อาหลี่จ้องมองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้ว่านางกำลังคิดจะทำสิ่งใด เขาเห็นเพียงแต่ว่านางเดินตรงไปที่เรือนใหญ่
เสิ่นเหยากวงมองเสิ่นเสวี่ยที่เดินเข้ามาหาเขาในเรือน ก่อนจะขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองบุตรสาวด้วยสายตาสงสัย
"มีอะไร?"
"จะมาขอยืมตั๋วเงินสักร้อยตำลึงเจ้าค่ะ"
เสิ่นเหยากวงมองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาเย็นชา เขาใช้ฝ่ามือใหญ่ตบลงไปบนโต๊ะจนเกิดเป็นเสียงดังปัง!!!
"เจ้าเห็นข้าเป็นโรงการค้าแลกเงินหรืออย่างไร?"
"เปล่านะเจ้าคะ"
"ข้าไม่มีให้เจ้ายืม ได้ที่ดินไปสามหมู่แล้ว เจ้ายังกล้าหน้าด้านมาขอเงินข้าอีกหรือ?"
"ไม่หน้าด้านจะกล้ามายืนตรงนี้หรือเจ้าคะ?"
"เสิ่นเสวี่ย!!!"
"แหมมมม โมโหมากไปจะยิ่งแก่เร็วนะเจ้าคะ โอ๊ะ!!! รอยย่นตรงหางตาท่านพ่อเริ่มขึ้นมาแล้ว!!!"
เสิ่นเหยากวงรีบยกมือขึ้นไปลูบคลำที่หางตาของตนเองทันที
ย่นจริงๆ ด้วย!!!
"เจ้าจะเอาตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงไปทำสิ่งใดกัน?"
"เอาไปต่อยอดสิเจ้าคะ อีกไม่นานท่านพ่อก็จะรู้เองเจ้าค่ะ ตอนนี้ลูกขอยืมก่อนหนึ่งร้อยตำลึงเจ้าค่ะ"
เสิ่นเสวี่ยยื่นมือไปตรงหน้าของเสิ่นเหยากวง เขามองนางด้วยสายตาเย็นชาอย่างไม่ปิดบัง
"ข้าไม่มี"
"มีเจ้าค่ะ!!! ท่านพ่อมีแน่นอน!!!"
สายตาคาดคั้นของเสิ่นเสวี่ยจ้องมองมาที่ผู้เป็นบิดาจนเขารู้สึกถึงรังสีอำมหิต
ให้ตายสิ!!! นี่ทำไมเขาต้องกลัวนางด้วย นางเป็นลูกเขานะ!!!
เสิ่นเหยากวงเดินไปเปิดกล่องขนาดไม่ใหญ่ที่ตรงด้านหลังโต๊ะเขียนอักษรของเขา ก่อนจะยื่นตั๋วเงินหนึ่งร้อยตำลึงให้แก่เสิ่นเสวี่ย
เสิ่นเสวี่ยรับตั๋วเงินมาด้วยใบหน้าที่ยิ้มแย้มเบิกบาน แต่ทว่าสายตายังสอดส่องไปที่กล่องเก็บตั๋วเงินของเสิ่นเหยากวงตาไม่กะพริบ
"มองอะไร?"
"เพิ่มอีกหนึ่งร้อยตำลึงได้ไหมเจ้าคะ?"
"เสิ่นเสวี่ย!!!"
"อีกหนึ่งร้อยตำลึงเจ้าค่ะ"
"เอาไป!!!"
เสิ่นเหยากวงคร้านที่จะโต้เถียงกับนางแล้ว เขาโยนตั๋วเงินอีกหนึ่งร้อยตำลึงส่งให้นางเพื่อตัดปัญหา เสิ่นเสวี่ยยิ้มหน้าระรื่นเดินออกมาจากเรือนใหญ่อย่างอารมณ์ดี
ระหว่างทางที่เดินกลับเรือน นางได้พบกับเสิ่นหนิง ที่กำลังเดินนวยนาดเข้ามา สายตาของนางจ้องมองเสิ่นเสวี่ยด้วยความดูแคลนเป็นอย่างยิ่ง เสิ่นเสวี่ยมองพิจารณาเสิ่นหนิงเล็กน้อย
นี่น่ะหรือน้องสาวต่างมารดาของนาง?
เสิ่นหนิงอายุน้อยกว่านางไปหนึ่งปี ใบหน้างดงาม ริมฝีปากอมชมพูแดงระเรื่อชวนมอง เป็นสตรีวัยแรกแย้มที่งดงามไม่เบา
"มาหาท่านพ่อครั้งนี้จะมาเอาอะไรอีกเล่าเจ้าคะ คราวก่อนเห็นได้ที่ดินไปตั้งสามหมู่ ช่างหน้าไม่อายยิ่งนัก"
เสิ่นเสวี่ยปรายตามองเสิ่นหนิง ก่อนจะยกยิ้มมุมปากและยืนกอดอกมองนางด้วยสายตาเย็นชา
"ข้าจะมาขออะไรมันก็เรื่องของข้า ว่าแต่เจ้าเถอะอย่ามาขวางทางข้า หลีกไป"
เสิ่นเสวี่ยไม่อยากจะใส่ใจเสิ่นหนิง แม้ว่าในความทรงจำของร่างเดิม จะปรากฏภาพของเสิ่นหนิงที่วางยานางกับอาหลี่ และแย่งคู่หมั้นของนางไป
"ท่านพี่หลัวเฉินเฟยส่งของหมั้นหมายมามากมายจนข้านับไม่ถ้วน ข้าเห็นว่าท่านพี่อยู่ว่างๆ ถ้าอย่างนั้นไปช่วยข้านับของหมั้นดีหรือไม่เจ้าคะ?"
เสิ่นเสวี่ยส่งเสียงเฮอะในลำคอ อยากจะยั่วให้นางอกแตกตายเช่นนั้นหรือ
ฝันไปเถอะ!!!
"พอดีข้าไม่ค่อยชอบยุ่งเรื่องของชาวบ้านน่ะ โดยเฉพาะเรื่องของคนชั่วๆ ข้าไม่อยากลดตัวลงไปยุ่งเกี่ยว ข้ามีงานที่ต้องไปทำอีกมากมาย คงไปช่วยเจ้าไม่ได้แล้วละ"
"หึ หรือว่ายังตัดใจจากท่านพี่เฉินเฟยไม่ได้กันแน่"
เสิ่นเสวี่ยมองหน้าเสิ่นหนิงก่อนจะยิ้มตาหยี
"ข้าตัดเขาออกจากวัฏจักรว่าที่สามีไปตั้งนานแล้วละ เจ้าเอาไปเถิด หล่อก็ไม่หล่อ หน้าตาจืดชืดราวกับผีเพิ่งโผล่ออกมาจากหลุม ผู้ชายเช่นนี้ข้าไม่เอามาทำสามีหรอก เสียเวลา!!!"
"เสิ่นเสวี่ย!!!"
