“ฉันทำตามที่คุณบอกแล้ว ฉันหวังว่าคุณจะทำตามที่คุณสัญญาเอาไว้ เคารพความคิดเห็นของฉัน”สายตาของฟู่เจิงมองไปเบื้องหน้า ขับรถอย่างตั้งอกตั้งใจเคารพความคิดเห็นของเธอ?นั่นก็ต้องดูว่าเป็นความคิดเห็นแบบไหนทั้งสองคนกลับมาถึงยังบ้านใหญ่ครอบครัวของฟู่เยว่ ครอบครัวของอารอง ต่างมากันครบหมดแล้วตามธรรมเนียม คืนนี้คนในครอบครัวทุกคนจะร่วมกินมื้อส่งท้ายปีเก่าด้วยกันพร้อมหน้าพร้อมตาเพียงแต่คนไม่ครบเหมือนอย่างแต่ก่อน มื้อส่งท้ายปีเก่าในครั้งนี้ขาดไปหนึ่งคนเมื่อนึกถึงขึ้นมา เวินเหลียงก็ใจแป้วเล็กน้อยในห้องรับแขก ซูชิงอวิ๋นและอาสะใภ้รองนั่งอยู่ข้างคุณหญิง ทุกคนร่วมพูดคุยกัน ฟู่เยว่นั่งอยู่บนโซฟาอีกฝั่ง กำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับฟู่เซิงฟู่ซือฝานกับฟู่รุ่ยอยู่บนโต๊ะทางห้องทานอาหาร พูดคุยกันตามประสาเด็กเวินเหลียงทักทายพวกเขา ก่อนจะนั่งลงข้างซูชิงอวิ๋น “พี่สะใภ้ใหญ่”ซูชิงอวิ๋นพยักหน้าพลางยิ้มเล็กน้อยรอยยิ้มของเธอดูฝืนอยู่หน่อย ๆ ราวกับพยายามฉีกมันออกมาพอมาดูสีหน้าแววตาของเธอ ราวกับอารมณ์ไม่ค่อยดีนัก ใต้นัยน์ตาแฝงหน้าคล้ำดำเขียวเอาไว้จาง ๆ เวินเหลียงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง “พี่สะใภ้ใหญ่
เมื่อเวินเหลียงได้ยินดังนั้น เธอก็ประหลาดใจไปกระทั่งถึงเวลาทำอาหาร เธอก็ลงไปช่วยด้านล่างอาสะใภ้รองกับซูชิงอวิ๋นกำลังวุ่นเรื่องทำอาหารอยู่ในครัว ต่างคนต่างแยกกันเตรียมผักหั่นผัก พวกฟู่เจิงทั้งสามคนเองก็อยู่ด้านใน ที่ดึงเส้นหลังกุ้งออกก็ดึงเส้นหลังกุ้งออก ที่สับซี่โครงหมูก็สับซี่โครงหมูภายในห้องรับแขกเหลือเพียงคุณหญิงและเด็ก ๆ สองคนเวินเหลียงมองซูชิงอวิ๋นทีหนึ่ง พลางสลับไปมองฟู่เยว่ที่กำลังหมักน่องไก่อยู่ทีหนึ่งตามสัญชาตญาณ ราวกับสองสามีภรรยาจะเกิดปัญหาขึ้นจริง ๆ ไม่มีการสื่อสารและพูดคุยกันแม้แต่น้อยโดยเฉพาะซูชิงอวิ๋น มองยังไม่มองฟู่เยว่เลย ทว่าฟู่เยว่ทอดสายตามองซูชิงอวิ๋นอยู่หลายครั้ง แต่ก็ชักสายกลับไปมื้อส่งท้ายปีเก่ามีอาหารหลากหลายมาก ๆ ตั้งเต็มโต๊ะใหญ่เลยทีเดียวได้เวลากินข้าว ทุกคนก็ทยอยมานั่งลงรอบโต๊ะกลมกันอย่างต่อเนื่องขณะกำลังนั่งลงตรงที่นั่ง ซูชิงอวิ๋นจงใจเลือกที่นั่ง เธอชี้มาตรงตำแหน่งข้างเวินเหลียง ก่อนจะเอ่ยว่า “เพิ่มเก้าอี้เด็กสองตัวตรงนี้ ให้รุ่ยเอ๋อร์นั่งกับฝานฝาน”เวินเหลียงรู้ว่าเธอไม่อยากนั่งกับฟู่เยว่ จึงพยักหน้าตามน้ำไปขณะฟู่ชิงเยว่ลงมาจากชั้นบน ฟู่ซ
