“เมื่อกี้เธอว่าอะไรนะ?” ฟู่เจิงหันหน้าไปจ้องเธอเวินเหลียงส่ายหน้าอย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆ “ไม่ได้พูดอะไรนี่ คุณหูฝาดแล้ว เอาโทรศัพท์มาให้ฉัน!”เธอมองฟู่เจิงอย่างแน่วแน่ในโทรศัพท์มีความลับอยู่มากมาย เธอจะให้ฟู่เจิงรู้เข้าไม่ได้เด็ดขาดถ้าเขาเอาโทรศัพท์ของเธอไปส่งข้อความหาเมิ่งเซ่อมั่วซั่ว ความพยายามของเธอในช่วงนี้ก็จะสูญเปล่าอีกอย่างคือเวินเหลียงกลัวว่าเขาจะเห็นบทสนทนาของเธอกับอวิ๋นเฉียว และเดาเป้าหมายที่เธอเข้าหาเมิ่งเซ่อออกหากรู้ว่าเธอไม่ได้ชอบเมิ่งเซ่อจริง ๆ เขาก็มีแต่จะยิ่งตอแยอย่างกำเริบเสิบสาน“โทรศัพท์มันสำคัญขนาดนั้นเลยเหรอ?”ในใจของเวินเหลียงเริ่มลุกโชนไปด้วยไฟโทสะอีกครั้ง เธอจ้องฟู่เจิงพลางสูดลมหายใจเข้าลึก ๆ เฮือกหนึ่ง ก่อนจะฝืนก้มหน้า “ตอนนี้ฉันออกไปไม่ได้ซะหน่อย คุณเอาโทรศัพท์ให้ฉันก็ไม่มีอะไรหรอก”ฟู่เจิงนึกถึงอะไรบางอย่าง นัยน์ตาเขาเปล่งประกาย พลางจ้องเวินเหลียงเขม็งทั้งสองคนสบตากัน ในใจของเวินเหลียงเกิดลางสังหรณ์ไม่ดีอย่างหนึ่งขึ้นมา“จูบฉันก่อนสิ แล้วฉันจะเอาให้เธอ” ในน้ำเสียงของฟู่เจิงเผยความพอใจออกมาเล็กน้อยเวินเหลียงอ้าปากค้างจนคางแทบหลุดออกมาอยู่แล้
เธอเปิดโทรศัพท์เลื่อนดู เมื่อวานเมิ่งเซ่อกับถังซือซือส่งข้อความมาหาเธออย่างที่คิดเอาไว้จริง ๆฟู่เจิงตอบกลับแทนเธอ มิหนำซ้ำยังหาเหตุผลไปอธิบายสาเหตุที่เธอไม่กลับไปกับถังซือซืออีกด้วยโชคดีที่เขาไม่ได้พูดไปส่งเดชและไม่รู้ว่าเขาเห็นประวัติสนทนาของเธอกับอวิ๋นเฉียวหรือเปล่าให้ดีที่สุดคือขออย่าเห็นเลยเช้าวันนี้ เมิ่งเซ่อส่งมาอีกสองข้อความ ตอนเจ็ดโมงสามสิบนาที ข้อความหนึ่งคือมีมพระอาทิตย์ และอีกข้อความส่งตามมาติด ๆ ว่า “อรุณสวัสดิ์ครับพี่”ตอนนี้เป็นเวลาแปดโมงกว่าแล้ว เวินเหลียงตอบกลับไปว่า “อรุณสวัสดิ์”ผ่านไปครู่หนึ่ง เมิ่งเซ่อก็ส่งข้อความตอบกลับเวินเหลียงมาว่าเขาเข้างานแล้วเวินเหลียงบอกเรื่องที่ตัวเองเป็นหวัดไปทั้งสองคนคุยกันอยู่พักหนึ่งไม่นานถังซือซือก็มาที่คฤหาสน์ พร้อมถือถุงกระดาษอยู่ในมือ ข้างในใส่เสื้อผ้าของเวินเหลียงเอาไว้เวินเหลียงเป็นคนเรียกให้เธอมาฟู่เจิงช่างซื่อบื้อจริง ๆ คิดจริง ๆ เหรอว่าเธอจะอยู่ในคฤหาสน์เฉย ๆ?ถังซือซือเข้ามาในห้องนอนหลัก ก่อนจะเอ่ยปากพูดเธอเช็กให้มั่นใจก่อนโดยเฉพาะว่าฟู่ซือฝานอยู่ข้างล่าง จากนั้นถึงปิดประตูแล้วก่นด่าว่า “อีตามืดบอดฟู่นี
