บทที่ 1
ปีคริสต์ศักราช 20XX ภายในห้องชุดคอนโดหรูย่านใจกลางเมือง เสื้อผ้ากระจัดกระจายอยู่เต็มพื้น หญิงสาวรูปร่างเพรียวส่วนสูงราวกับนางแบบ ใบหน้าสวยหวาน ดวงตาสีดำกลมโต ริมฝีปากอิ่มเข้ากับรูปหน้า กำลังฮัมเพลงอย่างมีความสุขขณะที่เลือกหยิบเสื้อผ้าอยู่หน้ากระจก รอยยิ้มหวานปรากฏออกมาครั้นนึกถึงคำพูดของแฟนหนุ่มเมื่อสามวันก่อนที่ดังก้องในหัว ‘ที่รัก...เราแต่งงานกันนะ’ มิราวดีหยิบเสื้อผ้าขึ้นทาบตัวครั้งแล้วครั้งเล่าแต่ก็ยังไม่พอใจ วันนี้แฟนหนุ่มกำชับให้แต่งตัวสวยที่สุดด้วยแล้วยิ่งทำให้มั่นใจว่าจะต้องมีอะไรมาเซอร์ไพรส์อีกแน่นอน ดวงตากลมหันมองเสื้อผ้าหลายสิบชุดที่กองรวมอยู่บนเตียง หยิบยกขึ้นมาดูหลายทีโดยที่ยังตัดสินใจไม่ได้ พอได้ยินเสียงสั่นข้อความเข้าจึงเอื้อมมือหยิบโทรศัพท์ขึ้นเปิดอ่าน รอยยิ้มปรากฏที่ใบหน้าอย่างมีความสุข มองตัวอักษรบนจออย่างเขินอาย มิราวดีวางโทรศัพท์ก่อนหันไปเลือกชุดต่อเมื่อรู้ว่าเสียเวลาไปนานพอสมควร มือหยิบชุดขึ้นทาบมองตัวเองสะท้อนจากหน้ากระจก ก่อนตัดสินใจเลือกชุดเดรสสั้นเหนือเข่าเข้ากับสีผิวและสีผม เมื่อเลือกเสื้อผ้าที่จะสวมไปทานมื้อค่ำได้แล้ว หญิงสาวจึงรีบอาบน้ำออกมาแต่งหน้าทำผมใช้เวลาร่วมหนึ่งชั่วโมงกว่า มิราวดีส่องมองตัวเองหน้ากระจกอีกครั้งด้วยความมั่นใจ หยิบกระเป๋าและสวมรองเท้าที่เข้ากับชุดเดินออกจากห้องไป ประตูห้องเปิดปิดอัตโนมัติผ่านลายนิ้วมือ เพราะยุคสมัยเปลี่ยนเทคโนโลยีความปลอดภัยจึงถูกปรับให้สะดวกสบายมากขึ้น มนุษย์แทบไม่ต้องทำอะไรเอง แม้จะเคยได้ยินคำบอกเล่าของย่าสมัยเด็กว่า เมื่อก่อนไม่ได้สะดวกสบายแบบนี้ “รอนานไหมคะ” หญิงสาวเอ่ยขึ้นเมื่อเดินเข้ามาหาแฟนหนุ่ม ณัฏฐ์ แฟนหนุ่มของมิราวดีละสายตาจากหน้าจอโทรศัพท์ขึ้นมองพลางส่งยิ้มให้ เธอสังเกตสีหน้าของแฟนหนุ่มดูไม่ดีนักจึงถามขึ้นว่า “มีอะไรไม่สบายใจไหมคะ” “มะ...