ในใจเธอมีรอยกรีดผุดขึ้นมาแล้ว ให้ทำเป็นว่าไม่เคยเกิดอะไรขึ้น แล้วอยู่กับฟู่เยว่ต่อไปทั้งแบบนี้ เธอทำไม่ได้จริง ๆแต่หากหย่ากันไป ฟู่รุ่ยจำเป็นต้องอยู่ที่บ้านตระกูลฟู่ เธอก็ไม่อยากแยกจากลูกของตัวเองไปอีก“ฉันเองก็ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองต้องการอะไร...” เธอบ่นพึมพำอย่างเหม่อลอยว่า “เมื่อเดือนก่อน ฉันได้ยินเสียงผู้หญิงจากในโทรศัพท์เขา เขาเองก็ไม่อธิบายอะไรเลย ตอนรับโทรศัพท์กลับทำตัวลับ ๆ ล่อ ๆ...ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยขวางไม่ให้ฉันรับสายของผู้หญิงเลย ไม่ว่าจะเป็นเลขาผู้หญิงของเขา เพื่อนผู้หญิงของเขาฉันก็รู้จักหมด...ฉันจะจับตาดูตลอด กระทั่งต่อมามีวันหนึ่ง ฉันได้กลิ่นน้ำหอมของผู้หญิงคนอื่นจากตัวเขา ไหนจะเส้นผม ไหนจะรอยข่วนที่มือแล้วก็ที่คอของเขา แค่เห็นก็รู้แล้วว่าเป็นรอยที่เกิดจากเล็บของผู้หญิง...”“หลังฉันหงายไพ่กับเขา เขาบอกว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นบริสุทธิ์...หึ...ฉันถามเขาว่าผู้หญิงคนนั้นเป็นใคร แต่เขากลับไม่พูด...เขาคิดว่าฉันโง่เหรอ?”ฟังออกว่าซูชิงอวิ๋นยังรักฟู่เยว่อยู่เพียงแต่ในใจไม่สามารถข้ามอุปสรรคนี้ไปได้สถานการณ์พรรค์นี้ เวินเหลียงเองจะไปเลือกแทนเธอไม่ได้ มีเพียงความทอดถอนใจเล
เวินเหลียงส่งสายตาด่าว่าเป็นบ้าให้เขาทีหนึ่ง “สุขสันต์วันปีใหม่”เธอหมุนตัวเดินไปเบื้องหน้า“เธอจะไปไหน?” ฟู่เจิงเดินตามหลังไป ก่อนจะเดินเคียงคู่เธอไปด้านหน้า“เดินเล่นไปเรื่อย” น้ำเสียงเธอไม่ได้ดีนัก“เมื่อกี้ฉันเห็นเธอคุยกับพี่สะใภ้ใหญ่ คุยอะไรกันเหรอ?” ฟู่เจิงเอ่ยถามขึ้นโดยไม่ได้คิดอะไรเวินเหลียงเลิกคิ้วมองเขาทีหนึ่ง “คุณมองไม่ออกเหรอ? คืนนี้พี่ใหญ่กับพี่สะใภ้ใหญ่ไม่ค่อยคุยกันเท่าไร ผิดปกติมาก ๆ”“ไม่เลย เพราะสนใจแค่เธอ”เวินเหลียงถลึงตาใส่เขาทีหนึ่ง “กะล่อน”“กะล่อนงั้นเหรอ?” ฟู่เจิงเลิกคิ้วอย่างจนใจเวินเหลียงเบือนหน้ากลับไป ก่อนจะชะงักไปแล้วถามขึ้นว่า “เหมือนพี่ใหญ่จะมีผู้หญิงคนอื่นข้างนอก คุณรู้เรื่องไหม?”“ไม่รู้นะ” ฟู่เจิงประหลาดใจ “มีเรื่องเข้าใจผิดอะไรกันหรือเปล่า?”เขาจำได้ว่าตอนแรกฟู่เยว่เป็นคนตามจีบซูชิงอวิ๋น แถมกว่าจะติดก็จีบอยู่ตั้งนานพวกเขาโตมาด้วยกัน เท่าที่ฟู่เจิงรู้จักฟู่เยว่ เขารักซูชิงอวิ๋นมาก แต่งงานกันมาหลายปีขนาดนี้ สามีภรรยารักใคร่กลมเกลียว แถมยังมีลูกที่น่ารักอีกหนึ่งคน ทำไมจู่ ๆ ถึงนอกใจล่ะ?เวินเหลียงยิ้มเยาะออกมาเสียงหนึ่ง “พี่สะใภ้ใหญ่ได้กล