หลังเวินเหลียงคุยกับฟู่เซิงเสร็จ เธอก็ใช้โน้ตบุ๊กจัดการแบ่งประเภทรูปภาพทั้งหมดที่ถ่ายในช่วงนี้เธอไม่ลืมว่าตัวเองยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยแม้จะบอกว่าตัวเธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ทว่ายึดเอาความคิดของตัวเองเป็นหลักไม่สนความเป็นจริงไม่ได้เวินเหลียงจัดการแปลงเป็นไฟล์บีบอัด แล้วส่งให้จูฝานไฟล์หนึ่ง “จูจู นี่เป็นผลงานช่วงนี้ของฉัน ว่างแล้วช่วยให้คำแนะนำฉันหน่อยนะ”จูฝานรีบตอบกลับ “โอเค ๆ!”จูฝานถามขึ้นอีกว่า “แน่ใจเรื่องแนวการแข่งหรือยัง?”เวินเหลียงตอบกลับไป “ยังเลย”อันที่จริงเธอยังดอดไปเข้าร่วมกลุ่มสนทนาของการแข่งขันถ่ายภาพอีกด้วย ในกลุ่มมีทั้งช่างถ่ายรูปมืออาชีพและมือสมัครเล่นมากมาย ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มอยู่บ่อย ๆเวินเหลียงจะโพสต์ผลงานภาพสองภาพลงไปในกลุ่ม เพื่อให้สมาชิกร่วมกันลงความเห็นอยู่บ่อยครั้ง และจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อรูปภาพของสมาชิกคนอื่นในกลุ่มเช่นกันเธอเลือกรูปภาพที่ตัวเองพอใจโพสต์ลงในกลุ่มรูปหนึ่ง “รบกวนรุ่นพี่ทุกท่านให้คำแนะนำด้วยค่ะ รูปนี้ต้องปรับแก้ตรงไหนไหมคะ?”เพื่อน ๆ ในกลุ่มเป็นมิตรสุด ๆ บางคนก็เอาแต่เยินยอ บางคนก็แสดงความเห็นของตนในด้านองค์
ส่วนตงเจ๋อในกลุ่มนั้น เวินเหลียงไปทำความเข้าใจในกูเกิลและเฟซบุ๊กตงเจ๋อ ชื่อจริงฮั่วตงเฉิง อายุสามสิบเอ็ดปี เมื่อเทียบกับสองคนก่อนหน้าอายุน้อยกว่าอยู่หน่อย เป็นช่างถ่ายภาพยุคใหม่ และเป็นเจ้าของผลงานรางวัลพิเศษในการแข่งขันการถ่ายภาพระดับนานาชาติซานเหอครั้งหนึ่งในก่อนหน้านี้ สิ่งที่เชี่ยวชาญคือภาพถ่ายแบบคนกับวิว ใช้วิวมาขับให้ตัวบุคคลเด่น ใช้ตัวบุคคลมาเสริมให้ภาพวิวเด่น ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้จุดเด่นของทั้งสองอย่างยิ่งเด่นชัดขึ้นพอมาดูการแนะนำของคลาส แต่ละคลาสมีลักษณะพิเศษ และเวลาที่เปิดก็ใกล้แล้ว เวินเหลียงพลันลำบากใจขึ้นมาเธอมองนาฬิกา แล้วเก็บโทรศัพท์ เดี๋ยวค่อยคิดอีกทีก็แล้วกันใกล้ถึงเวลาเที่ยงแล้ว เธอตกลงกับฟู่ซือฝานไว้ว่าจะไปกินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนเธอ และยังต้องเอารถของฟู่เจิงกลับไปคืนด้วยหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ เวินเหลียงกินยาเรียบร้อยแล้ว มีอาการง่วงนิดหน่อย จึงไปนอนกลางวันในห้องนอนหลักตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้ว เมิ่งเซ่อส่งข้อความมาหาเธอ “พี่ครับ! มีข่าวดีกับข่าวร้าย พี่อยากฟังเรื่องไหนก่อน?”เวินเหลียงเดาออกแล้วว่าข่าวดีคืออะไร จึงตอบกลับไปว่า “ฟัง