เสิ่นหนิงเตรียมง้างฝ่ามือขึ้นมาเพื่อจะทุบตีเสิ่นเสวี่ยเหมือนเช่นทุกครั้งที่นางเคยทำ แต่ทว่ากลับถูกเสิ่นเสวี่ยยื่นมือเข้ามาจับและบีบแขนนางเอาไว้อย่างแรงจนรู้สึกปวดร้าวไปหมด
"ตบสิ!!! ข้าตบคืนเมื่อใด หน้าเจ้าพังแน่!!!"
เพียะ!!!
เสิ่นหนิงสะบัดแขนของนางออกจนหลุดพ้นจากการบีบรัดของเสิ่นเสวี่ย แล้วจึงง้างฝ่ามือฟาดลงมาที่ใบหน้าสวยได้รูปของเสิ่นเสวี่ยจนเต็มแรง เสิ่นเสวี่ยรับรู้ได้ถึงกลิ่นเลือดที่คาวคลุ้งอยู่ในปาก ใบหน้าซีกซ้ายชาจนแทบจะไร้ความรู้สึก เสิ่นหนิงที่ได้ลงมือกับเสิ่นเสวี่ยตามที่ใจต้องการแล้ว จึงยืนเท้าเอวมองนางด้วยสายตาที่สะใจไม่น้อย
เสิ่นเสวี่ยโมโหแล้ว นางกำมือแน่น ก่อนจะกระโดดต่อยเข้าไปที่ใบหน้างามของเสิ่นหนิงอย่างเต็มแรง
"อ๊าาาาสสสส์!!!"
"คุณหนูรอง"
"เสิ่นเสวี่ย เสิ่นหนิง!!! หยุดเดี๋ยวนี้!!!"
เสิ่นเหยากวงที่ได้ยินเสียงเอะอะโวยวาย จึงรีบออกมาดู ก็พบกับเสิ่นเสวี่ยและเสิ่นหนิงที่กำลังทุบตีกันอยู่"
เสิ่นเสวี่ยยืนนิ่ง ใบหน้ายังคงเรียบเฉย แต่เสิ่นหนิงกลับร้องห่มร้องไห้ไปกอดแขนของเสิ่นเหยากวงผู้เป็นบิดาเอาไว้
"ฮือออ ท่านพ่อ ท่านพี่ทุบตีข้าเจ้าค่ะ"
เสิ่นเหยากวงปรายตามองเสิ่นเสวี่ยอย่างต้องการคำตอบ
เสิ่นเสวี่ยถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่
"ก็นางมาตบหน้าข้าก่อน ข้าจึงต่อยนางคืน ข้าป้องกันตนเองข้าผิดหรือเจ้าคะ?"
"ข้าไม่ได้ทำนะเจ้าคะ!!!"
"แล้วรอยฝ่ามือห้านิ้วบนหน้าของข้านี่คืออะไร ผีตบหรือ? อ้อ!!! รึเจ้ากำลังจะบอกว่าข้าตบหน้าตนเองเล่น? หึ!!! ปัญญาอ่อนจริงเชียว เรื่องชั่วๆ เช่นนี้เจ้าก็คิดออกมาได้"
"ฮืออ ท่านพ่อ!!!"
"หยุด!!! เป็นพี่น้องกันแท้ๆ จะทะเลาะตบตีกันทำไม ไม่อายพวกบ่าวในเรือนหรืออย่างไร? แยกย้ายกันเดี๋ยวนี้!!! อย่าให้ข้าเห็นว่าพวกเจ้าสองคนก่อเรื่องอีก!!!"
เสิ่นหนิงมองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาที่โกรธเคือง แต่ไหนแต่ไรมาท่านพ่อก็รักและเข้าข้างเสิ่นเสวี่ยมาโดยตลอด นางเกลียดชังเสิ่นเสวี่ยเป็นที่สุด
เสิ่นเหยากวงมองตามเสิ่นเสวี่ยที่เดินลับตาไป นับวันบุตรสาวผู้นี้ของเขาก็ดูแปลกตามากยิ่งขึ้นทุกวัน
"ท่านพ่อ ฮืออ"
"เงียบ!!! อย่าให้ข้าเห็นว่าเจ้าพูดจาล่วงเกินพี่สาวของเจ้าเช่นวันนี้อีก!!!"
เสิ่นหนิงเม้มริมฝีปากแน่น นี่ท่านพ่อเห็นทุกอย่างเช่นนั้นหรือ
หึ!!! นังเสิ่นเสวี่ย ข้าไม่มีวันยอมแพ้เจ้าเสียหรอก
เสิ่นเสวี่ยถือตั๋วเงินสองร้อยตำลึงเดินกลับเรือนมาอย่างอารมณ์ดี เมื่อเข้าไปถึงนางก็พบกับอาหลี่ที่กำลังทำบางอย่างอยู่ในครัว
"ท่านพี่อาหลี่ ทำอะไรอยู่น่ะ?"
"เสิ่นเสวี่ย ข้าไปขุดมันมาได้หลายหัวเลย กำลังจะนำมันมาเผาร้อนๆ ให้เจ้ากิน"
อาหลี่เงยหน้าขึ้นมามองเสิ่นเสวี่ย บนใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยเขม่าควันไฟ เสิ่นเสวี่ยเดินไปหยิบผ้าผืนบางชุบน้ำบิดจนหมาด ก่อนจะเดินเข้าไปเช็ดใบหน้าของเขาอย่างนุ่มนวล
อาหลี่จ้องมองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาที่สั่นไหว คุณหนูใหญ่ของเขา อ่อนโยนเช่นนี้ตั้งแต่เมื่อใดกัน
"ไหนล่ะมันเผาของข้า"
"อ้อ นี่ๆ กำลังร้อนๆ ข้าจะแกะให้เจ้านะ"
อาหลี่หยิบมันเผาขึ้นมาแกะให้เสิ่นเสวี่ยอย่างรวดเร็ว นางมองดูเขาด้วยสายตาที่อ่อนโยนและชื่นชม
แสนดีขนาดนี้ เสิ่นเสวี่ยคนเก่าช่างโง่เขลาสิ้นดี ดูข้านี่กินเลย กินทั้งตัว!!!
เสิ่นเสวี่ยกินมันที่อาหลี่แกะให้อย่างเอร็ดอร่อย เสียงหัวเราะครื้นเครงของทั้งคู่ดังมาจากในเรือนเป็นระยะๆ
2วันต่อมา
"มันจะใช้ได้จริงหรือเสิ่นเสวี่ย?"
