ผลการตรวจร่างกายของโมกข์ค่อนข้างดี แม้มีบางส่วนที่คุณหมอเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ไม่นับว่าเป็นอันตรายนักจึงสามารถเดินทางกลับบ้านได้ แต่กลับบ้านครั้งนี้หัสวีร์ขับรถตามกลับมาด้วย และเผื่อไม่ให้หญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาขอร้องกึ่งบังคับให้รมิดานั่งรถคันเดียวกับเขา ส่วนรวิศอยู่กับโมกข์ “ก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้” เธอบ่นไม่จริงจังนัก “ให้พี่ขับรถคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ที่บริษัทจะไม่มีปัญหาแน่นะคะ” “ระดับหัสวีร์แล้ว รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน” เขาหัวเราะในลำคอ สายตายังคงมองไปที่ถนนที่ออก “พี่ไม่ทำให้ลูกกับเมียต้องลำบากหรอก” จากที่เคยร่วมงานกัน เธอเชื่อว่าเขาทำได้ตามที่พูดจริง “พี่วีร์ขับรถเหมือนชำนาญเส้นทาง” “อื้ม คุณปู่กับย่าย้ายอยู่บ้านพักต่างอากาศนะ พี่มาหาท่านทุกเดือน พี่ชอบขับรถมาเอง” “เอ๊ะ แถวนี้...ใกล้บ้านฝนเลยค่ะ” “หือ? แปลกจริง หรือว่าจะเคยเป็นลูกค้าขนม จริงสิ น่าจะเป็นร้านขนมของฝนนะที่คุณย่าสั่งไปเลี้ยงเด็กๆ ที่งานวันเด็ก พี่ก็เลยได้เจอรวิศที่นั้น”
ชายวันกลางคนเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เสียงเด็กหัวเราะร่าทำให้สองเท้าหยุดเดินแล้วมองไปตามเสียงที่ได้ยิน เพียงแค่พริบตา ร่างเล็กๆของเด็กวัยสามขวบก็โผเข้ามาเกาะขาของเขาแล้วแหงนหน้าขึ้น ดวงตาวาววับจ้องมองก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณหนูรวิศ” แม่ของหัสดินเดินมาพร้อมกับสาวใช้ที่แทบจะวิ่งตามเด็กน้อยทรงพลังคนนี้ “รวิศ? เด็กคนนี้เหรอ” อัศวินมองเด็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ นั่งลงเพื่อจ้องมองใบหน้าน้อยๆ ได้เต็มตา “อืม ก็เหมือนเจ้าวีร์ตอนเด็กๆอยู่นะ” “พ่อลูกกันก็ต้องหน้าตาเหมือนกันสิคะ” “ได้ข่าวว่าพาเมียกับลูกกลับมาบ้านก็เลยรีบมาดู” “ขอโทษนะคะ” รมิดาที่แถบจะวิ่งตามมารีบพูดขึ้นทันที “เด็กตื่นเต้นไปหน่อย เที่ยววิ่งเล็กไปทั่ว หนูจะสอนลูกให้ระวังกว่านี้” “อย่าไปดุเด็กนะ” อัศวินพูดกับรมิดา