หลังเวินเหลียงคุยกับฟู่เซิงเสร็จ เธอก็ใช้โน้ตบุ๊กจัดการแบ่งประเภทรูปภาพทั้งหมดที่ถ่ายในช่วงนี้เธอไม่ลืมว่าตัวเองยังต้องเข้าร่วมการแข่งขันด้วยแม้จะบอกว่าตัวเธอมีพรสวรรค์ในด้านนี้ ทว่ายึดเอาความคิดของตัวเองเป็นหลักไม่สนความเป็นจริงไม่ได้เวินเหลียงจัดการแปลงเป็นไฟล์บีบอัด แล้วส่งให้จูฝานไฟล์หนึ่ง “จูจู นี่เป็นผลงานช่วงนี้ของฉัน ว่างแล้วช่วยให้คำแนะนำฉันหน่อยนะ”จูฝานรีบตอบกลับ “โอเค ๆ!”จูฝานถามขึ้นอีกว่า “แน่ใจเรื่องแนวการแข่งหรือยัง?”เวินเหลียงตอบกลับไป “ยังเลย”อันที่จริงเธอยังดอดไปเข้าร่วมกลุ่มสนทนาของการแข่งขันถ่ายภาพอีกด้วย ในกลุ่มมีทั้งช่างถ่ายรูปมืออาชีพและมือสมัครเล่นมากมาย ทุกคนต่างแลกเปลี่ยนกันในกลุ่มอยู่บ่อย ๆเวินเหลียงจะโพสต์ผลงานภาพสองภาพลงไปในกลุ่ม เพื่อให้สมาชิกร่วมกันลงความเห็นอยู่บ่อยครั้ง และจะแสดงความคิดเห็นของตัวเองต่อรูปภาพของสมาชิกคนอื่นในกลุ่มเช่นกันเธอเลือกรูปภาพที่ตัวเองพอใจโพสต์ลงในกลุ่มรูปหนึ่ง “รบกวนรุ่นพี่ทุกท่านให้คำแนะนำด้วยค่ะ รูปนี้ต้องปรับแก้ตรงไหนไหมคะ?”เพื่อน ๆ ในกลุ่มเป็นมิตรสุด ๆ บางคนก็เอาแต่เยินยอ บางคนก็แสดงความเห็นของตนในด้านองค์
ส่วนตงเจ๋อในกลุ่มนั้น เวินเหลียงไปทำความเข้าใจในกูเกิลและเฟซบุ๊กตงเจ๋อ ชื่อจริงฮั่วตงเฉิง อายุสามสิบเอ็ดปี เมื่อเทียบกับสองคนก่อนหน้าอายุน้อยกว่าอยู่หน่อย เป็นช่างถ่ายภาพยุคใหม่ และเป็นเจ้าของผลงานรางวัลพิเศษในการแข่งขันการถ่ายภาพระดับนานาชาติซานเหอครั้งหนึ่งในก่อนหน้านี้ สิ่งที่เชี่ยวชาญคือภาพถ่ายแบบคนกับวิว ใช้วิวมาขับให้ตัวบุคคลเด่น ใช้ตัวบุคคลมาเสริมให้ภาพวิวเด่น ยิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัว ทำให้จุดเด่นของทั้งสองอย่างยิ่งเด่นชัดขึ้นพอมาดูการแนะนำของคลาส แต่ละคลาสมีลักษณะพิเศษ และเวลาที่เปิดก็ใกล้แล้ว เวินเหลียงพลันลำบากใจขึ้นมาเธอมองนาฬิกา แล้วเก็บโทรศัพท์ เดี๋ยวค่อยคิดอีกทีก็แล้วกันใกล้ถึงเวลาเที่ยงแล้ว เธอตกลงกับฟู่ซือฝานไว้ว่าจะไปกินข้าวเที่ยงเป็นเพื่อนเธอ และยังต้องเอารถของฟู่เจิงกลับไปคืนด้วยหลังกินข้าวเที่ยงเสร็จ เวินเหลียงกินยาเรียบร้อยแล้ว มีอาการง่วงนิดหน่อย จึงไปนอนกลางวันในห้องนอนหลักตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาบ่ายสองโมงกว่าแล้ว เมิ่งเซ่อส่งข้อความมาหาเธอ “พี่ครับ! มีข่าวดีกับข่าวร้าย พี่อยากฟังเรื่องไหนก่อน?”เวินเหลียงเดาออกแล้วว่าข่าวดีคืออะไร จึงตอบกลับไปว่า “ฟัง