อาหลี่นั่งมองเสิ่นเสวี่ยที่กำลังวุ่นวายกับการเตรียมดินลงกระถางใบขนาดกลางที่นางกับเขาไปหาซื้อมาจากในตลาดใหญ่เมื่อเช้า
"ใช้ได้สิ เราจะปลูกในกระถางใบนี้แล้วรอมันโตได้ที่ ค่อยเอาลงดิน ทำร่องน้ำไหลผ่าน รอมันเติบโตอาจจะใช้เวลาถึงสามปี ระหว่างที่รอมันโต เราก็ปลูกอย่างอื่นขายหารายได้ไปก่อน"
เสิ่นเสวี่ยนำเมล็ดส้มจากต้นในสวนที่นางแกะกินเมื่อเช้า ไปล้างแล้วแช่น้ำทิ้งไว้ประมาณหนึ่งชั่วยาม (2 ชั่วโมง) แล้วจึงนำไปใส่กระถางที่มีรูระบายน้ำ นางฝังเมล็ดลงไปลึกประมาณ 2-3 นิ้ว ใส่ลงไป 15 เมล็ด ต่อหนึ่งกระถาง แล้วจึงกลบดินและรดน้ำมัน คงจะต้องรอดูต่อไปว่ามันจะงอกกิ่งอ่อนออกมาหรือไม่
"ท่านพี่อาหลี่ ท่านนำมันไปวางไว้ตรงใต้ต้นไม้นั้น ที่มีแสงแดดส่องถึงเล็กน้อย คอยหมั่นดูแลมัน ไม่เกินหนึ่งเดือนต้นอ่อนก็จะแตกใบออกมา แล้วค่อยนำมันไปเพาะปลูกต่อในสวน เราจะได้มีผลไม้ไปขาย เพิ่มราคาได้อีกด้วย"
"เจ้าไปเรียนรู้มาจากที่ใดกัน?"
"ข้าเก่งใช่ไหมล่ะ"
อาหลี่พยักหน้าพร้อมกับยิ้มตาหยี เสิ่นเสวี่ยที่เห็นเช่นนั้น ก็รีบโน้มใบหน้าเข้าไปหอมแก้มเขาฟอดใหญ่
"ข้าเก่งเช่นนี้ ท่านพี่อาหลี่ต้องให้รางวัลข้าด้วยนะเจ้าคะ"
"รางวัลอะไรหรือ? โอ๊ะ!!! เสิ่นเสวี่ย เดี๋ยวคนก็มาเห็นเข้า!!!"
เสิ่นเสวี่ยล้วงมือเข้าไปจับลำแท่งเอ็นร้อนใต้ร่มผ้าของเขาเล่นอย่างนึกสนุก จนอาหลี่ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย
"มาเห็นแล้วอย่างไร ข้าไม่อายหรอกเจ้าค่ะ"
"เสิ่นเสวี่ยเอามือออกเถิด"
"โอ๊ะมันแข็งตัวด้วยเจ้าค่ะ!!!"
"เสิ่นเสวี่ย!!! โอวว ซี้ดดดด!!!"
เสิ่นเสวี่ยใช้มือเรียวงามรูดชักตามลำแท่งแก่นกายของผู้เป็นสามีอย่างรวดเร็วและถี่เร่าอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ที่ร่มรื่น ไม่นานนักมวลน้ำสีขาวขุ่นก็ไหลล้นทะลักออกมาจนเต็มฝ่ามือขาวเนียนของนาง
เสิ่นเสวี่ยนำมือออกมาจากใต้ร่มผ้าของอาหลี่ ก่อนนำน้ำรักของเขามาทาลงบนใบหน้าของนาง ชโลมจนมันฉ่ำวาวไปทั่วทั้งใบหน้า
"เสิ่นเสวี่ย!!! เจ้าทำอะไร?"
"มาสก์หน้าเจ้าค่ะ โอววว หอมหวานเหลือเกิน อีกเดี๋ยวเตือนข้าให้ไปล้างออกด้วยนะเจ้าคะ เดี๋ยวแห้งติดหน้า จะล้างยาก"
อาหลี่ยืนมองเสิ่นเสวี่ยตาค้าง เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย ว่า น้ำ เอ่อ...น้ำของเขาจะบำรุงผิวหน้าได้ด้วย
นับวันเสิ่นเสวี่ยก็ยิ่งแปลกประหลาดมากขึ้นทุกวัน
อาหลี่ใช้นิ้วของเขาแตะๆ ไปที่ปลายลำแท่งที่เปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำรักของตนเอง ก่อนจะยกขึ้นมาสูดดม เขาเบ้หน้าเล็กน้อยเมื่อได้กลิ่นที่ฉุนขึ้นจมูก
กลิ่นแรงเช่นนี้นางทาไปได้เช่นไรกัน?
หนึ่งเดือนต่อมาเมล็ดส้มที่เสิ่นเสวี่ยและอาหลี่ช่วยกันเพาะปลูกเอาไว้นั้น ออกต้นอ่อนที่แข็งแรงหลายสิบกระถาง มีบางส่วนเท่านั้นที่ไม่มีต้นอ่อนแตกออกมา อาหลี่ดีใจเป็นอย่างมาก เขาคอยดูแลต้นส้มเหล่านี้ จนมันแข็งแรงเป็นที่น่าพอใจ จึงนำมันลงเพาะปลูกที่แปลงดินกลางสวนต่อ เขาขุดร่องระบายน้ำเพื่อไม่ให้น้ำเอ่อขัง เพราะจะทำให้ต้นส้มไม่เจริญเติบโตระหว่างนี้สวนผักของเขาก็ยังคงปลูกพืชผักอื่นๆ ต่อไปเรื่อยๆ อย่างขะมักเขม้น ถึงแม้มันจะได้ราคาไม่สูงนัก แต่เมื่อเก็บหอมรอมริบทีละน้อย มันก็เพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆเสิ่นเหยากวงแอบมามองดูความเป็นอยู่ของเสิ่นเสวี่ยกับอาหลี่อยู่บ่อยครั้ง และยังแอบส่งคนให้ไปคอยเป็นเวรยามจับตาดูความปลอดภัยในสวนส้มที่บุตรสาวปลูกเอาไว้อีกด้วยเสิ่นเสวี่ยนำเงินที่ได้จากการขายผัก ไปใช้หนี้เสิ่นเหยากวงผู้เป็นบิดาก่อนห้าสิบตำลึง เขารับมันมาโดยไม่เอ่ยถามสิ่งใดแม้แต่น้อย ก่อนที่เสิ่นเสวี่ยจะกลับเรือน เขาก็ได้มอบเมล็ดแตงกวาให้นางนำไปปลูกอีกด้วยระยะนี้ฮูหยินรองอวิ๋นและเสิ่นหนิงค่อนข้างวุ่นวายไม่น้อย เพราะต้องเตรียมต้อนรับเสิ่นเฟยและเสิ่นเยี่ย ซึ่งกำลังจะกลับมาจากการไปควบคุมการรบที่ชายแดนมานาน