เขารู้ว่าเธอเคยเป็นเลขาของลูกชายมาก่อนและเขาเป็นคนหาทางขับไล่เธอไป “เด็กๆ ซนถึงจะดี จะได้ฉลาดและแข็งแรง” “รวิศเป็นเด็กดี!” เด็กน้อยพูดเสียงใส ทำให้คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะชอบใจ อัศวินเองเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ท
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
‘ได้เดิมตามฝัน จะมีอะไรเป็นของตัวเอง ชอบอิสระ ไม่พึ่งพาใคร ไม่ง้อใคร รวยด้วยลำแข็ง เก่ง แกร่ง เสน่ห์แรง เกินต้าน สวยมากจนน่าขยี้ หาเงินเก่ง หาเงินดุ เงินคือสามีที่เรารักที่สุด...’หญิงสาวถึงกับสำลักเครื่องดื่มสีสวยที่กำลังยกขึ้นจิบ บาร์เทนเดอร์ที่อยู่ใกล้หันมามองอย่างห่วงใย แต่เจ้าของมือเรียวโบกมือไปมาก่อนหยิบกระดาษทิชชู่มาซับมุมปากแล้วกวาดสายตาอ่านข้อความที่หน้าจอสมาร์ทโฟนของตนเอง“เงินคือสามีที่รักที่สุด” รมิดาพึมพำอ่านข้อความนั้นซ้ำอีกครั้งแล้วก็ต้องกลั้นหัวเราะ มันเป็นหน้าแฟนเพจเวบดูดวงเพจหนึ่งที่เธอเลื่อนอ่านฆ่าเวลา แม้ไม่ใช่คนชอบดูดวงชะตาแต่ถ้าเจอก็อดอ่านไม่ได้ เธอเป็นสาวราศีมีน และหมอดูท่านนี้ก็ทำนายได้โดนใจเป็นที่สุดสำหรับรมิดาแล้วไม่มีอะไรสำคัญไปกว่าเงิน หญิงสาวนึกขำเมื่อเห็นภาพใบหน้าตนเองฉีกยิ้มหวานแล้วพูดว่า ‘ภูมิใจที่ได้ทำงานที่บริษัทในเครือศาตนันท์กรุ๊ฟ’ ซึ่งความจริงแล้ว เพราะเงินเดือนที่สูงกว่าบริษัทอื่นรวมทั้งค่าล่วงเวลาทำให้เธอกัดฟันทำงานที่นี่ต่างหากต้องเรียกว่า ‘ฟาดฟันเพื่อให้ได้ทำงานที่นี่เลยต่างหากล่ะ’หญิงสาวในชุดเดรสสีดำเรียบง่ายยกแก้วเครื่องดื่มของตนขึ้น
มุมหนึ่งของห้องพักสุดหรูคือที่ออกกำลังกายของชายหนุ่มเจ้าของห้อง กระสอบทรายที่แขวนอยู่แกว่งไปมาตามแรงหมัดที่กระแทกใส่ เหงื่อเกาะพราวบนแผงอกกำยำมีรอยสักมังกรใหญ่ยักษ์ที่เวลานี้เปลือยเปล่าเห็นกล้ามท้องเป็นมัด จังหวะเต้นฟุตเวิร์คที่สอดคล้องกับจังหวะการหายใจ ทำเอาคนที่ยืนมองอยู่ถึงกับผงกศีรษะยอมรับความสามารถของพี่ชายต่างมารดาคนนี้ “ใส่นวมแล้วมาต่อยกันสักหมัดสองหมัดสิ” “อย่ามาหลอกเลย” คนถูกชวนส่ายหน้าไปมา “หมัดสองหมัดมีที่ไหน” ชายหนุ่มซัดหมัดหนักๆ ออกไปอีกหมัดก่อนยุติการซ้อม เขายื่นมือไปรับผ้าขนหนูจาก น้องชายแล้วเดินไปนั่งที่เก้าอี้ริมระเบียง “ออกกำลังกายให้เหงื่อมันออกเสียบ้างจะได้เลิกบ่นว่านอนไม่หลับเสียที” หัสวีร์พูดแล้วเช็ดหน้าที่เต็มไปด้วยเหงื่อ “เอาแต่พึ่งยานอนหลับมันจะไม่ดีกับสุขภาพ” “เดี๋ยวนี้ผมไม่ค่อยได้กินยานอนหลับแล้วล่ะ” หัสดินเดินไปหยิบน้ำแร่จากตู้เย็นแล้วเดินกลับมาหาพี่ชายคนละแม่ “ใครกล้ากวนใจพี่ชายผม หรือไม่ได้คุยกับคาเรน” หัสดินพูดพลางหัวเราะร่วน ถือขวดน้ำแร่แล้วเดินไปนั่งใกล้ๆ แม้เป็นพี่น้องต่างมารดา
รมิดาเห็นเจ้านายหันหลังเดินไปแล้วก็ลอบถอนหายใจเบาๆ ไม่ใช่ครั้งแรกที่เห็นเขาเปลือยแผ่นอกแบบนี้ แต่เพราะต้องคอยระวังไม่ให้ปากตัวเองไวเท่าความคิด ท่านประธานเป็นคนจำพวกปากร้ายและร้ายไปถึงก้นบึ้งของหัวใจเลยก็ว่าได้ เท่าที่ทำงานกันมา เขาเป็นคนที่ตัดสินใจเด็ดขาด ไร้ความปรานี แรกทีเดียวเธอออกจะแปลกใจในเงือนไขต่างๆ ก่อนเซ็นสัญญาทำงาน แต่เมื่อทำงานด้วยกัน เธอจึงรู้ว่าเขาไม่มีแค่ธุรกิจของครอบครัวที่ดูแลอยู่ แต่มีธุรกิจสีเทาที่เป็นธุรกิจส่วนตัว ซึ่งเธอเป็นเลขาส่วนตัวของเขาทำให้ต้อง ‘เก็บข้อมูล’ไว้เป็นความลับ จึงเป็นที่มาของเงินเดือนที่สูงกว่าอื่นๆ หากนับรวมกับเงินล่วงเวลาแล้ว เฉลี่ยต่อเดือนเธอได้เงินเดือนห้าหมื่นบาทเลยทีเดียว นี่แหละ เหตุผลที่เธอต้องเกาะงานที่นี่ให้นานที่สุดเท่าที่จะทำได้ แม้ว่าต้องเจอเจ้านายปากร้ายแค่ไหนก็ตาม “มีมัฟฟินก็ต้องมีกาแฟ” หัสดินพูดขึ้นอย่างนึกได้ เดินไปที่เครื่องชงกาแฟแคปซูล “ของเรนนี่เอาลาเต้เหมือนเดิมนะครับ” “ขอบคุณค่ะ” คงมีแค่เวลาแบบนี้ที่เธอไม่ต้องเอาอกเอาใจใคร หัสดินเป็นน้องชายหัสวีร์ อายุห่างกันสามปี และนิสัยตรงกันข้ามกันอย
‘ผมเข้าใจพี่ฝนนะฮะ แต่แม่คงไม่ได้คิดแบบนั้น’ ‘เรื่องแม่นะ ช่างเถอะ พี่ขอแค่ตรีกับหลานโมกข์เข้าใจพี่ก็พอ’ ‘ผมเรียนจบแล้วจะรีบหางานทำ แบ่งเบาภาระพี่ฝนนะฮะ’ ‘ไม่ต้องๆ พี่ดูแลตัวเองได้ แค่โมกข์ไม่อายที่มีพี่อย่างพี่ พี่ก็ดีใจแล้ว’ ‘ทำไมผมต้องอายด้วยเล่า พี่สาวผมทั้งสวยทั้งเก่ง ผมน่ะ ภูมิใจในตัวพี่ฝนนะ’ ‘อย่าลืมคำพูดตัวเองล่ะกัน’ ‘แน่นอนครับ!’ รอยยิ้มบางๆ ผุดขึ้นที่ใบหน้า รมิดาตากเสื้อผ้าเสร็จแล้วก็เดินกลับเข้ามาด้านใน ห้องของเธอมีฟอร์นิเจอร์ครบครัน เครื่องครัว รวมทั้งเครื่องซักผ้าขนาดเล็กและตู้เย็นที่อัดแน่นด้วยน้ำดื่มและขนมของว่างที่แจกในห้องประชุม ตั้งแต่ทำงานในตำแหน่งเลขา เธอไม่ได้อดยากหิวโหยเหมือนเมื่อก่อน แต่เพราะรู้ว่าความหิวมันทรมานเพียงใด ยิ่งขนมพวกนี้เธอไม่เคยมีเงินซื้อกินเอง ลำพังแค่มีข้าวกินครบสามมื้อก็ลำบากแล้ว จะเอาเงินที่ไหนไปซื้อขนมมากิน วันหยุดซึ่งนานๆ จะมีสักทีเพราะเจ้านายของเธอเป็นคนบ้างาน นอกจากงานที่บริษัทแล้วยังมีกิจการส่วนตัวหลายอย่าง หลายครั้งที่เธอต้องตามเขาไปหลายที่ ต
ใบหน้าเจ้าสาวแดงก่ำ หัวใจยังเต้นแรงจากสัมผัสที่เขามอบให้ ใบหน้าหล่อเหลายังคงยิ้มและทำเป็นใจเย็นทั้งที่ความเป็นชายพร้อมรบ เจ้าบ่าวจับเอวคอดยกร่างเธอลงมาจากอ่างล้างหน้า พลิกร่างเธอหันไปเผชิญกับกระจกเงา ใบหน้าเธอยิ่งเห่อร้อนเมื่อเห็นเงาตัวเองในกระจก เขาช่วยสางผมให้เธออย่างเบามือในขณะที่สิ่งที่ใหญ่โตนั้นดุนดันร่องก้นเธออยู่ มือใหญ่นวดไหล่ต้นคอแล้วเลื่อนมาที่ไหล่ก่อนจะใช้ฝ่ามือนวดคลึงทรวงอกงดงามของเธอ รมิดาหลับตาไม่กล้ามองภาพตัวเองในกระจก มันวาบหวามเกินไปจนจนสั่น ร่างอ่อนระทวยแทบไม่มีแรงยืน “ชอบที่พี่ทำให้หรือเปล่า” เสียงทุ่มต่ำถามที่ริมหูก่อนจะขบมเม้มติ่งหูและส่งลิ้นเข้าไปตวัดเลียใบหู หญิงสาวขนลุกชันไปหมด ร่องสาวเปียกแฉะขึ้นมาอีกระลอก “พี่วีร์...” เธอครางเรียกชื่อเขาด้วยอารมณ์ปรารถนาที่ต้องการให้เขาทำมากกว่านี้ “อยากได้อะไรครับ เราผัวเมียกันแล้วนะ อยากให้พี่ทำแบบไหนก็บอก” รมิดากัดริมฝีปากแต่ฝ่ามือของเขาที่นวดเคล้นหน้าอกเธออยู่เหมือนยิ่งอยากให้เธอพูดเรื่องน่าอายออกมา ก็จริงนะ เป็นสามีภรรยากันแล้ว แต่เธอก็ยัง...ไม่กล้าพ