ไม่มีหรอก” ชายหนุ่มยิ้มกลบเกลื่อน พลางลุกขึ้นจากโซฟา “วันนี้คุณสวยมาก” หญิงสาวยิ้มเขิน เมื่อได้รับคำชมจากอีกฝ่าย “วันนี้มีอะไรเหรอ ทำไมถึงให้ฉันแต่งตัวสวย ๆ” “ก็ดินเนอร์น่ะ” ณัฏฐ์ตอบพลางยิ้มเจื่อน ๆ ด้วยสีหน้าไม่สู้ดี ในใจก็วิตกจนแทบทำอะไรไม่ถูก ถึงกระนั้นก็ยังยิ้มสู้แล้วพูดเสียงหวานให้แฟนสาว “เราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะหิวเอานะ” “ค่ะ” มิราวดีพยักหน้าเดินออกไปกับแฟนหนุ่ม เธอมีความสุขและไว้ใจเขามากที่สุด ณัฏฐ์คือคนเดียวที่คอยอยู่เคียงข้างเธอมาตลอดตั้งแต่พ่อแม่ประสบอุบัติเหตุเสียชีวิตไปเมื่อหลายปีก่อน เปรียบเสมือนคนในครอบครัว ยิ่งมารู้ว่าเขาขอแต่งงานและพร้อมที่จะสร้างชีวิตเคียงคู่แล้ว ยิ่งทำให้มีความสุขราวกับว่าสวรรค์ไม่ได้ทอดทิ้งไปไหน เสียงดนตรีขับบรรเลงในยามค่ำคืนของร้านอาหารบนดาดฟ้าโรงแรมแห่งหนึ่งใจกลางเมือง มิราวดีมองด้วยความตกใจและตื่นเต้นทันทีที่เดินเข้ามา ทิวทัศน์ยามค่ำคืนที่มองจากตึกสูง แสงไฟบนถนน ดอกไม้ และเสียงเพลง รวมถึงกลิ่นหอมจากเทียนอ่อน ๆ ชวนผ่อนคลาย ณัฏฐ์เดินเข้ามาสวมกอดหญิงสาวจากทางด้านหลัง กระชับวงแขนแน่นพลางจุมพิตที่ไหล่มน “ชอบไหม” “ชอบค่ะ ชอบมาก” หญิงสาวปริ่มยิ้มอย่างสุขใจ ทุกครั้งที่เขาบอกว่าอยากให้เธอมีความสุข ก็ไม่เคยที่จะผิดหวัง ทั้งยังได้อยู่ในอ้อมกอดด้วยกันแบบนี้ก็ไม่มีสิ่งใดมาเทียบได้อีก “ฉันรักคุณนะคะ” เป็นคำพูดที่ไม่ต้องใช้เวลาไตร่ตรองให้นาน เธอพูดออกมาด้วยความรู้สึกยินดี “คุณหิวแล้ว เรามากินข้าวกันเถอะ” ณัฏฐ์เอ่ยพลางยกมือบอกให้บริกรเสิร์ฟอาหารที่สั่งไว้ เขาพาเธอมานั่งรับประทานอาหารมื้อค่ำที่จัดเตรียมไว้พิเศษ ทั้งเมนูโปรด เสียงเพลงและความเป็นส่วนตัว เธอตักอาหารเข้าปากพลางเหลือบมอง ก่อนวางช้อนส้อมลงเอื้อมมือ หยิบน้ำดื่ม “ขอบคุณมากนะคะ ความจริงแล้วให้ฉันทำอาหารกินด้วยกันก็ได้ค่ะ แค่ได้อยู่กับคุณก็พอ” “แต่วันนี้เป็นวันพิเศษนะ วันที่เราพบกันครั้งแรกไง ผมอยากให้คุณเซอร์ไพรส์” “ขอบคุณค่ะ เอ่อ...แล้วเรื่องงานแต่ง...” หญิงสาวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเป็นกังวลเพราะเกรงว่าการเตรียมจัดงานแต่งจะมีผลกระทบต่อหน้าที่การงานที่กำลังก้าวหน้าของเขา ณัฏฐ์นิ่งเงียบไปสักพักแล้วพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เรื่องงานแต่งคุณไม่ต้องห่วง” “ค่ะ ฉันกลัวว่าคุณจะไม่มีเวลาก็เลย...” ชายหนุ่มเอื้อมมือไปกุมมือของหญิงสาวและเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “ที่รัก