อาหลี่หยิบเสื้อผ้ามาสวมใส่ ก่อนจะเดินออกไปข้างนอกเพื่อหยิบกาน้ำเข้ามาให้นาง เสิ่นเสวี่ยพยายามเก็บซ่อนความหื่นกระหายนี้เอาไว้ นางนั่งรอเขาอยู่บนเตียง ไม่นานนักอาหลี่ก็กลับมาพร้อมกับกาน้ำใบหนึ่ง เขาเทน้ำก่อนจะยื่นมันส่งมาให้แก่นาง เสิ่นเสวี่ยรับน้ำมาดื่มจนหมดแก้ว ก่อนทิ้งตัวลงนอนด้วยความเหนื่อยหอบให้ตายสิ!!! ระบมไปทั้งตัวเลยอาหลี่ทิ้งตัวลงนอนข้างกายนาง กลับพบว่านางหลับสนิทไปเสียแล้ว เขามองใบหน้าเรียวงามที่หลับตาพริ้มอยู่บนเตียง ก่อนจะนำผ้าห่มมาคลุมให้แก่นางอย่างห่วงใย ฝ่ามือหนาใหญ่ยื่นไปลูบพวงแก้มสีชมพูของนางด้วยความรักใคร่เขาดีใจเหลือเกินที่นางไม่ทำร้ายทุบตีเขาเช่นแต่ก่อน นางดีกับเขาเหลือเกิน ดีจนเขาหวาดกลัว กลัวว่าวันหนึ่งนางจะใจร้ายกับเขาอีกครั้งอาหลี่ยื่นท่อนแขนแกร่งไปให้นางหนุนนอน สองมือใหญ่โอบกอดนางเข้ามาไว้ในอ้อมอกแข็งแกร่ง เขาสัญญาว่าจากนี้ไป เขาจะปกป้องนางเอง จะไม่ยอมให้ใครมาทำร้ายหรือดูถูกนางได้อีกรุ่งเช้าวันต่อมาที่เรือนใหญ่ เสิ่นเหยากวงกำลังสอบถามบ่าวที่เขาส่งไปเฝ้าสวนส้มให้เสิ่นเสวี่ย"เมื่อคืนเป็นอย่างไรบ้าง เรียบร้อยดีหรือไม่""ขอรับ แต่เหมือนคุณหนูใหญ่จะถูกอาหลี่ทาร
เวลาผ่านล่วงเลยไปถึงหนึ่งเดือน ต้นส้มที่สองสามีภรรยาช่วยกันเพาะปลูกดูแลก็เติบโตขึ้นเรื่อยๆ จนเป็นที่น่าพอใจ อาหลี่ตั้งใจรดน้ำและดูแลมันทุกวัน เขาค่อนข้างตื่นเต้นไม่น้อย ที่ได้เห็นว่ามันเจริญงอกงามมากขึ้นเรื่อยๆเสิ่นเสวี่ยกำลังนั่งอยู่ใต้ต้นพุทรา สายตาทอดมองไปยังสระน้ำขนาดใหญ่ที่อยู่ตรงหน้า ก็นึกอะไรขึ้นมาได้ ชาติที่แล้วก่อนที่นางจะตาย นางวาดฝันเอาไว้ว่าอยากใช้ชีวิตอยู่กับเทือกสวนไร่นา แต่เพราะโง่งมจนถูกคนเลวโกงกินจึงต้องตกตายลงอย่างน่าอนาถใจ"เสิ่นเสวี่ย"เสิ่นเสวี่ยหันไปมองอาหลี่ที่กำลังเดินกลับเข้ามาหานาง สายตาของเสิ่นเสวี่ยจับจ้องไปที่แผงอกบึกบึนล่ำสันของเขาที่ตอนนี้มีเหงื่อเม็ดไหลซึมลงมาทั่วร่างช่วยด้วย น้ำจะเดินอีกแล้ว!!!เสิ่นเสวี่ยพยายามข่มใจตนเอง นางหันไปยกถ้วยชาส่งให้แก่เขา อาหลี่พยักหน้าและรับชาถ้วยนั้นไปดื่มด้วยความหิวกระหาย"เหนื่อยหรือไม่? ข้าทำกับข้าวไม่เป็น จึงย่างเนื้อหมูมาให้ท่าน"อาหลี่จ้องมองเนื้อหมูที่ไหม้กระดำกระด่างก็รู้สึกขบขันนางไม่น้อย เสิ่นเสวี่ยจิ๊ปากทันที จะให้นางทำเช่นไร ก็นางทำอะไรไม่เก่งนี่ มีอย่างเดียวที่เก่งก็คือปล้ำสามีเก่ง คิกคิก"เจ้าย่างเองหรือ?
อาหลี่ตื่นนอนตั้งแต่เช้า เขายื่นมือไปดึงผ้าห่มมาคลุมตัวให้เสิ่นเสวี่ย แล้วจึงโน้มใบหน้าลงไปจุมพิตที่หน้าผากเนียนสวยของนางอย่างอ่อนโยน เมื่อคืนเขาไปทำสิ่งใดมากันนะ จึงรู้สึกปวดสะโพกมากมายเช่นนี้ แต่คิดเท่าใดก็คิดไม่ออกเช้านี้อากาศค่อนข้างดีไม่น้อย อาหลี่หอบเสื้อผ้าของภรรยาที่รักไปซักที่ริมสระน้ำ และกลับเข้ามาทำอาหารเช้าให้นาง รอนางตื่นขึ้นมาก็จะได้กินมื้อเช้าทันทีเสิ่นเสวี่ยลืมตาตื่นขึ้นมา นางบิดตัวไปมาอย่างช้าๆ ก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงนอนและเดินตรงมาที่ด้านนอก สายตาของนางเหลือบไปเห็นอาหลี่กำลังปัดกวาดเช็ดถูอยู่รอบๆ เรือน จึงเดินเข้าไปสวมกอดเขาจากทางด้านหลัง อาหลี่รีบหันไปเอ่ยถามนางทันทีด้วยความห่วงใย"หิวหรือไม่?""ยังเจ้าค่ะ เมื่อคืนกินท่านอิ่มแล้ว"ไม่พูดเปล่า เสิ่นเสวี่ยยื่นฝ่ามือเรียวงามของตนเองไปจับหมับเข้าที่แท่งเอ็นร้อนของผู้เป็นสามีจนเต็มไม้เต็มมือ อาหลี่สะดุ้งจนตัวโยน ใบหน้าแดงซ่านด้วยความเขินอาย"เอ่อ...เสิ่นเสวี่ย""ทำไมเล่าเจ้าคะ? ทีเมื่อคืนท่านพี่อาหลี่ยังเอาเปรียบข้าทั้งคืนเลย"อาหลี่ขมวดคิ้วมุ่นจ้องมองเสิ่นเสวี่ยด้วยแววตาสงสัยใคร่รู้"ข้าทำอะไรหรือ?""ท่านจำไม่ได้หรือเจ้