เลขาหยางลังเลอยู่สองสามวินาที ก่อนจะรายงานต่อ “ปีนี้ทางกรุ๊ปเตรียมจะลงทุนในสวนสนุกสองสามแห่งที่เจียงหนาน หลังวางแผนขั้นแรก ก็ไม่นึกว่าจะมีคนจากตระกูลฮั่วมาติดต่อสองสามแห่งนั่นเช่นกัน...”“มีเรื่องอะไรอีกไหม? ถ้าไม่มีก็กลับไปก่อนเถอะ”เลขาหยาง “...”“ค่ะ...งั้นฉันกลับก่อนนะคะ...” เลขาหยางถือแฟ้มเอกสารเดินออกไปจากห้องอย่างรวดเร็วฟู่เจิงลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปข้างหน้าต่าง ก่อนต่อสายโทรหาเซี่ยมู่หลังสั่งอะไรเสร็จ เขาก็ปิดมือถือแล้วใส่เข้าไปในกระเป๋ากางเกง มองไปที่ไกล ๆ ด้วยนัยน์ตาลึกซึ้งเขาไม่เชื่อว่า พอเกิดเรื่องพรรค์นั้นขึ้นแล้ว เวินเหลียงยังจะชอบเมิ่งเซ่อได้ลงอีก!ฟู่เจิงยืนอยู่ที่เดิม ก่อนจะหยิบเสื้อโค้ตแล้วออกไปจากห้องผู้ป่วยเพิ่งเดินไปได้ไม่กี่ก้าว ก็มีคนเรียกเขาให้หยุดจากเบื้องหลัง “เดี๋ยวค่ะ คุณฟู่?”ฟู่เจิงหยุดฝีเท้าพร้อมหันหน้าไป “คุณหมอจาง”“ฉันดูเคสของคุณแล้ว ตอนนี้คุณทำการผ่าตัดได้แล้ว คุณว่าจะกำหนดเป็นเมื่อไรดีคะ?” หมอจางเอ่ยถามขึ้น“ผมเปลี่ยนใจแล้วครับ ครั้งนี้รักษาแบบอนุรักษ์ไปก่อนก็แล้วกันครับ” ฟู่เจิงเอ่ยเดิมทีเขาคิดจะทำการผ่าตัด เพียงแต่ไม่คิดว่าจู่ ๆ เวินเ
เวินเหลียงกดเปิดดู เธอเลิกคิ้ว วิจารณ์กันแบบไม่มีฟิลเตอร์ที่แฟนคลับใส่ ถือว่าเป็นหนุ่มหล่อคนหนึ่งจริง ๆ หน้าตามีขอบมนดีล้ำเลิศสุด ๆเพียงแต่ไม่รู้ทำไม เวินเหลียงรู้สึกว่าเขาดูคุ้นตาอยู่เล็กน้อย เหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน เธอพยายามเค้นความทรงจำ ทว่าคลำหาที่เกี่ยวข้องไม่เจอเลยปุ๊กลุกกระโดดขึ้นเตียงในทีเดียว ก่อนจะมาถูไถเวินเหลียงเวินเหลียงลูบศีรษะน้อย ๆ ของปุ๊กลุกไปทันใดนั้นนัยน์ตาก็สว่างเป็นประกายขึ้นมา!เธอนึกออกแล้ว!มิน่าล่ะเธอถึงรู้สึกว่าตงเจ๋อดูคุ้นตาอยู่หน่อย ๆ เป็นเพราะว่าหน้าตาของเขามีส่วนคล้ายกับฟู่เจิงอยู่สองสามส่วน!เมื่อพูดขึ้นมา ตระกูลฟู่ตั้งแต่คุณท่านฟู่ ไปจนถึงฟู่เจี๋ยอารอง พี่ใหญ่ฟู่เยว่ พี่สามฟู่เซิง ด้านหน้าตาก็นับว่าเป็นหนุ่มหล่อได้ทุกคน พวกเขายังมีลักษณะที่เหมือนกันอย่างหนึ่ง นั่นก็คือสีหน้าชืด ๆเนื่องด้วยเหตุนี้เมื่อเทียบกันแล้ว ฟู่เยว่ดูแล้วจะละมุนละม่อมกว่าหน่อย เหมือนกับพระรองแสนอบอุ่นในนิยายอยู่เล็กน้อยส่วนฟู่เจิงนับเป็นคนที่หน้าคมเข้มเพียงคนเดียวในตระกูลฟู่ หน้าตาเอาเรื่องน่าดูเธอเคยเห็นรูปของฟู่หรง หน้าตาค่อนข้างคล้ายกับฟู่เยว่หน้าตาของฟู่เจิงคง