เวินเหลียงขึ้นไปชั้นบน ทว่าฟู่เจิงไม่ได้ตามขึ้นมาด้วยเธอเล่นโทรศัพท์อยู่ในห้อง อดโต้รุ่งไม่ไหวจริง ๆ หลังอาบน้ำล้างตัวเสร็จก็เตรียมจะนอนเวินเหลียงสวมชุดนอนเดินออกมาจากห้องน้ำ กำลังจะขึ้นเตียง จู่ ๆ ก็มีเสียงเคาะประตูแว่วดังขึ้นมาจากด้านนอกเธอยังคิดว่าฟู่ซือฝานกลับมา จึงเดินไปเปิดประตู ทว่าดันเห็นฟู่เจิงยืนอยู่หน้าประตูเขาฉวยโอกาสตอนที่เวินเหลียงยังไม่ทันได้ตอบสนองกลับมา ย่างเท้าเข้าไปในห้องเลย“คุณเข้ามาทำอะไรเนี่ย?” ทันใดนั้นเวินเหลียงก็ตอบสนองกลับมา สไลด์เท้าไปตรงหน้าเขาทันที พร้อมยื่นแขนไปขวางไม่ให้เขาขยับสีหน้าฟู่เจิงราบเรียบ “นอน”ใบหน้าของเวินเหลียงเต็มไปด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ “คุณมานอนที่ห้องฉัน? คุณล้อฉันเล่นหรือเปล่า?”“นี่มันห้องของเราต่างหาก” ฟู่เจิงทำท่าทางจริงจังเวินเหลียงอึ้งกิมกี่ไปเลยตอนที่พวกเขายังไม่หย่ากัน ก่อนหน้านี้ห้องนี้เป็นห้องที่พวกเขาสองสามีภรรยาจะมาพักตอนมาบ้านใหญ่จริง ๆ“ตอนนี้เราหย่ากันแล้ว คุณไปนอนห้องอื่นสิ”“ไม่มีแล้ว”“ไม่มีแล้วอะไร?”“อารองกับอาสะใภ้รองครองไปหนึ่งห้อง ฟู่เซิงครองไปหนึ่งห้อง คุณอาครองไปหนึ่งห้อง พี่ใหญ่หนึ่งห้อง พี่สะ
“หืม?”มีเสียงที่เปล่งออกมาจากส่วนลึกในลำคอแว่วดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง สั้นและกระชับ ฟังดูไม่แจ่มใส“มีอะไรเหรอ?”เสียงที่ทุ้มต่ำทว่ามีความน่าดึงดูดดังขึ้นข้างหู เสียงนั้นกระทบกับแก้วหูของเวินเหลียงในระยะใกล้ ราวกับกระแสไฟไหลผ่านร่างกายไปโดยไม่ทันได้ตั้งตัว ข้อต่อกระดูกเหน็บชาไปหมดพลุนอกหน้าต่างสว่างวับวาบ ภายในห้องที่มืดสนิทปรากฏแสงกะพริบวิบวับเวินเหลียงพลิกตัว สิ่งที่เข้ามาในดวงตาคือลูกกระเดือกสุดเซ็กซี่ของฟู่เจิง และคางที่เป็นมุมมนชัดเจนเธออึ้งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง แล้วประคองตัวลุกขึ้น “คุณมาอยู่ในผ้าห่มผืนเดียวกับฉันได้ยังไงเนี่ย?!”ดวงตาทั้งสองของฟู่เจิงงัวเงีย เขาหรี่ตาพร้อมเกาหัวอย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ “งั้นเหรอ?”เวินเหลียงเลิกผ้าห่มบนตัวออก “ไม่งั้นเหรอ? คุณแหกตาดูสิ...”พูดไปได้ครึ่งหนึ่ง เสียงของเวินเหลียงก็พลันชะงักไปเธอมองผ้าห่มที่อยู่ในมือทั้งเบิกตาโพลง อึ้งกิมกี่ไปอยู่ตรงนั้นผ้าห่มนี้...เหมือนจะเป็นของฟู่เจิง...เธอรีบเด้งตัวลุกขึ้นนั่งในทันใด มองซ้ายมองขวา ท้ายที่สุดก็เห็นผ้าห่มของตัวเองอยู่ล่างเตียง...ในวินาทีนั้น เวินเหลี