อาหลี่ทำตามที่เสิ่นเหยากวงบอกเอาไว้อย่างเคร่งครัด หลังจากที่ทำสวนและนำผักไปส่งที่ตลาดเรียบร้อยแล้ว เขาก็จะไปเรียนหนังสือกับเสิ่นเหยากวงทันทีเสิ่นเหยากวงรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก เท่าที่เขารู้มา อาหลี่เป็นเด็กกำพร้าจากสถานรับเลี้ยงเด็กไร้บ้านมาตั้งแต่เก้าขวบ แต่กลับรู้หนังสือ และตำราต่างๆ มากมาย ราวกับเคยร่ำเรียนมาอย่างไรอย่างนั้น"เจ้ารู้จักตำราเหล่านี้ได้เช่นไร นี่เป็นหนังสือของเหล่านักเรียนชนชั้นสูงทั้งนั้น"อาหลี่ขมวดคิ้วมุ่น เขาพยายามนึกเท่าใดก็นึกไม่ออก ราวกับว่าความทรงจำเสี้ยวหนึ่งของเขาได้ถูกลบเลือนจนสูญหายไป"บ่าวจำไม่ได้ขอรับ"เสิ่นเหยากวงมองอาหลี่ด้วยสายตาครุ่นคิด แต่เมื่อเห็นเขาไม่มีท่าทีคล้ายกับคนที่โกหก และไม่หลบสายตาเลยแม้แต่น้อย เสิ่นเหยากวงก็คร้านที่จะไปบีบคั้นเอาคำตอบจากอาหลี่บางทีตอนเด็กๆ อาหลี่อาจจะเคยพบเจอหนังสือตำราพวกนี้ผ่านตามาบ้าง หรือไม่ก็อาจจะเป็นลูกหลานของพวกพ่อค้าเศรษฐีที่ตกอับแล้วนำบุตรในจวนมาขายทิ้งก็เป็นได้เสิ่นเหยากวงรู้สึกพอใจในตัวอาหลี่เป็นอย่างมาก อย่างน้อยเจ้าทึ่มนี่ก็ไม่ได้โง่งมเท่าใดนัก คงจะพอชักจูงไปในทางที่ดีได้บ้าง"วันนี้พอแค่นี้ละ เจ้าทำ
อาหลี่ที่เพิ่งกลับมาจากตลาด พ่อบ้านในจวนก็มาบอกแก่เขาว่าเกิดเรื่องขึ้นที่จวน เมื่อรู้เรื่องที่เสิ่นเยี่ยแอบมาทำลายสวนส้มเขาก็ร้อนใจขึ้นมาทันที เมื่อกลับมาถึงเรือนก็พบกับเสิ่นเสวี่ยที่กำลังนั่งนับตั๋วเงินอย่างไม่ทุกข์ไม่ร้อน"เสิ่นเสวี่ย""ท่านพี่อาหลี่ ท่านกลับมาแล้ว""ได้ยินว่าต้นส้มถูกคุณชายรองทำลายหรือ?"เสิ่นเสวี่ยพยักหน้าอย่างช้าๆ ราวกับไม่ได้ใส่ใจมากเท่าใดนัก กลับกลายเป็นอาหลี่เสียเองที่กระวนกระวายใจ จนเสิ่นเสวี่ยรู้สึกขบขัน"จะร้อนรนไปไยเจ้าคะ ไอ้ชั่วนั่นมันถอนไปแค่ต้นเดียว บังเอิญว่าข้าเห็นเสียก่อน จึงสั่งสอนไปพอหอมปากหอมคอ ท่านพ่อก็เลยให้ค่าปลอบขวัญข้ามาตั้งหนึ่งพันตำลึงเจ้าค่ะ"อาหลี่ที่ได้ยินก็ลอบบิดเบ้มุมปากทันทีท่านโหวให้รางวัลเองหรือเจ้าไปรีดไถท่านพ่อของเจ้ากันแน่?นับวันอาหลี่ก็เริ่มรู้ทันความคิดของเสิ่นเสวี่ยมากยิ่งขึ้นคิดไปคิดมา เขาเองก็โกรธเสิ่นเยี่ยอยู่เช่นกัน คุณชายรองผู้นี้นิสัยเหมือนเด็ก ชอบทำลายข้าวของ ทุบตีบ่าวไพร่ เขาเองก็เคยถูกเสิ่นเยี่ยทุบตีเมื่อตอนที่เข้ามาอยู่ในจวนโหวใหม่ๆ เช่นกัน"วันนี้เราไปซื้อเกี๊ยวน้ำมากินดีหรือไม่เจ้าคะ?"ยังไม่ทันที่อาหลี่จะเอ่ยสิ
รถม้าของเสิ่นเสวี่ยเดินทางมาเรื่อยๆ ลัดเลาะผ่านหมู่บ้านมาพักใหญ่ ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะถึงวัดบนเขาเสียที จู่ๆ รถม้าก็หยุดกะทันหัน เสิ่นเสวี่ยขมวดคิ้วมุ่น นางยื่นมือไปเปิดผ้าม่านบังรถออก รอบด้านมีเพียงป่าไผ่ที่รกทึบ ดูแล้วที่นี่คงจะไกลจากหมู่บ้านมามากแล้ว"เจ้าลงไปถามคนขับรถม้าดูทีเถิด ว่าเหตุใดจึงหยุดรถกะทันหันเช่นนี้"สาวใช้นางนั้นไม่ตอบ มีเพียงรอยยิ้มเจ้าเล่ห์และสายตาดูถูกดูแคลนที่มองมายังเสิ่นเสวี่ย"ข้าสั่งให้เจ้าลงไปถาม เหตุใดจึงไม่ลงไปเล่า?""ลงแน่นอนเจ้าค่ะ เพียงแต่ว่า บ่าวจะลงจากรถม้าไปก็ต่อเมื่อได้เห็นคุณหนูใหญ่ร่วมหลับนอนกับคนขับรถม้าเรียบร้อยแล้วเจ้าค่ะ"สาวใช้ยิ้มอย่างเย้ยหยัน แท้จริงแล้วนางเป็นคนที่ฮูหยินรองอวิ๋นส่งตัวมา รวมถึงคนขับรถม้าผู้นั้นก็เป็นคนที่ฮูหยินรองอวิ๋นส่งมาด้วยเช่นกันเสิ่นเสวี่ยส่งเสียงเฮอะในลำคอ ว่าแล้วเชียว เป็นดั่งที่นางคาดการณ์เอาไว้ไม่มีผิด นางรู้สึกแปลกใจตั้งแต่เรื่องไต้ซือผู้นั้นแล้ว นางประมาทฮูหยินรองอวิ๋นมากเกินไป ไม่คิดว่านางจะลงมือทำเรื่องชั่วช้ารวดเร็วเช่นนี้หากเกิดเรื่องกับนางที่นี่ในตอนนี้ แล้วท่านพี่อาหลี่ของนางเล่า?ไม่ได้การ นางต้องหาทางจ