งานแต่งงานสไตล์มินิมอลตามที่เจ้าสาวต้องการผ่านพ้นไปด้วยดี แม้ใช้เวลาเตรียมงานเพียงแค่สิบวันแต่เพราะเจ้าบ่าวทุ่มไม่อั้น จึงเนรมิตงานแต่งงานตามที่เจ้าสาวต้องการได้ แม้ในใจของหัสวีร์อยากจัดงานเลี้ยงหรูหราเพื่อประกาศว่ารมิดาคือเจ้าสาว-ภรรยา-แม่ของลูกชายของเขา แต่รมิดากลับเสนอให้จัดงานเล็กๆ ที่บ้านของเขาแทน ‘บ้านหลังนั้น ฝนยกให้พี่ลาวัลย์ค่ะ พี่ลาวัลย์อยู่กับแม่และน้องโมกข์ ฝนมาจัดงานแต่งที่บ้านพี่วีร์ ไม่ใช่บ้านเจ้าสาว ครอบครัวพี่วีร์คงไม่รังเกียจนะคะ’ ‘เรื่องจัดงานที่นี่ ครอบครัวพี่ไม่มีปัญหาอะไรหรอก’ หัสวีร์มองไปรอบตัวแล้วก็ยิ้มบางๆ ‘ก็อาจจะดีก็ได้ บ้านหลังนี้เงียบเหงามานาน งานแต่งงานของเราจะได้ช่วยสร้างให้บ้านอบอุ่นขึ้นอีกครั้ง’ ความคิดของว่าที่เจ้าสาวในตอนนั้นทำให้ทุกคนประหลาดใจ เพราะคาดไม่ถึงว่ารมิดาจะอยากจัดงานในบ้านนี้มากกว่าโรงแรมหรูที่อยู่ในเครือของตระกูลศาตนันท์ แต่ทุกคนก็เห็นด้วยกับความคิดของรมิดา เมื่อไม่มีใครคัดค้าน งานแต่งงานเล็กๆ ที่เต็มไปด้วย ‘คนในครอบครัว’ และเพื่อนสนิทจึงเกิดขึ้น เด็กชายโมกข์สวมชุดสูทหรูทำให้เขากลายเป็นคุณช
ชายวันกลางคนเดินเข้ามาในบ้านหลังใหญ่เสียงเด็กหัวเราะร่าทำให้สองเท้าหยุดเดินแล้วมองไปตามเสียงที่ได้ยิน เพียงแค่พริบตา ร่างเล็กๆของเด็กวัยสามขวบก็โผเข้ามาเกาะขาของเขาแล้วแหงนหน้าขึ้น ดวงตาวาววับจ้องมองก่อนจะหัวเราะออกมา “คุณหนูรวิศ” แม่ของหัสดินเดินมาพร้อมกับสาวใช้ที่แทบจะวิ่งตามเด็กน้อยทรงพลังคนนี้ “รวิศ? เด็กคนนี้เหรอ” อัศวินมองเด็กน้อยแล้วก็ค่อยๆ นั่งลงเพื่อจ้องมองใบหน้าน้อยๆ ได้เต็มตา “อืม ก็เหมือนเจ้าวีร์ตอนเด็กๆอยู่นะ” “พ่อลูกกันก็ต้องหน้าตาเหมือนกันสิคะ” “ได้ข่าวว่าพาเมียกับลูกกลับมาบ้านก็เลยรีบมาดู” “ขอโทษนะคะ” รมิดาที่แถบจะวิ่งตามมารีบพูดขึ้นทันที “เด็กตื่นเต้นไปหน่อย เที่ยววิ่งเล็กไปทั่ว หนูจะสอนลูกให้ระวังกว่านี้” “อย่าไปดุเด็กนะ” อัศวินพูดกับรมิดา เขารู้ว่าเธอเคยเป็นเลขาของลูกชายมาก่อนและเขาเป็นคนหาทางขับไล่เธอไป “เด็กๆ ซนถึงจะดี จะได้ฉลาดและแข็งแรง” “รวิศเป็นเด็กดี!” เด็กน้อยพูดเสียงใส ทำให้คนรอบข้างต่างพากันหัวเราะชอบใจ อัศวินเองเห็นแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ บ้านหลังใหญ่ท