ผมมีเวลาให้เสมอนะ ไม่ว่างานจะเยอะแค่ไหน ผมก็อยากให้วันแต่งงานของเราสองคนเป็นวันที่ดีที่สุด” พอได้ยินแฟนหนุ่มพูดยิ่งทำให้หัวใจของมิราวดีเต้นเร็วขึ้นไม่เป็นจังหวะ แก้มสองข้างร้อนผ่าว จนซ่อนความเขินอายไว้ไม่มิด “ขอบคุณนะคะที่อยู่เคียงข้างฉันมาตลอด” “ผมยินดีและเต็มใจครับ” ชายหนุ่มพูดพลางตักอาหารเข้าปากเหลือบมองหญิงสาวที่ยิ้มเขิน ๆ ก่อนจะยกมือทำสัญญาณบอกให้บริกรนำช่อดอกไม้ใหญ่ที่จัดเตรียมไว้มา เมื่อดอกไม้ที่สั่งมาถึงแล้วเขาจึงลุกขึ้นรับดอกไม้แล้วเดินเข้ามาหาแฟนสาว ก่อนคุกเข่าลงข้างที่นั่งของเธอ มิราวดีตกใจรีบขยับตัวลุกออกทันที “ทำอะไรคะ ลุกขึ้นมาก่อนก็ได้ค่ะ” “ไม่ครับ” เขาก้มหน้าลงพลางสูดลมหายใจเข้าแล้วเงยหน้าขึ้นสบตากับหญิงสาว “ผมอยากมอบช่อดอกไม้นี้ให้คุณ ด้วยความจริงใจ ความรักที่ผม มีให้คุณ ไม่ใช่เรื่องโกหกหลอกลวง...” “คุณกำลังพูดเรื่องอะไรคะ ?” หญิงสาวงุนงง “ผมอยากขอโทษในสิ่งที่ผมทำผิดกับคุณ” ณัฏฐ์กล่าวด้วยน้ำเสียงเศร้า “ผมอยากให้คุณอภัยให้...” “เดี๋ยวนะคะ คือฉันไม่เข้าใจค่ะ” เธอมองเขาพลางครุ่นคิด ในใจมีคำถามมากมายเกิดขึ้น ทำไมอยู่ ๆ แฟนหนุ่มจึงพูดออกมาแบบนี้ ตลอดเวลาที่ผ่านมาแม้จะมีปากเสียงหรือไม่พอใจกันบ้างแต่ไม่เคยทะเลาะให้เป็นเรื่องใหญ่โตเลย อีกทั้งมีแต่เธอที่จะโดนเขาดุด้วยซ้ำไป “คุณขอโทษทำไมคะ” “ผมก็แค่...” ชายหนุ่มลุกขึ้น “อยากให้เราลืมเรื่องที่เคยโกรธกัน และอยากให้คุณรู้ว่าไม่ว่าผมจะทำอะไรผิดพลาดไปในอนาคต แต่ผมก็ยังรักคุณเสมอไม่เคยเปลี่ยน ผมรักคุณ” คำพูดที่ออกมาจากใจ จากความรู้สึกที่ตัดสินใจยากนั้นทำให้ณัฏฐ์ต้องฝืนยิ้มมันออกมา เขาลังเลที่จะพูดความจริงแต่ก็ไม่มีทางเลือกอีกแล้ว “ฉันให้อภัยเสมอ ไม่ว่าคุณจะทำอะไรผิดร้ายแรงแค่ไหน” มิราวดีพูดด้วยความจริงใจ ยิ่งเห็นเขาทำแบบนี้แล้วกลับเป็นเธอที่รู้สึกผิดเข้าไปอีก “ฉันรักคุณมากค่ะ” ณัฏฐ์เดินเข้ามาหายื่นช่อดอกไม้ให้ “ดอกไม้แด่คนที่ผมรักครับ” “ขอบคุณค่ะ” หญิงสาวเอื้อมมือรับขณะที่เขาก้าวเข้ามาแล้วดึงเธอมากอด ใบหน้าสวยซุกเขินอายปนดีใจอยู่ที่อกแกร่ง