสัยและวาจาก็ยังคงไม่เปลี่ยน เฮ้อ...แต่ก็นะ “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป”ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังไงเธอก็ต้องกลับมา”อาโปหันมองแววตามั่นใจและรอยยิ้มที่
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจิตนาการของนักเขียนเท่านั้น เนื้อเรื่อง สถานที่ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เเละตัวละครไม่มีอยู่จริง ผู้อ่านที่น่ารักโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยจ้า ทั้งหมดคือการสมมุติเพื่อเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดค่ะ./สามีพันธกาลรักเขียน เฌอรินทิพย์././ปีคริสต์ศักราช 199Xตึกสูงระฟ้ามากมายในเมืองหลวง ถนนหนทาง และเทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกยุคทุกสมัย เสียงฝีเท้าหยุดลง ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปร่าง สูงโปร่ง ดวงตาสีเทาดำ เรือนผมสีดำ ใบหน้าคมสัน ริมฝีปากเรียว ยืนแหงนมองตึกสูงโดยรอบ ผู้คนขวักไขว่กันด้วยชีวิตเร่งรีบ ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม กาลเวลาผันผ่านอย่างรวดเร็วทว่าอายุขัยของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง“นายท่าน” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้เขาหันไปมองดวงตานิ่งของชายหนุ่มมองพินิจคนตรงหน้าซึ่งถูกส่งตัวมา“ผมชื่อมงคลเป็นลูกชายของเด่นภูมิ มาทำหน้าที่รับใช้นายท่านต่อจากพ่อครับ”“อืม” เขาพยักหน้ารับชายหนุ่มมอง ก่อนจะส่งกรงที่ถืออยู่ในมือให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้ถามสิ่งอื่นใดแล้วเดินขึ้นมานั่งในรถ จนกระทั่งรถออกตัวได้สักพัก เสียงของคนขับรถก็พูดขึ้น “พ่อผมเสียไปเมื่อปีที่แล้ว
บทที่ 1 ปีคริสต์ศักราช 20XX ภายในห้องชุดคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง เสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น หญิงสาวรูปร่างเพรียวส่วนสูงราวกับนางแบบ ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาสีดำกลมโต ริมฝีปากอิ่มเข้ากับรูปหน้า กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะที่เลือกหยิบเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก รอยยิ้มหวานปรากฏออกมาครั้นนึกถึงคำพูดของแฟนหนุ่มเมื่อสามวันก่อนที่ดังก้องในหัว ‘ที่รัก...เราแต่งงานกันนะ’ มิราวดีหยิบเสื้อผ้าขึ้นทาบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังไม่พอใจ วันนี้แฟนหนุ่มกำชับให้แต่งตัวสวยที่สุดด้วยแล้วยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีกแน่นอน ดวงตากลมหันมองเสื้อผ้าหลายสิบชุดที่กองรวมอยู่บนเตียง หยิบยกขึ้นมาดูหลายทีโดยที่ยังตัดสินใจไม่ได้ พอได้ยินเสียงสั่นข้อความเข้าจึงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดอ่าน รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าอย่างมีความสุข มองตัวอักษรบนจออย่างเขินอาย มิราวดีวางโทรศัพท์ก่อนหันไปเลือกชุดต่อเมื่อรู้ว่าเสียเวลาไปนานพอสมควร มือหยิบชุดขึ้นทาบมองตัวเองสะท้อนจากหน้ากระจก ก่อนตัดสินใจเลือกชุดเดรสสั้นเหนือเข่าเข้ากับสีผิวและสีผม เมื่อเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมไปทานมื้อค่ำได้แล้ว หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำออกมาแ
ณัฏฐ์ขยับตัวนั่งที่เบาะเหมือนเดิม พลางมองคู่หมั้นหลับคอพับด้วย สีหน้าลังเล จะต้องทำจริง ๆ หรือ ผู้หญิงคนนี้คือคนที่กำลังจะแต่งงานด้วยและเป็นคนที่ไว้ใจเขามากที่สุด แต่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องตายทั้งคู่ และเธอก็บอกเองว่าต่อให้เขาทำผิดมากแค่ไหนก็อภัยให้ได้เสมอ “ขอโทษนะ” เขาได้แต่เอ่ยขอโทษด้วยความผิดบาป แม้ใจยังลังเลอยากจะเลี้ยวรถกลับไปก็ตาม “บ้าจริง !” ส่วนลึกในใจตอกย้ำต่อความรักและความเชื่อใจที่มีให้กันจนไม่กล้าที่จะทำ ณัฏฐ์นั่งลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจจะขับรถเลี้ยวกลับไปทว่า ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ เสียงเคาะกระจกทำให้เขาสะดุ้งหันไปมองด้วยความหวาดหวั่น คนด้านนอกทำมือเป็นสัญญาณบอกให้ออกมา ณัฏฐ์ทำอะไรไม่ถูกเพราะ ความกลัวกำลังครอบงำจิตใจ จึงทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยง่าย “เงินอยู่ไหน” ชายหนุ่มสะดุ้งพลางยกมือขึ้นไหว้ “ผมยังไม่มี ผม...” ยังพูดไม่ทันจบณัฏฐ์ก็ถูกอีกฝ่ายต่อยล้มลงที่พื้น ครั้นจะทรงตัวยืนขึ้นก็ถูกกระทืบซ้ำอีกหลายที “อั๊วบอกแล้ว ถ้าไม่มีเงินให้ก็ต้องตาย !” ชายหนุ่มมองปืนที่อยู่ในมือชายร่างท้วมด้วยความหวาดกลัว พลาง ยกมือขึ้นไหว้ของร้องชีวิต “เฮียโ