ผลการตรวจร่างกายของโมกข์ค่อนข้างดี แม้มีบางส่วนที่คุณหมอเป็นกังวลอยู่บ้างแต่ไม่นับว่าเป็นอันตรายนักจึงสามารถเดินทางกลับบ้านได้ แต่กลับบ้านครั้งนี้หัสวีร์ขับรถตามกลับมาด้วย และเผื่อไม่ให้หญิงสาวเปลี่ยนใจ เขาขอร้องกึ่งบังคับให้รมิดานั่งรถคันเดียวกับเขา ส่วนรวิศอยู่กับโมกข์ “ก็ไม่เห็นต้องทำขนาดนี้” เธอบ่นไม่จริงจังนัก “ให้พี่ขับรถคนเดียวไม่เป็นห่วงเหรอ” หญิงสาวส่ายหน้าไปมา “ที่บริษัทจะไม่มีปัญหาแน่นะคะ” “ระดับหัสวีร์แล้ว รู้จักใช้คนให้ถูกกับงาน” เขาหัวเราะในลำคอ สายตายังคงมองไปที่ถนนที่ออก “พี่ไม่ทำให้ลูกกับเมียต้องลำบากหรอก” จากที่เคยร่วมงานกัน เธอเชื่อว่าเขาทำได้ตามที่พูดจริง “พี่วีร์ขับรถเหมือนชำนาญเส้นทาง” “อื้ม คุณปู่กับย่าย้ายอยู่บ้านพักต่างอากาศนะ พี่มาหาท่านทุกเดือน พี่ชอบขับรถมาเอง” “เอ๊ะ แถวนี้...ใกล้บ้านฝนเลยค่ะ” “หือ? แปลกจริง หรือว่าจะเคยเป็นลูกค้าขนม จริงสิ น่าจะเป็นร้านขนมของฝนนะที่คุณย่าสั่งไปเลี้ยงเด็กๆ ที่งานวันเด็ก พี่ก็เลยได้เจอรวิศที่นั้น”
“นี่คือแม่ฝน ไม่ใช่เรนนี่ แม่ฝน...ฝน ลองพูดสิครับ แม่...ฝน พูดตามนะครับ แม่...ฝน” รมิดาถึงกับหลุดหัวเราะพรืดออกมา เธอเคยพาลูกชายไปเดินเล่นพร้อมกับโมกข์และพี่ลาวัลย์ เด็กๆมันจะพูดว่า “นี่แม่ลาวัลย์ นี่แม่ฝน” เพราะเด็กทั้งสองมีแม่สองคน เด็กคนอื่นบางทีก็จำชื่อเธอกับพี่สาวสลับกัน เด็กน้อยจึงสอนคนอื่นๆ ว่า “นี่แม่ฝน นี่แม่ลาวัลย์” หัสวีร์ยิ้มเก้อแล้วก็ยอมพูดตามลูกชาย “ครับๆ แม่ฝน” “ดีมาก” รวิศตบแขนกำยำของผู้เป็นพ่อเลียนแบบจากในละครที่คุณยายเปิดให้ดู สองหนุ่มสาวต่างส่งยิ้มให้กัน เรื่องที่เข้าใจผิดยังต้องคุยกันให้เข้าใจอีกมาก แต่จะไม่มีการหนีปัญหาอีกแล้ว ภาพคนสามคนที่เดินกลับมาพร้อมรอยยิ้มทำให้ลาวัลย์และธาตรีระบายลมหายใจอย่างโล่งอก ส่วนโมกข์ยังนั่งอยู่บนรถเข็น หวังว่า...ทุกอย่างจะราบรื่นด้วยดี เหมือนเสียงหัวเราะของรวิศในเวลานี้ “โมกข์ตรวจเสร็จแล้วหรือคะ”รมิดาถามหลานชายที่นั่งอยู่บนรถเข็น สายตาของโมกข์มองไปที่น้องชายที่อยู่ในวงแขนของ ‘ลุงโลมา’ โมกข์ก็แค่เด็กอายุแปดขวบ เขาก็อยากมีคนอุ้มแบบนั้น แต่รู้ว่าทุกครั้งที่พูดหรือถา