เสิ่นเหยากวงมองเข้าไปในเรือนด้วยแววตาที่เย็นชาและดุดัน เสียงร้องครวญครางของฮูหยินรองอวิ๋นดังลอยออกมาเป็นระยะๆ เสิ่นเหยากวงเดินตรงไปที่หน้าประตู ก่อนจะยกเท้าขึ้นถีบประตูให้เปิดออก ภาพที่เห็นตรงหน้าทำให้เขาโกรธนางเป็นอย่างยิ่ง"นังแพศยา!!!"ชายวัยกลางคนเมื่อเห็นว่าแผนการสำเร็จแล้ว ก็รีบพุ่งตัวกระโดดหลบหนีออกไปที่ด้านนอกหน้าต่างทางหลังเรือนทันที ทิ้งให้ฮูหยินรองอวิ๋นนอนร้องครวญครางอยู่บนเตียง ร่างกายเปลือยเปล่าไร้อาภรณ์ปกปิด ช่างเป็นภาพที่น่ารังเกียจยิ่งนักพลั่ก!!!เสิ่นเหยากวงถีบฮูหยินรองอวิ๋นจนร่วงตกเตียง ก่อนจะนำน้ำเย็นจัดหนึ่งถังมาสาดใส่นางจนฟื้นคืนสติ ฮูหยินรองอวิ๋นจ้องมองเสิ่นเหยากวงก่อนจะปรายตาไปมองเสิ่นเสวี่ยด้วยสายตาหวาดกลัว"ท่านพี่นางจะฆ่าข้า!!! นางจะโอ๊ย!!!""นังคนชั่ว!!! ข้ารู้ถึงความต่ำช้าของเจ้าหมดแล้ว เจ้าส่งคนไปลอบทำร้ายลูกข้า แล้วยังคิดใส่ความลูกข้าอีก ข้าเห็นกับตาว่าเจ้ามีชู้ ข้าจะยื่นหนังสือหย่าให้กับเจ้า นับแต่นี้ไป เจ้ากับข้าถือว่าขาดกัน!!! เสิ่นเสวี่ย จัดการส่งตัวนางกลับบ้านเก่าของนางไป!!!""เจ้าค่ะท่านพ่อ""ท่านพี่ ฮือออ!!! ท่านพี่!!!"เสิ่นเสวี่ยปรายตามองฮูหยินร
คนในจวนตระกูลหลัวถูกลงโทษประหารชีวิตทั้งหมด เหล่าข้ารับใช้ถูกขายกระจัดกระจายไปตามที่ต่างๆ เหล่านักฆ่าที่เสนาบดีหลัวเลี้ยงดูเอาไว้ถูกสังหารจนหมดสิ้น จ้าวหรงฟังจัดการถอนรากถอนโคนจวนตระกูลหลัวจนสิ้นซาก เหล่าชาวบ้านต่างรู้สึกดีใจไม่น้อย ที่จะไม่ต้องทนถูกเสนาบดีหลัวข่มเหงรังแกอีกต่อไปด้านไป๋หลานฮวาก็ยอมตัดใจไปแต่งงานกับคุณชายตระกูลอื่น นางไม่อยากใส่ใจรอคอยบุรุษที่ไม่เห็นค่าของนาง ที่สำคัญไปกว่านั้นก็คือ นางกลัวเสิ่นเสวี่ยจะมากระชากหนังหัวของนางเหมือนเช่นครั้งก่อนอีก ไป๋ไทเฮาติดสุราจนลงแดง ฮ่องเต้จ้าวหรงฟังจึงได้ส่งนางไปบวชชีอยู่ที่วัดอย่างเงียบๆ และห้ามกลับเข้าวังหลวงอีก เขาหวังว่าวัดจะสามารถขัดเกลามารดาบุญธรรมของเขาได้บ้าง บุคคลภายนอกรับรู้เพียงแต่ว่า ไทเฮาอยากคิดปลีกวิเวก ไม่สนใจอำนาจในราชสำนักอีก จึงขอออกบวชที่วัดบนเขาตลอดชีวิตไทเฮาแม้จะรู้สึกโกรธเคืองจ้าวหรงฟังไม่น้อย แต่ก็คร้านจะไปสนใจเขา ถึงแม้นางจะอยู่ในวัดแต่ก็ยังแอบให้นางกำนัลที่คอยรับใช้ออกไปนำสุรามาให้นางดื่มเป็นประจำ ใครจะเลิกดื่มกันของดีเช่นนี้!!! เมาจนตายอยู่ในวัดข้าก็ยอม รัชศกม่านฉีปีที่ 1 ฮ่องเต้จ้าวหรงฟังทรงสิ้นพระช
นักฆ่าเตรียมเงื้อดาบขึ้นมาฟาดฟันที่ร่างของจ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ย ทว่ากลับถูกดาบปริศนาฟาดฟันเข้าใส่จนล้มลงไปกองกับพื้นและขาดใจตายทันทีเสนาบดีหลัวตื่นตระหนกไม่น้อย เขาหันไปมองซ้ายขวา และพบเข้ากับองครักษ์ที่กระโดดออกมาจากที่ซ่อนกาย พวกเขารอรับคำสั่งจากจ้าวม่านฉี เมื่อจ้าวม่านฉีส่งสัญญาณมือ พวกเขาจึงลงมือสังหารเหล่านักฆ่าของเสนาบดีหลัวทันที "นี่พวกเจ้า!!!""ไม่คิดเลยว่าเจ้าจะใจกล้าเทียมฟ้าถึงขนาดส่งเมียรักมาเป็นสนมของข้า แล้วยังวางแผนให้บุตรชายของเจ้าได้ขึ้นครองบัลลังก์ของข้าอีกด้วย ชั่วช้าเกินคนจริงๆ"จ้าวหรงฟังเดินเข้ามาพร้อมกับเสิ่นเหยากวง ด้านหลังของพวกเขายังมีหลัวกุ้ยเฟยและจ้าวมู่หรงที่ถูกลากออกมาพร้อมกันด้วย เสิ่นเหยากวงเป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาว เขาจึงแอบตามไปด้วย โดยเร้นกายอยู่ไม่ไกลจากจ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ยมากนัก และแจ้งเรื่องนี้ให้แก่จ้าวหรงฟังได้รับรู้ถึงความชั่วช้าของเสนาบดีหลัว จ้าวหรงฟังพิโรธเป็นอย่างยิ่ง เดิมทีเขายังไม่เชื่อ จึงสั่งคนไปจับตัวจ้าวมู่หรงมาพิสูจน์ความเป็นสายเลือด แต่ทว่าภาพที่ปรากฏต่อสายตาของเขาคือจ้าวมู่หรงไม่ได้มีความเกี่ยวข้องใดๆ ทางสายเลือดกับเขา
กลางดึกของคืนถัดมา จ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ยสองสามีภรรยา สวมชุดสีดำและใช้ผ้าปิดบังใบหน้า แอบปีนออกจากกำแพงวังหลวงมุ่งหน้าตรงไปที่จวนตระกูลหลัวทันที จวนตระกูลหลัวใหญ่โตโอ่อ่าไม่น้อย รอบๆ จวนจุดคบไฟเอาไว้เพื่อช่วยให้แสงสว่าง การคุ้มกันในจวนตระกูลหลัวค่อนข้างแน่นหนาเป็นอย่างยิ่ง โชคดีที่จ้าวม่านฉีได้ฝึกฝนวิชาตัวเบาจากเสิ่นเหยากวงและเสิ่นเฟยมาไม่น้อย ทุกฝีก้าวจึงไร้ซึ่งเสียงใดให้เป็นพิรุธ เสิ่นเสวี่ยเองก็พยายามเดินตามเขาอย่างระมัดระวังที่สุด จ้าวม่านฉีจับมือของเสิ่นเสวี่ยเอาไว้ไม่ยอมปล่อยให้นางละสายตาแม้แต่นาทีเดียวทั้งสองหลบอยู่ในมุมมืดที่มีกิ่งไม้ปกคลุม จ้าวม่านฉีมองไปตรงหน้าซึ่งเป็นเรือนขนาดใหญ่ที่สุด ดูแล้วคงจะเป็นเรือนที่เสนาบดีหลัวพักอยู่ แสงเทียนยังคงสว่างไสวภายในเรือนนั้น เสิ่นเสวี่ยและจ้าวม่านฉี ค่อยๆ แฝงตัวเข้าไปแล้วจึงแนบหูฟังเสียงสนทนาภายในเรือนหลังนั้น ภายในเรือนไม่ได้มีแค่เสนาบดีหลัวเพียงเท่านั้น แต่จ้าวม่านฉีกลับได้ยินเสียงคล้ายสตรีกำลังสนทนากับเขาอยู่ "จะลงมือจัดการกับจ้าวม่านฉีและเสิ่นเสวี่ยเมื่อใดเจ้าคะ?""อีกไม่นานฝ่าบาทจะเสด็จไปที่พระราชวังฤดูร้อนใกล้ทะเลสาบนอกเมือง