เลขาหยางลังเลอยู่สองสามวินาที ก่อนจะรายงานต่อ “ปีนี้ทางกรุ๊ปเตรียมจะลงทุนในสวนสนุกสองสามแห่งที่เจียงหนาน หลังวางแผนขั้นแรก ก็ไม่นึกว่าจะมีคนจากตระกูลฮั่วมาติดต่อสองสามแห่งนั่นเช่นกัน...”“มีเรื่องอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีก็กลับไปก่อนเถอะ”เลขาหยาง “...”“ค่ะ...งั้นฉันกลับก่อนนะคะ...” เลขาหยางถือแฟ้มเอกสารเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วฟู่เจิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าต่าง ก่อนต่อสายโทรหาเซี่ยมู่หลังสั่งอะไรเสร็จ เขาก็ปิดมือถือแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง มองไปที่ไกล ๆ ด้วยนัยน์ตาลึกซึ้งเขาไม่เชื่อว่า พอเกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นแล้ว เวินเหลียงยังจะชอบเมิ่งเซ่อได้ลงอีก!ฟู่เจิงยืนอยู่ที่เดิม ก่อนจะหยิบเสื้อโค้ตแล้วออกไปจากห้องผู้ป่วยเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีคนเรียกเขาให้หยุดจากเบื้องหลัง “เดี๋ยวค่ะ คุณฟู่?”ฟู่เจิงหยุดฝีเท้าพร้อมหันหน้าไป “คุณหมอจาง”“ฉันดูเคสของคุณแล้ว ตอนนี้คุณทำการผ่าตัดได้แล้ว คุณว่าจะกำหนดเป็นเมื่อไรดีคะ?” หมอจางเอ่ยถามขึ้น“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ครั้งนี้รักษาแบบอนุรักษ์ไปก่อนก็แล้วกันครับ” ฟู่เจิงเอ่ยเดิมทีเขาคิดจะทำการผ่าตัด เพียงแต่ไม่คิดว่าจู่ ๆ เวินเ
เวินเหลียงกดเปิดดู เธอเลิกคิ้ว วิจารณ์กันแบบไม่มีฟิลเตอร์ที่แฟนคลับใส่ ถือว่าเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งจริง ๆ หน้าตามีขอบมนดีล้ำเลิศสุด ๆเพียงแต่ไม่รู้ทำไม เวินเหลียงรู้สึกว่าเขาดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอพยายามเค้นความทรงจำ ทว่าคลำหาที่เกี่ยวข้องไม่เจอเลยปุ๊กลุกกระโดดขึ้นเตียงในทีเดียว ก่อนจะมาถูไถเวินเหลียงเวินเหลียงลูบศีรษะน้อย ๆ ของปุ๊กลุกไปทันใดนั้นนัยน์ตาก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา!เธอนึกออกแล้ว!มิน่าล่ะเธอถึงรู้สึกว่าตงเจ๋อดูคุ้นตาอยู่หน่อย ๆ เป็นเพราะว่าหน้าตาของเขามีส่วนคล้ายกับฟู่เจิงอยู่สองสามส่วน!เมื่อพูดขึ้นมา ตระกูลฟู่ตั้งแต่คุณท่านฟู่ ไปจนถึงฟู่เจี๋ยอารอง พี่ใหญ่ฟู่เยว่ พี่สามฟู่เซิง ด้านหน้าตาก็นับว่าเป็นหนุ่มหล่อได้ทุกคน พวกเขายังมีลักษณะที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสีหน้าชืด ๆเนื่องด้วยเหตุนี้เมื่อเทียบกันแล้ว ฟู่เยว่ดูแล้วจะละมุนละม่อมกว่าหน่อย เหมือนกับพระรองแสนอบอุ่นในนิยายอยู่เล็กน้อยส่วนฟู่เจิงนับเป็นคนที่หน้าคมเข้มเพียงคนเดียวในตระกูลฟู่ หน้าตาเอาเรื่องน่าดูเธอเคยเห็นรูปของฟู่หรง หน้าตาค่อนข้างคล้ายกับฟู่เยว่หน้าตาของฟู่เจิงคง