เมิ่งเซ่อจองโรงแรมใกล้ ๆ ไว้ห้องหนึ่ง เขาวางเซี่ยมู่ไปบนเตียงก่อน แล้วค่อยไปดูตัวเองหน้ากระจกในห้องน้ำ บนหน้าเขามีรอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมดเมิ่งเซ่อรู้สึกโชคดีที่ช่วงนี้ยุ่งอยู่หน่อย ๆ ถึงตอนไปทีมบิวดิงแผลพวกนี้ก็น่าจะหายดีแล้ว ถ้าเกิดแบกหน้าแบบนี้ไปเจอพี่เวินเหลียง มันจะน่าขายหน้าขนาดไหน! แถวนี้ไม่มีร้านขายยา ที่โรงแรมเองก็ไม่มียาทาภายนอกสำหรับอาการบาดเจ็บจากการฟกช้ำสำรองเอาไว้เมิ่งเซ่อจึงสั่งซื้อมาจากในเน็ตกล่องหนึ่ง รอดิลิเวอรีมาส่งเขานั่งไถโทรศัพท์อยู่บนเก้าอี้ทันใดนั้นก็ได้ยินหญิงสาวที่อยู่บนเตียงกลัวจนละเมอออกมา ราวกับกำลังฝันร้ายอยู่ “...อย่าเข้ามานะ...อย่านะ...อย่านะ...”เมิ่งเซ่อรีบวางโทรศัพท์ลง แล้วไปนั่งข้างเตียง ก่อนจะปลอบด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “ไม่เป็นไรแล้วนะ คนร้ายหนีไปแล้ว!”เซี่ยมู่ค่อย ๆ ลืมตาขึ้นมา จากนั้นก็พลันโผเข้าไปในอ้อมอกของเมิ่งเซ่อ ร้องไห้ฮือ ๆ อย่างทุกข์ตรมเมิ่งเซ่ออึ้งไปครู่หนึ่ง พร้อมลองผลักเซี่ยมู่ออก “คุณ...”ทว่าเซี่ยมู่ไม่ยอมปล่อยมือ กลับยิ่งออกแรงกอดเมิ่งเซ่อแน่นขึ้น แล้วร้องไห้อย่างเจ็บปวดใจ “ฉันกลัว...ฉันกลัวมากจริง ๆ...”เมิ่งเซ่อล
ด้านหน้าก็เป็นโกดังของหวังต้าไห่แล้วเมื่อแล่นผ่านโค้งหนึ่งไป จู่ ๆ รถเมล์ก็หยุดลงเหล่าเพื่อนร่วมงานต่างชะโงกศีรษะออกไปดูด้านหน้าด้วยความสงสัยด้านหน้ามีรถบรรทุกคันหนึ่งจอดขวางอยู่ กล่องพัสดุมากมายกลิ้งหล่นอยู่สองข้างทาง กล่องเล็กบ้างใหญ่บ้างพนักงานของโกดังกำลังเก็บกันสุดชีวิตหวังต้าไห่ยืนเท้าสะเอวอยู่ริมถนน มองเหตุการณ์ทั้งหมดอย่างสุดจะทน พร้อมส่งสัญญาณให้รถบัสที่ผ่านทางรอสักครู่ฟู่เซิงลุกขึ้นยืน ก่อนจะเดินไปข้างหน้าแล้วเอ่ยถามขึ้นว่า “เกิดอะไรขึ้นเหรอครับ?”คนขับรถบัสกดเปิดประตูแล้วเอ่ยขึ้นว่า “เหมือนรถพัสดุจะเสียหลักน่ะครับ”ฟู่เซิงลงจากรถ แล้วเดินไปพูดคุยกับหวังต้าไห่ ผ่านไปประมาณสองนาที เขาก็กลับขึ้นรถมาอีกครั้ง แล้วเอ่ยกับคนขับรถบัสว่า “รอเดี๋ยวนะครับ พวกเขาเก็บของจะเสร็จแล้ว”มีคนโพล่งถามขึ้นมาว่า “อยู่ดี ๆ รถพัสดุมาเสียหลักได้ยังไงครับ?”“ตอนที่รถบรรทุกกำลังจะเข้าไปในโกดังน่ะจู่ ๆ ยางรถก็เกิดแบนขึ้นมา” ฟู่เซิงตอบหวังต้าไห่เดือดจนด่าสาดเสียเทเสียออกมา “ไม่รู้ไอ้เซ่อซ่าตัวไหนมาสาดตะปูหมวกเอาไว้บนพื้น!”เมื่อเมิ่งเซ่อเห็นหวังต้าไห่ นัยน์ตาทั้งสองก็เปล่งประกายขึ้น