เสิ่นเสวี่ยนำเรื่องนี้มาปรึกษาหารือกับจ้าวม่านฉี นางวางแผนกับเขาเอาไว้ว่าคืนพรุ่งนี้จะแอบปีนเข้าไปสำรวจภายในจวนตระกูลหลัวเสียหน่อย จ้าวม่านฉีไม่วางใจที่จะให้นางไปคนเดียว เขาจึงอาสาจะไปเป็นเพื่อนนางด้วย หลังจากรับสำรับมื้อค่ำเรียบร้อยแล้ว เสิ่นเสวี่ยก็เตรียมตัวจะไปอาบน้ำผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ นางรู้สึกเหนียวเหนอะหนะตามร่างกายเป็นอย่างยิ่ง จ้าวม่านฉีที่เห็นเช่นนั้นก็สะบัดมือไล่เหล่านางกำนัลให้ออกไปจนหมด เสิ่นเสวี่ยขมวดคิ้วมุ่น หันไปมองเขาด้วยท่าทีประหลาดใจไม่น้อย "ท่านไล่พวกนางออกไปจนหมดตำหนักด้วยเหตุใดกันเจ้าคะ?"จ้าวม่านฉีไม่พูดสิ่งใด เขาเพียงยกยิ้มเจ้าเล่ห์ที่มุมปาก ก่อนจะปลดเปลื้องเสื้อผ้าอาภรณ์ออกจนหมด เผยให้เห็นลำแท่งไผ่ใหญ่ยาวที่กำลังแข็งชูชันชี้โด่มาที่ใบหน้าสวยของนางเสิ่นเสวี่ยยกมือขึ้นปิดปากตนเองพร้อมกับหัวเราะคิกคัก ดวงตาคู่สวยจ้องมองไปที่ความเป็นชายขนาดใหญ่ยักษ์ของผู้เป็นสามีด้วยความตื่นเต้น นานแล้วนะที่ไม่ได้เล่นกับจ้าวม่านฉีน้อย!!!"ตั้งแต่อภิเษกเจ้าเข้าวังมา ข้ายังไม่ได้เข้าหอกับเจ้าอย่างเป็นทางการเลย วันนี้เรามาเข้าหอกันดีหรือไม่เมียรักของข้า?"จ้าวม่านฉีเดินเข้ามาใกล้ๆ เส
ฟึ่บ!!! ฉับ!!!เสียงคมดาบฟาดฟันลงมาที่กลางแผ่นหลังของเสิ่นหนิง เลือดสดๆ ไหลล้นทะลักออกมาเป็นสาย คนของเสนาบดีหลัวคิดจะลงมือซ้ำอีกครั้งเพื่อให้นางตกตาย แต่กลับถูกลูกธนูยิงเข้าที่กลางอกเสียก่อน "เสิ่นหนิง!!!""ท่านพ่อ อึก ท่านพ่อ"เสิ่นเหยากวงรีบเข้ามาประคองร่างของบุตรสาวเอาไว้ นางอุ้มทารกน้อยเอาไว้แนบอก ดวงตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำตาจ้องมองผู้เป็นบิดาด้วยสายตาที่หวาดหวั่น เสิ่นเหยากวงสั่งให้คนคอยคุ้มกันเขากับเสิ่นหนิงเอาไว้ สายตาเย็นชาจ้องมองเสนาบดีหลัวที่ยืนอยู่ด้วยความเกลียดชัง "เหตุใดจึงเป็นเช่นนี้ เสิ่นหนิง""ท่านพ่อ อึก!!!"เสิ่นหนิงกระอักเลือดออกมาคำโต นางค่อยๆ ขยับใบหน้าเข้าไปใกล้กับบิดา และกระซิบบอกเล่าเรื่องราวอัปยศเลวทรามที่เกิดขึ้นให้เขาฟังจนหมด "ต่ำช้า!!!""ท่านพ่อ อึก ฝากลูกข้าด้วย!!!"เสิ่นหนิงยื่นฝ่ามือเรียวงามไปซับน้ำตาให้ทารกน้อยในอ้อมกอดด้วยความรักใคร่ "อย่าร้องเลยลูกแม่ เจ้าจงเป็นเด็กดีของท่านตานะ อึก ท่านพ่อ ท่านพี่อยู่ในวังหลวง ขอให้นางช่วยคุ้มครองลูกข้าด้วย ฮึก ฝากบอกแก่นางทีว่าข้าสำนึกผิดในใจแล้ว"สิ้นคำพูดสุดท้าย ร่างของเสิ่นหนิงก็แน่นิ่งไป เสิ่นเหยากวงยื่นฝ
จวนตระกูลหลัวกำลังระส่ำระสายอย่างหนัก เมื่อหลัวเฉินเฟยเกิดล้มป่วยขึ้นมากะทันหัน ด้านเสิ่นหนิงก็ให้กำเนิดบุตรชายหนึ่งคน สร้างความปีติยินดีแก่คนในจวนไม่น้อย นางลอบยกยิ้มมุมปาก นึกสมเพชเวทนาพวกชั่วช้าที่โง่งม ไม่รู้ว่าที่แท้จริงบุตรในท้องของนางไม่ใช่สายเลือดของจวนตระกูลหลัวเลยแม้แต่น้อย อาเหวยรู้สึกดีใจที่ได้เห็นหน้าบุตรชายของตนแต่ก็ต้องแสร้งเก็บอาการเอาไว้ หลัวเฉินเฟยกระอักเลือดมาสองวันติดแล้ว คงเพราะยาพิษที่เขาค่อยๆ ให้ดื่ม เริ่มออกฤทธิ์แล้ว เสนาบดีหลัวรู้สึกร้อนใจเหลือเกินที่บุตรชายของตนล้มป่วยลงเช่นนี้ เขาสั่งหมอให้มาตรวจดูอาการของหลัวเฉินเฟย แต่หมอทุกคนต่างส่ายหน้าไปตามๆ กัน "อาการของคุณชายใหญ่ย่ำแย่ลงทุกวัน เห็นทีคงจะอยู่ได้อีกไม่นานขอรับ"เสนาบดีหลัวที่ได้ยินเช่นนั้นก็หน้าถอดสี เขามองหลัวเฉินเฟยที่นอนใบหน้าซีดเผือดอยู่บนเตียงด้วยความสงสาร เฉินเฟยเป็นบุตรชายที่เขารักมาก เหตุใดสวรรค์จึงกลั่นแกล้งตระกูลหลัวเช่นนี้ ในค่ำคืนที่เงียบสงบ ปรากฏร่างของอาเหวยและเสิ่นหนิง นั่งอยู่ที่ข้างเตียงของหลัวเฉินเฟย และจ้องมองเขาด้วยสายตาเกลียดชัง หลัวเฉินเฟยค่อยๆ ลืมตาขึ้นมามองคนทั้งสองข้าง "อา