ฟู่เจิงรีบพลิกตัวลงมาจากบนเตียง แล้วสาวเท้าก้าวไปที่ข้างประตูอย่างรวดเร็วก่อนจะเปิดประตูออก พลางชะโงกหน้าไปมองเห็นเพียงฟู่ซือฝานวิ่งร้องไห้มา น้ำตาหยดติ๋ง ๆ “...คุณลุงฮือ ๆ ๆ...”ฟู่เจิงมองไปเบื้องหลังเธอ ฟู่ชิงเยว่ยืนอยู่หน้าประตูห้องรองรับแขกห้องหนึ่ง ใบหน้าขึงขังสุด ๆฟู่เจิงจ้องเธออย่างเย็นชาทีหนึ่ง ก่อนจะเดินหน้าไปสองสามก้าว แล้วลวดอุ้มฟู่ซือฝานเดินเข้าไปในห้อง “ฝานฝาน เป็นอะไรไป?”เพิ่งเคยเห็นฟู่ซือฝานร้องไห้จนอยู่ในสภาพนี้เป็นครั้งแรก เขาปวดใจอย่างไร้ที่เปรียบเวินเหลียงจัดการเสื้อผ้าเสร็จแล้ว เธอรีบเดินขึ้นหน้ามาอย่างรวดเร็ว “ฝานฝาน ร้องไห้ทำไม? ไหนลองบอกอามาซิ?”“ฮือ ๆ...”ดวงตาทั้งสองของฟู่ซือฝานแดงระเรื่อ ร้องไห้กระซิก ๆ แทบหายใจไม่ออก ก่อนจะยื่นแขนทั้งสองออกมาทางเวินเหลียงเมื่อเห็นสีหน้าต้องการที่พึ่งพิงของเธอแล้ว ในใจเวินเหลียงก็อ่อนไหวสะเทือนใจไปหมด เธอรับฝานฝานเข้ามาในอ้อมอก ก่อนจะนั่งลงข้างเตียงฟู่ซือฝานมุดศีรษะเข้าไปในอ้อมอกของเวินเหลียง พลางกำชายเสื้อของเธอเอาไว้แน่นอย่างระมัดระวัง พร้อมร้องไห้สะอึกสะอื้น ยังไม่ยอมปริปากเล่าออกมาเวินเหลียงเดาว่าอาจเกี่ยว
เวินเหลียง “อืม” เบา ๆ เสียงหนึ่งดูท่าฟู่เจิงจะตัดสินใจแล้วว่าจะให้ฟู่ซือฝานอยู่ต่อให้ได้เธอก้มหน้ามองฟู่ซือฝาน ในมือของเจ้าตัวน้อยถืออั่งเปาเงินสีแดงเป็นกอบเป็นกำ กำลังพาดตัวนับเงินอย่างจริงจังอยู่บนโซฟา“ลุงให้เท่าไร?”เจ้าตัวน้อยนับไปด้วยพลางเอ่ยไปด้วย “สองแสนห้ามั้งคะ? ยังนับไม่เสร็จเลย”“งั้นตอนนี้ในมือของฝานฝานเราก็มีสองแสนห้าแล้ว? คุณนายน้อย!”ฟู่ซือฝานเอียงศีรษะพลางหัวเราะคิกคักออกมา ก่อนจะนับเงินต่อเวินเหลียงเห็นเธอนับเสร็จแล้ว ก็เอ่ยขึ้นว่า “กินข้าวเช้าแล้ว เราเอาอั่งเปาไปเก็บก่อน?”“ไม่เอาค่ะ” ฟู่ซือฝานยัดอั่งเปาเข้าไปในกระเป๋ากางเกงอย่างกับเด็กน้อย กระเป๋ากางเกงใส่เต็มหมดทุกช่องในจังหวะนี้เอง ก็มีเสียงฝีเท้าแว่วดังมาจากบนบันไดเวินเหลียงเงยหน้าขึ้นไปมองโดยไม่ได้ตั้งใจทีหนึ่ง ไปสบตากับฟู่ชิงเยว่เข้าพอดีเธอยิ้มชืด ๆ ทีหนึ่ง “คุณอา”ฟู่ชิงเยว่แค่นเสียงฮึเสียงหนึ่ง ก่อนจะเดินลงมาฟู่ซือฝานเงยหน้าขึ้น สีหน้าพลันเป็นกังวลขึ้นมาในทันใด “คุณย่า”หลังเธอตะโกนเรียกเสร็จ ก็ก้มหน้ายัดอั่งเปาเข้าไปในกระเป๋ากางเกงต่อ“ฝานฝาน มาที่ย่านี่มา” ฟู่ชิงเยว่นั่งลงบนโซฟาตรงหน้