คำบอกรักและคำขอโทษของเขาทำให้รู้สึกว่าชีวิตนี้หากสวรรค์จะเล่นตลกอะไรอีก ขอมีเพียงผู้ชายคนนี้อยู่เคียงข้างก็ไม่มีอะไรที่ต้องกลัวอีกแล้ว มิราวดีหันไปมองแฟนหนุ่มเมื่อรถหยุดที่ข้างทาง ดวงตากลมมองด้วยความสงสัยและแปลกใจ เส้นทางที่ไม่คุ้นเคยไม่ใช่ทางที่เคยไปส่งกลับคอนโด ประจำ ทั้งยังดูเปลี่ยวและน่ากลัว ทว่าความไว้ใจที่มีต่อเขานั้นยังไม่ลดลง “ทำไมอยู่ ๆ ถึงมาที่นี่เหรอ” แม้ใจจะรู้สึกหวาดหวั่นตามสัญชาตญาณ แต่เธอก็พยายามคุมน้ำเสียงให้เป็นปกติ ณัฏฐ์นิ่งแล้วหันมายิ้มให้เธอ “มีที่ที่อยากให้ดูน่ะ” หญิงสาวขมวดคิ้วมองด้วยความแปลกใจ เพราะวันนี้แฟนหนุ่มจะเซอร์ไพรส์เยอะมากเกินผิดวิสัย แต่ถึงกระนั้นความหวาดระแวงในใจก็ไม่ได้มีเพิ่มขึ้น “ที่ไหนเหรอคะ” ชายหนุ่มเอื้อมมือหยิบผ้าหนึ่งผืนขึ้นมา แล้วขยับตัวโน้มไปหาเพื่อปิดตา เขาไม่ได้พูดอะไรเพียงแค่ยิ้มให้อย่างอ่อนโยนจนเธอยอมแต่โดยดี “ปิดเลยลงมาที่จมูกแล้วนะคะ” มิราวดีทักท้วงเมื่อผ้าที่ปิดตานั้น เกือบปิดทั้งใบหน้าจนหายใจไม่ออก ยิ่งพยายามใช้มือดันออกกลับยิ่งถูกดันปิดมาที่จมูกมากเท่านั้นราวกับว่าแฟนหนุ่มจงใจ แรงที่น้อยกว่าต้านทานไว้ไม่ได้ ซ้ำร่างกายกลับรู้สึกไม่มีแรงขึ้นมา มิราวดีรู้สึกหวาดกลัวแต่ก็ต่อต้านอะไรไม่ได้ ได้แต่ปล่อยให้ชายหนุ่มทำตามที่อยากทำจนกระทั่งสติของเธอเริ่มเบลอหายไปณัฏฐ์ขยับตัวนั่งที่เบาะเหมือนเดิม พลางมองคู่หมั้นหลับคอพับด้วย สีหน้าลังเล จะต้องทำจริง ๆ หรือ ผู้หญิงคนนี้คือคนที่กำลังจะแต่งงานด้วยและเป็นคนที่ไว้ใจเขามากที่สุด แต่ไม่มีทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้อีกแล้ว ไม่อย่างนั้นอาจจะต้องตายทั้งคู่ และเธอก็บอกเองว่าต่อให้เขาทำผิดมากแค่ไหนก็อภัยให้ได้เสมอ “ขอโทษนะ” เขาได้แต่เอ่ยขอโทษด้วยความผิดบาป แม้ใจยังลังเลอยากจะเลี้ยวรถกลับไปก็ตาม “บ้าจริง !” ส่วนลึกในใจตอกย้ำต่อความรักและความเชื่อใจที่มีให้กันจนไม่กล้าที่จะทำ ณัฏฐ์นั่งลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนตัดสินใจจะขับรถเลี้ยวกลับไปทว่า ก๊อก ๆ ก๊อก ๆ เสียงเคาะกระจกทำให้เขาสะดุ้งหันไปมองด้วยความหวาดหวั่น คนด้านนอกทำมือเป็นสัญญาณบอกให้ออกมา