“เด็กคนนี้...” “ค่ะ” หญิงสาวกอดลูกชายแน่นขึ้น “ตามสัญญา ฝนจะท้องไม่ได้” “พี่นึกว่าเรนนี่กินยาคุม” หญิงสาวค้อนเข้าให้ แล้วก็ถอนหายใจอีกครั้ง “ค่ะ เรื่องทั้งหมดฝนผิดเอง ฝนไม่ได้ต้องการให้พี่วีร์รับผิดชอบเรื่องนี้” “เรนนี่!” เขาทั้งโมโหและเสียใจ “ที่ไปจากพี่เพราะท้องและคิดว่าพี่ไม่ต้องการเด็ก!” เขาเผลอตะคอกเสียงดังทำเอาหลายคนหันมามอง รมิดาเห็นท่าไม่ดีเลยอุ้มลูกเดินหลบออกมา หัสวีร์เสยผมอย่างหงุดหงิดแล้วสาวเท้าเดินตาม “คิดจะหนีอีกแล้วเหรอ” “เปล่าค่ะ พี่วีร์เสียงดังนี่คะ” รมิดาอุ้มลูกไว้แนบอกตั้งใจเดินออกมาด้านนอกที่เป็นสวนหย่อมสามารถเดินเล่นรับลมได้ แต่หัสวีร์กลับคิดว่าเธอจะหนีจึงก้าวเข้ามาดักหน้าขวางไว้ก่อน “ขอซื้อได้ไหม! ไอ้นิสัยพูดไม่ทันรู้เรื่องแล้วเดินหนีแบบนี้” “ก็บอกว่าไม่ได้หนี” รมิดาขึงตาโต้กลับ “แล้วขอซื้อได้ไหมคะ ไอ้นิสัยชอบเสียงดังใส่คนอื่นแบบนี้” หัสวีร์พยายามขมโทสะที่มีแล้วหันไปสบถหัวเสีย เขาหันหน้ากลับมาอีกทีก็เห็นแววตาของเด็กน้อยมีหยาดน้ำเอ่อคลอ หัวใจข
สายตาของลาวัลย์กับธาตรีมองเลยรมิดาไปยังผู้ชายตัวสูงใหญ่ที่เดินตามหลังมา เมื่อวานคิดว่ารมิดาคงไปค้างกับไลลาจึงไม่ได้เซ้าซี้ถามให้มากความ แค่ได้รับข้อความว่าคืนนี้ไม่กลับห้องพัก ทั้งสองก็ไม่คิดว่าเช้านี้ผู้ชายคนนั้นจะมาปรากฏตัวที่นี่ด้วย “เอ่อ...คุณหัสวีร์ขอตามมาเยี่ยมน้องโมกข์ค่ะ” รมิดาพูดเสียงเบาไม่กล้าสบตากับพี่สาวและน้องชายที่อ้าปากค้างอยู่ “สวัสดีครับ” ชายหนุ่มคลี่ยิ้มเขาจำเด็กผู้ชายคนนั้นได้ หัสวีร์ก้าวไปด้านหน้าแล้วยกมือวางบนศีรษะของโมกข์อย่างเอ็นดู “ไม่เจอกันนาน โตขึ้นเยอะเลย” “สวัสดีครับคุณลุง” โมกข์ยกมือไหว้ เด็กชายก็จำได้เพราะคุณลุงคนนี้เป็นคนช่วยเรื่องเข้ารับการรักษาโรงพยาบาลแห่งนี้ หัสวีร์ชื่นชมที่ครอบครัวเลี้ยงเด็กชายได้มีมารยาท สายตาเขาไปสะดุดกับเด็กชายตัวเล็กที่ยืนเกาะเสื้อของโมกข์อยู่ แววตากลมวาวจ้องมองครู่หนึ่งก่อนฉีกยิ้มกว้างจนดวงตาหยีเล็ก “คุณลุงโลมา” “ลุงโลมา?” หัสวีร์ถูกชะตากับเด็กน้อยคนนี้ เขาค่อยๆ นั่งลงบนส้นเท้าทำให้มองเด็กน้อยได้ถนัดเต็มสองตา “เรียกลุงเหรอ” “อื้ม..