เมิ่งเซ่อจองโรงแรมใกล้ ๆ ไว้ห้องหนึ่ง เขาวางเซี่ยมู่ไปบนเตียงก่อน แล้วค่อยไปดูตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำ บนหน้าเขามีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมดเมิ่งเซ่อรู้สึกโชคดีที่ช่วงนี้ยุ่งอยู่หน่อย ๆ ถึงตอนไปทีมบิวดิงแผลพวกนี้ก็น่าจะหายดีแล้ว ถ้าเกิดแบกหน้าแบบนี้ไปเจอพี่เวินเหลียง มันจะน่าขายหน้าขนาดไหน! แถวนี้ไม่มีร้านขายยา ที่โรงแรมเองก็ไม่มียาทาภายนอกสำหรับอาการบาดเจ็บจากการฟกช้ำสำรองเอาไว้เมิ่งเซ่อจึงสั่งซื้อมาจากในเน็ตกล่องหนึ่ง รอดิลิเวอรีมาส่งเขานั่งไถโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ทันใดนั้นก็ได้ยินหญิงสาวที่อยู่บนเตียงกลัวจนละเมอออกมา ราวกับกำลังฝันร้ายอยู่ “...อย่าเข้ามานะ...อย่านะ...อย่านะ...”เมิ่งเซ่อรีบวางโทรศัพท์ลง แล้วไปนั่งข้างเตียง ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้วนะ คนร้ายหนีไปแล้ว!”เซี่ยมู่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็พลันโผเข้าไปในอ้อมอกของเมิ่งเซ่อ ร้องไห้ฮือ ๆ อย่างทุกข์ตรมเมิ่งเซ่ออึ้งไปครู่หนึ่ง พร้อมลองผลักเซี่ยมู่ออก “คุณ...”ทว่าเซี่ยมู่ไม่ยอมปล่อยมือ กลับยิ่งออกแรงกอดเมิ่งเซ่อแน่นขึ้น แล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ “ฉันกลัว...ฉันกลัวมากจริง ๆ...”เมิ่งเซ่อล
ด้านหน้าก็เป็นโกดังของหวังต้าไห่แล้วเมื่อแล่นผ่านโค้งหนึ่งไป จู่ ๆ รถเมล์ก็หยุดลงเหล่าเพื่อนร่วมงานต่างชะโงกศีรษะออกไปดูด้านหน้าด้วยความสงสัยด้านหน้ามีรถบรรทุกคันหนึ่งจอดขวางอยู่ กล่องพัสดุมากมายกลิ้งหล่นอยู่สองข้างทาง กล่องเล็กบ้างใหญ่บ้างพนักงานของโกดังกำลังเก็บกันสุดชีวิตหวังต้าไห่ยืนเท้าสะเอวอยู่ริมถนน มองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสุดจะทน พร้อมส่งสัญญาณให้รถบัสที่ผ่านทางรอสักครู่ฟู่เซิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”คนขับรถบัสกดเปิดประตูแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหมือนรถพัสดุจะเสียหลักน่ะครับ”ฟู่เซิงลงจากรถ แล้วเดินไปพูดคุยกับหวังต้าไห่ ผ่านไปประมาณสองนาที เขาก็กลับขึ้นรถมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยกับคนขับรถบัสว่า “รอเดี๋ยวนะครับ พวกเขาเก็บของจะเสร็จแล้ว”มีคนโพล่งถามขึ้นมาว่า “อยู่ดี ๆ รถพัสดุมาเสียหลักได้ยังไงครับ?”“ตอนที่รถบรรทุกกำลังจะเข้าไปในโกดังน่ะจู่ ๆ ยางรถก็เกิดแบนขึ้นมา” ฟู่เซิงตอบหวังต้าไห่เดือดจนด่าสาดเสียเทเสียออกมา “ไม่รู้ไอ้เซ่อซ่าตัวไหนมาสาดตะปูหมวกเอาไว้บนพื้น!”เมื่อเมิ่งเซ่อเห็นหวังต้าไห่ นัยน์ตาทั้งสองก็เปล่งประกายขึ้น