ณัฏฐ์ทำอะไรไม่ถูกเพราะ ความกลัวกำลังครอบงำจิตใจ จึงทำตามที่อีกฝ่ายบอกโดยง่าย “เงินอยู่ไหน” ชายหนุ่มสะดุ้งพลางยกมือขึ้นไหว้ “ผมยังไม่มี ผม...” ยังพูดไม่ทันจบณัฏฐ์ก็ถูกอีกฝ่ายต่อยล้มลงที่พื้น ครั้นจะทรงตัวยืนขึ้นก็ถูกกระทืบซ้ำอีกหลายที “อั๊วบอกแล้ว ถ้าไม่มีเงินให้ก็ต้องตาย !” ชายหนุ่มมองปืนที่อยู่ในมือชายร่างท้วมด้วยความหวาดกลัว พลาง ยกมือขึ้นไหว้ของร้องชีวิต “เฮียโ
นานเกือบสองชั่วโมง กว่าที่หญิงสาวคนนี้จะยอมเล่าว่าตนเองนั้นก็ถูกขายใช้หนี้พนันเหมือนกัน และก็พยายามหาทางหนีหลายรอบแต่ไม่เคยสำเร็จ ทั้งยังบอกอีกว่ามีทางเดียวที่จะหนีได้คือช่วงหลังงานประมูล ช่วงนั้นคนคุมมีน้อย ซ้ำเฮียโชคหรือพ่อค้ามนุษย์ก็สนใจแต่ลูกค้าและเงินที่กำลังได้มา“เราหนีไปด้วยกันไหม”อีกฝ่ายส่ายหน้า เพราะรู้ว่าหมดหนทางแล้ว“ไม่ได้ เพราะพวกมันเข้มงวดกับฉันมากขึ้น หากมันเจอว่าฉันหนีไปอีก ฉันต้องถูกฆ่าตายแน่ ๆ ถ้าเธอหนีไปได้ก็รีบย้ายที่อยู่ ย้ายไปให้ไกล ๆ ไม่ให้มันตามเจอ”มิราวดีพยักหน้ารับโดยไม่พูดอะไรอีก เพราะนอกจากจะต้องหนีแล้วคงทำอะไรมากกว่านี้ไม่ได้ ตอนนี้ได้เพียงแค่เฝ้ารอเวลาที่จะถูกขายประมูลออกไปหญิงสาวรู้สึกเจ็บใจมากกว่าเจ็บปวด เพราะไว้ใจแฟนหนุ่มราวกับคนในครอบครัวแต่ท้ายที่สุดกลับถูกแทงข้างหลัง ความรักที่มีไม่ได้สลายหายไปเพียงไม่กี่ชั่วโมงแต่มันกลับดูว่างเปล่าและย้ำเตือนว่าที่ผ่านมาแค่คำหลอกลวง ไม่ใช่ความจริงใจ ไม่ใช่ความรัก แค่คำตอแหลของผู้ชายเห็นแก่ตัวคนหนึ่งเท่านั้นถ้าเขารักเธอจริง คงไม่ทำร้ายชีวิตเธอแบบนี้ !หนึ่งสัปดาห์ผ่านไป...มิราวดีใช้ชีวิตอย่างหวาดระแวงในห้องพัก
เสียงฝีเท้าวิ่งเข้ามากระชั้นชิดขึ้นเรื่อย ๆ ร่างกายและกำลังของ มิราวดีเริ่มตก เพราะไม่เคยต้องใช้แรงมากมายเท่านี้ พอเข้าตัวห้างสรรพสินค้าก็รู้สึกใจชื้นขึ้นมาบ้าง มีผู้คนค่อนข้างเยอะทำให้วิ่งหลบหนีได้ง่าย แม้จะมีคนมองทุกครั้งที่วิ่งผ่านหรือชน แต่ก็ไม่มีเวลามากพอที่จะเอ่ยคำขอโทษ ได้แต่กล่าวขอโทษในใจและวิ่งหนีต่อไป“เฮ้ย อยู่ทางนั้น !”“ทำไมตาดีขนาดนี้เนี่ย !” เธอบ่นพลางหันมองทั้งสองคนที่กำลังวิ่งตามทางบันไดเลื่อน แม้จะอยู่ห่างมากพอแต่ความไวของอีกฝ่ายก็ทำให้ประมาทไม่ได้“เป็นนักวิ่งระดับชาติหรือไง !”