เมื่อเวินเหลียงถามขึ้นมาแบบนี้ เมิ่งเซ่อเองก็อดไม่ได้ที่จะหวนนึกอย่างจริงจังขึ้นมาก็จริง ตระกูลเมิ่งกับตระกูลหวังล้วนเป็นครอบครัวธรรมดา ๆ ลุงหวังจะไปยืมเงินมากมายขนาดนั้นมาจากเพื่อนที่ไหนกัน?ตอนนั้นใครจะกล้าให้เขาหยิบยืมเงินมากมายขนาดนั้น? โดยที่ไม่กลัวว่าเขาจะเชิดเงินหนีหรือคืนได้ไม่ครบ?คิดยังไงก็คิดไม่ออก เมิ่งเซ่อเงยหน้ามองสีหน้าของเวินเหลียง “พี่ครับ พี่สงสัยว่าที่มาของเงินลุงหวังมันได้มาโดยมิชอบใช่ไหมครับ?”เวินเหลียงหัวเราะชืด ๆ “อย่าหาว่าฉันคิดมากเลยนะ ฉันย่อมต้องเกลียดคนที่เมาแล้วขับจนเป็นสาเหตุทำให้พ่อฉันต้องตายอยู่แล้ว คงยากจะเลี่ยงไม่ให้ไปคาดเดาเขาอย่างมีอคติสุด ๆ”“ผมเข้าใจความรู้สึกของพี่ดีครับ แม้ลุงหวังจะไม่ได้ตั้งใจ แม้จะได้รับโทษแล้วก็ตาม พี่เองก็ไม่จำเป็นต้องให้อภัยหรอกครับ เพราะตั้งแต่ต้นจนจบคุณลุงต้องตายเพราะเขา”ถ้าคุณลุงไม่ตาย พี่เวินเหลียงก็ไม่ต้องไปเจอฟู่เจิงไอ้ผู้ชายซังกะบ๊วยนั่น!“ขอบคุณที่นายเข้าใจนะ อาเซ่อ” นัยน์ตาของเวินเหลียงเต็มไปด้วยความซาบซึ้งเมื่อได้ยินคำเรียกที่ดูสนิทสนมจากปากเวินเหลียง หูเมิ่งเซ่อก็แดงระเรื่อ ในใจเต้นระรัว ถูกเวินเหลียงล้
แต่ตำรวจสืบไม่เจอความสัมพันธ์ระหว่างจางกั๋วอันและเมิ่งจินถึง ไม่งั้นหากออกประกาศจับจางกั๋วอันแล้ว ไม่มีทางทำเมิ่งจินถังตกหล่นแน่แต่เห็นได้ชัดว่าพวกเขารู้จักกัน!เพียงแต่เมิ่งจินถังกลับประเทศได้ ทว่าจางกั๋วอันไม่กล้าเมิ่งเซ่อช่วยเก็บตะเกียบขึ้นมาวางไว้ข้าง ๆ แล้วช่วยหยิบตะเกียบคู่ใหม่ให้เวินเหลียงเวินเหลียงสงบลงมาแล้ว “ขอบใจนะ”เธอฉีกยิ้มให้เมิ่งเซ่อทีหนึ่ง แล้วคีบหมูเส้นให้เขาชิ้นหนึ่ง “จางกั๋วอัน? เขาเป็นคนเมืองเจียงเฉิง? เหมือนไม่เคยได้ยินชื่อนี้มาก่อน...”“ไม่ใช่ครับ...เขาไม่ได้อยู่ในประเทศ เหมือนจะอยู่ที่ย่างกุ้ง?”ย่างกุ้งเป็นเมืองหลวงเก่าของเมียนมาร์ เป็นเมืองใหญ่อันดับหนึ่งของเมียนมาร์ ไม่ว่าจะเป็นจำนวนประชากรหรือว่าเศรษฐกิจต่างก็เจริญรุ่งเรืองเป็นอย่างมาก“อ๋อ” หัวใจของเวินเหลียงถึงขั้นเต้นผิดจังหวะ เธอเปลี่ยนเรื่องคุยอย่างแยบยล “อันที่จริงคราวก่อนฉันกับถังถังมีความคิดจะไปเที่ยวที่เมียนมาร์ แต่สุดท้ายก็เลือกไปนอร์เวย์”จางกั๋วอันลอยนวลอยู่ต่างประเทศ ทางตำรวจในประเทศทำอะไรเขาไม่ได้เธอกำลังครุ่นคิด ตอนนี้รู้แล้วว่าเขาอยู่ย่างกุ้ง คิดหาวิธีไปตามหาเขา แล้วลักพาตัวกลับ