ราชสำนักเกิดความระส่ำระสายอย่างหนัก เมื่อไท่จื่อม่านฉียืนกรานที่จะไม่ยอมอภิเษกกับไป๋หลานฮวา ไป๋ไทเฮารู้สึกโกรธเคืองไม่น้อย แต่ก็ไม่อาจจะบังคับไท่จื่อม่านฉีได้ ยิ่งนางบีบบังคับเขา เขาก็ยิ่งเอ่ยวาจาชวนระคายเคืองหูให้นางฟังอย่างไม่ไว้หน้า"กระหม่อมไม่แต่ง สัญญาครั้งนี้กระหม่อมไม่รับรู้ด้วย หากจะให้นางแต่งเข้ามา ก็ให้นางไปเป็นสนมของเสด็จพ่อเถิด""ความกตัญญูที่พึงมีควรเป็นเสด็จพ่อที่ต้องตอบแทน มิใช่กระหม่อม"เจ้าเด็กเหลือขอ เห็นทีคงจะไม่สามารถบังคับสิ่งใดได้เสียแล้วหลี่ฮองเฮานั่งจิบชาอย่างสบายอารมณ์เมื่อได้ยินนางกำนัลคนสนิทเข้ามารายงาน ว่าจ้าวม่านฉีตอกหน้าไป๋ไทเฮาเช่นใดบ้าง นางรู้สึกขบขันไม่น้อย แต่ไหนแต่ไรมาไป๋ไทเฮามักจะวางท่าทางใหญ่โต เพราะฝ่าบาททรงเกรงพระทัยนาง แต่ไม่ใช่กับจ้าวม่านฉี ต้องขอบใจคุณหนูตระกูลเสิ่นผู้นั้นจริงๆ ที่อบรมสั่งสอนม่านฉีให้เด็ดขาดเช่นนี้ต้องอย่างนี้สิถึงจะอภิเษกเข้ามาเป็นลูกสะใภ้ของนางได้ฮ่องเต้จ้าวหรงฟังในตอนนี้เส้นเลือดในสมองใกล้จะแตกแล้ว ไท่จื่อม่านฉีปฏิเสธการแต่งงานกับไป๋หลานฮวาทุกวิถีทาง และยังขู่เขาอีกด้วยว่าถ้าหากคิดบีบบังคับอีก จะขอตัดขาดจากราชวงศ์ไปชั่
ไป๋หลานฮวากลับจวนตระกูลไป๋ด้วยท่าทีทุลักทุเล นางเอ่ยต่อท่านแม่ของนางว่าระหว่างทางถูกพวกขอทานรุมทำร้าย โชคดีที่ไม่เป็นอะไรมาก แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ยังไม่สามารถออกไปพบกับผู้ใดได้ในตอนนี้ จึงได้แจ้งให้ไทเฮาที่อยู่ในวังหลวงทราบเพียงว่านางล้มป่วยหนัก งานอภิเษกสมรสจึงได้เลื่อนออกไปอย่างไม่มีกำหนดนางจะต้องหายดีในเร็ววัน ตำแหน่งไท่จื่อเฟยต้องตกเป็นของนางแต่เพียงผู้เดียวเท่านั้นเสิ่นเสวี่ยกำลังนั่งอ่านตำราต่างๆ ไปเรื่อยเปื่อย นางเอนตัวพิงหมอนใบใหญ่ที่หัวเตียง สายตามองไปยังข้างกายที่เคยมีสามีผู้เป็นที่รักนอนเคียงข้าง ก็รู้สึกเศร้าใจไม่น้อยเคยมีเขาอยู่ข้างกายทุกวัน บัดนี้สวนส้มก็เจริญเติบโตไปมากแล้ว ยิ่งนึกย้อนไปถึงช่วงเวลาที่แสนสุข ใจของนางก็รู้สึกบีบรัดอย่างเจ็บปวด"คิดถึงข้าอยู่หรือ?"เสิ่นเสวี่ยชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะค่อยๆ หันไปมองที่หน้าต่าง แล้วจึงได้พบกับจ้าวม่านฉีที่สวมชุดสีฟ้าอ่อนดูสบายตา กำลังนั่งมองนางอยู่ที่ริมหน้าต่าง รอยยิ้มเจิดจ้าของเขายังคงทำให้จิตใจของนางสั่นไหวได้เสมอเสิ่นเสวี่ยรู้สึกดีใจไม่น้อย แต่อีกใจหนึ่งก็นึกโกรธเขาเช่นกัน"หึ เข้าวังหลวงได้ไม่นานก็เนื้อหอมไม่เบา สตรีเข้
พิธีแต่งตั้งองค์รัชทายาทถูกจัดขึ้นอย่างยิ่งใหญ่สมเกียรติ ทั่วทั้งเมืองหลวงต่างประดับประดาด้วยสีสันตระการตา เพื่อเป็นการเฉลิมฉลองครั้งยิ่งใหญ่ให้แก่องค์รัชทายาทอาหลี่ในตอนนี้ ก็คือ ไท่จื่อม่านฉี องค์รัชทายาทผู้สง่างาม เขาสวมชุดสีทองอร่าม กำลังยืนทอดมองออกไปที่ด้านนอกพระตำหนัก ในมือถือหยกรูปจันทร์เสี้ยวเอาไว้แน่น ยามนี้อากาศค่อนข้างหนาวเย็นมากแล้ว เขาคิดถึงเสิ่นเสวี่ยยิ่งนัก ตั้งแต่ที่เขาได้กลับเข้าวังหลวงในฐานะองค์รัชทายาท ก็ไม่มีโอกาสได้กลับไปหานางอีกเลย ทำได้เพียงฝากจดหมายให้องครักษ์คนสนิทนำไปมอบให้แก่นางเขาได้ยินมาจากเสด็จแม่ ว่าแท้จริงแล้วเขามีคู่หมั้นแล้ว นามว่าไป๋หลานฮวา เป็นบุตรสาวท่านเจ้ากรมพิธีการ แต่เสด็จแม่เองไม่ค่อยเห็นด้วยกับการคลุมถุงชนในครั้งนี้เท่าใดนัก แต่เพราะเป็นความประสงค์ของเสด็จพ่อ เสด็จแม่จึงมิอยากเอ่ยสิ่งใดให้มากความ เขาเองก็สามารถรื้อฟื้นความทรงจำแต่เก่าก่อนได้จนหมด เพียงแต่จำหน้าพวกชายชุดดำที่จับตัวเขาไปไม่ได้ มันรางเลือนเหลือเกินไท่จื่อม่านฉีเดินตรงไปที่ห้องทรงพระอักษรของพระบิดา ฮ่องเต้จ้าวหรงฟังที่ได้เห็นพระโอรสก็ยิ้มด้วยความดีใจ"ม่านฉี มานี่เร็วเข้า พ่อ