มิราวดีรู้ตัวดีว่าต้องหาสักที่หลบซ่อนไม่ให้หาเจอ แต่ถ้าเข้าห้องน้ำไปก็ไม่ปลอดภัย ถ้าหากไม่มีคนแล้วพวกนั้นบุกเข้ามา เหมือนไปติดกับเต็ม ๆ หญิงสาวรู้สึกกระวนกระวายจนเริ่มหาทางออกไม่ได้ แม้จะอยู่ใจกลางเมืองแต่ทว่าเธอก็ไม่มีโทรศัพท์หรือเงินติดตัวมาสักนิด ครั้นจะขอความช่วยเหลือคนที่เดินผ่านก็รีบเดินหนีเธอทันทีในตอนนี้ไม่มีเวลาคิดมาก ทำได้แต่วิ่งหนีไป กระทั่งหนีออกมาทางประตูของห้างที่เป็นลานรับส่งรถแล้ว ก็ยิ่งตัดสินใจลำบากว่าจะไปทางไหนต่อดี จะกลับเข้าไปใหม่ก็ไม่ทันเพราะพวกนั้นตามมาแล้ว“นั่น ! อยู่
มิราวดีไม่มีเวลาให้ทำใจหรือเสียใจกับความรักที่มอบให้แฟนหนุ่มมาหลายปีมากนัก เพราะต้องตั้งสติเอาชีวิตรอดจากนรกบนดินนี้เสียก่อน หญิงสาวรีบจัดเก็บของลงกระเป๋าเท่าที่ทำได้ โชคดีที่ไม่มีของเยอะ หลังจากเก็บของใช้เวลาร่วมหลายชั่วโมงจนข้ามวันใหม่ เธอจึงใช้โทรศัพท์เครื่องสำรองรีบโทร.บอกเจ้าของห้องไม่ต่อสัญญาและย้ายออกทันทีเมื่อจัดการเรื่องนี้เสร็จแล้วจึงรีบโทร.แจ้งธนาคารอายัดธุรกรรมทางการเงินทั้งหมดไว้ ถึงแม้ใจอยากจะแจ้งความมาก แต่หากแจ้งไปต่อให้ตำรวจเข้าไปตรวจค้นคงไม่เจอเพราะพวกนั้นคงไหวตัวทันในเวลานี้มิราวดีไม่ไว้ใจเพื่อนสนิทหรือใครที่รู้จักเลย เพราะอาจจะบอกที่อยู่ให้แฟนหนุ่มรู้ได้ จึงทำได้เพียงเก็บและขนของทั้งหมดที่ใส่ได้ลงรถ และขับออกจากคอนโดฯ ไปอย่างรวดเร็วหญิงสาวขับรถออกจากสถานที่เดิมมาหาห้องพักเพื่ออยู่ชั่วคราวไปก่อน แต่ก็ไม่มีที่ไหนที่จะทำให้รู้สึกปลอดภัยกระทั่งรถขับผ่านบ้านหลังหนึ่งที่อยู่ไกลออกจากใจกลางเมือง ซ้ำยังประกาศติดว่า “แชร์เฮ้าส์”ดวงตากลมมองด้วยความลังเลเพราะไม่ชินกับการอยู่ร่วมคนแปลกหน้า แต่นี่อาจจะเป็นความปลอดภัยแบบหนึ่งก็ได้ มิราวดีตัดสินใจจอดรถไว้ข้างทาง และกำลังจะกดก