หลังจากอยู่ในห้องเพื่ออาบน้ำอุ่นล้างคราบรักออกจากร่าง รมิดาก็มีเพียงผ้าขนหนูผืนเดียวพันรอบกาย ตอนที่ย้ายออกไปเธอเก็บเสื้อผ้าของตนไปเกือบหมด เหลือชุดที่ปักชื่อบริษัทอยู่สองสามตัวที่ไม่ได้เอาไป ขณะที่กำลังก้มๆ เงยๆ หาเสื้อผ้าชุดใหม่เพราะชุดที่ใส่ก่อนหน้านี้ถูกเขาฉีกออกจนสภาพกลายเป็นผ้าขี้ริ้ว ร่างเนียนนุ่มก็ถูกสวมกอดจากด้านหลัง เธออุทานเบาๆ แม้จะรู้ว่าเป็นใครแต่ก็อดตกใจไม่ได้ จะทำเป็นใจแข็งไม่ถาม แต่ก็ทำไม่ได้ แค่มองเห็นรอยแดงช้ำจากน้ำมือเขา ใจก็อ่อนยวบลงไปทันที “กลับมาอยู่ข้างกายผม” “คะ” เธอเอี้ยวใบหน้าหันไปมอง แม้เห็นเพียงเสี้ยวหน้าแต่แววตาของคนพูดจริงจัง “อย่าให้ต้องพูดซ้ำ” เขาคงใช้น้ำเสียงเป็นเจ้าข้าวเจ้าของเหมือนเมื่อก่อน ซึ่งทำให้เธอนึกฉุนขึ้นมา “ไม่ได้ค่ะ” เธอพยายามขยับตัวออกแต่เขารัดวงแขนแน่นขึ้นร่างกำยำยังไม่ได้สวมเสื้อผ้าแม้แต่ชิ้นเดียวทำให้หญิงสาวหน้าแดงเรื่อขึ้นมาเมื่อมีบางสิ่งกำลังแข็งขันดุนดันร่องก้นอยู่ “พี่วีร์!” เสียงหวานดุแต่เหมือนไม่ต่างจากเสียงครางนัก เขาพลิกร่างเธอมาเผชิญหน้าและตรึงเ
ริมฝีปากหยักทาบทับลงมาอย่างรวดเร็ว รมิดาได้แต่ส่งเสียงประท้วงอู้อี้เพราะเขาตะโบมจูบอย่างบ้าคลั่ง ทำเอาเธอแทบหายใจไม่ทัน มือเล็กพยายามดันเขาออกแต่นั้นกลับยิ่งเหมือนยั่วยุให้เขาโกรธยิ่งขึ้น ใช่! หัสวีร์โกรธและโกรธมาก มันเป็นความรู้สึกเหมือนวันที่รู้ว่าเธอตั้งใจไปจากเขาโดยไม่บอกลา เธอทำให้เขารู้สึกเป็นคนโง่ที่จะปั่นหัวยังไงก็ได้ เธอยังคงยิ้มหัวเราะได้อย่างปกติผิดเขาที่แทบกลายเป็นคนบ้า เขาไม่รู้ว่าเธอจะกลับมาที่ห้องนี้อีกจนกระทั่งแม่บ้านโทรมาบอกเขา นั้นทำให้เขาตัดสินใจมารอที่ห้องนี้ เหมือนที่เคยทำมาหลายต่อหลายครั้งที่คิดว่าเธอจะกลับมา “อ๊ะ!” รมิดาร้องเสียงหลงเมื่อถูกเขากัดริมฝีปาก และถอนจูบทำให้เธอหอบหายใจจนตัวโยนเสียงสั่น เขาโกรธและนั้นเธอเข้าใจได้ อาจเพราะรู้สึกเสียศักดิ์ศรีที่เธอเป็นฝ่ายทิ้งเขาไปก่อนที่เขาจะทิ้งเธอ บรรยากาศในห้องเร่าร้อนขึ้นทันที หัสวีร์หงุดหงิดไม่ทันใจจนเป็นฝ่ายกระชากเสื้อของเธอจนขาด หน้าอกอวบอิ่มปรากฏอยู่เบื้องหน้า ดูเหมือนว่า...มันจะใหญ่ขึ้นกว่าตอนที่อยู่กับเขา หรืออยู่กับเขามันลำบากจริงๆ พอไม่มีเขาอยู่...