“ผมจะรอคำตอบจากคุณ”มิราวดีเหมือนตกอยู่ในห้วงภวังค์ชั่วครู่ พอรู้สึกตัวก็รีบขยับตัวถอยห่างทันที “เอ่อ ฉันขอตัวก่อนนะคะ”เมื่อพูดจบหญิงสาวก็รีบเดินออกจากห้องรับแขกไปอย่างรวดเร็วรชตมองคนตัวเล็กเดินจากไปจนลับสายตา จึงเดินออกจากห้องรับแขกขึ้นมานั่งอ่านหนังสือที่ห้องหนังสือ ไม่นานนักอาโปก็เดินเข้ามา“ปล่อยโอกาสแบบนี้ไปจะดีเหรอ ฉันเองก็ไม่อยากใช้พลังเยอะนะ รู้ไหมว่าฉันต้องอ่านความทรงจำของเธอ และสร้างภาพลวงตาขึ้นมาให้หล่อนขับมาทางนี้ได้ลำบากแค่ไหน...” อาโปเดินเข้ามาพลางบ่น พลังของเทพก็มีขีดจำกัดในการรับรู้เรื่องราว เพราะฉะนั้นถึงรับรู้เพียงเหตุการณ์ช่วงสั้น ๆ ว่าหญิงสาวต้องการย้ายที่ใหม่อย่างเร่งด่วนเท่านั้น ส่วนเรื่องอื่น ไม่อาจรับรู้ได้เจ้าไก่สีขาวกระโดดขึ้นนั่งประจำที่เก้าอี้เล็ก“วันนี้อาหารว่างไม่ได้เรื่องเลยนะ”“ถ้าเรื่องมากก็ไปทำกินเองสิ” รชตพูดด้วยน้ำเสียงเรียบนิ่ง แต่...“หน็อย !” อาโปมองด้วยแววตาขุ่นเคือง ไม่ว่าจะผ่านมากี่ร้อยปีนิสัยและวาจาก็ยังคงไม่เปลี่ยน เฮ้อ...แต่ก็นะ “แล้วจะทำอย่างไรต่อไป”ชายหนุ่มยิ้มแล้วเอ่ยขึ้นว่า “ยังไงเธอก็ต้องกลับมา”อาโปหันมองแววตามั่นใจและรอยยิ้มที่
นิยายเรื่องนี้เขียนขึ้นจากจิตนาการของนักเขียนเท่านั้น เนื้อเรื่อง สถานที่ วัฒนธรรม ความเชื่อ ศาสนา เเละตัวละครไม่มีอยู่จริง ผู้อ่านที่น่ารักโปรดใช้วิจารณญาณในการอ่านด้วยจ้า ทั้งหมดคือการสมมุติเพื่อเขียนขึ้นมาใหม่ทั้งหมดค่ะ./สามีพันธกาลรักเขียน เฌอรินทิพย์././ปีคริสต์ศักราช 199Xตึกสูงระฟ้ามากมายในเมืองหลวง ถนนหนทาง และเทคโนโลยีเปลี่ยนไปทุกยุคทุกสมัย เสียงฝีเท้าหยุดลง ปรากฏร่างของชายหนุ่มรูปร่าง สูงโปร่ง ดวงตาสีเทาดำ เรือนผมสีดำ ใบหน้าคมสัน ริมฝีปากเรียว ยืนแหงนมองตึกสูงโดยรอบ ผู้คนขวักไขว่กันด้วยชีวิตเร่งรีบ ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนแทบไม่เหลือเค้าโครงเดิม กาลเวลาผันผ่านอย่างรวดเร็วทว่าอายุขัยของเขาก็ไม่มีวันเปลี่ยนแปลง“นายท่าน” เสียงเรียกจากทางด้านหลังทำให้เขาหันไปมองดวงตานิ่งของชายหนุ่มมองพินิจคนตรงหน้าซึ่งถูกส่งตัวมา“ผมชื่อมงคลเป็นลูกชายของเด่นภูมิ มาทำหน้าที่รับใช้นายท่านต่อจากพ่อครับ”“อืม” เขาพยักหน้ารับชายหนุ่มมอง ก่อนจะส่งกรงที่ถืออยู่ในมือให้อีกฝ่ายโดยไม่ได้ถามสิ่งอื่นใดแล้วเดินขึ้นมานั่งในรถ จนกระทั่งรถออกตัวได้สักพัก เสียงของคนขับรถก็พูดขึ้น “พ่อผมเสียไปเมื่อปีที่แล้ว