โจวอวี่ก้าวขึ้นไปข้างหน้าหนึ่งก้าว ถอดหน้ากากอนามัยออก “คุณปู่ฟู่ คุณย่าฟู่ ผมมาส่งอาเหลียงครับ พอรู้ว่าคุณปู่ฟู่ไม่สบาย ก็เลยขึ้นมาเยี่ยม คุณปู่ฟู่ยังสบายดีใช่ไหมครับ ?”“ลำบากเธอแล้ว ยังสบายดี สบายใจได้” คุณปู่พูดขึ้นพลางหัวเราะร่า“งั้นก็ดี ในเมื่อส่งอาเหลียงมาถึงแล้ว งั้นผมก็ไม่อยู่ต่อแล้วนะครับ ขอตัวกลับก่อน ลาก่อนนะอาเหลียง ลาก่อนครับคุณปู่ฟู่คุณย่าฟู่ ลาก่อนครับคุณฟู่” โจวอวี่สวมหน้ากากอนามัย แล้วเดินออกจากห้องผู้ป่วยไป“อาเหลียง เพื่อนของหลานคนนี้ห่อเหลาไม่เบา เป็นเด็กที่ใช้ได้คนหนึ่งเลยทีเดียว” คุณย่าพูดขึ้นด้วยรอยยิ้มขณะที่พูด เธอก็แอบเหลือบมองฟู่เจิงจากประสบการณ์อันยาวนานของเธอ โจวอวี่คนนี้จะต้องคิดอะไรกับเวินเหลียงอย่างแน่นอนเพียงแต่โจวอวี่น่าสนใจกว่าฉู่ซืออี๋มากเวินเหลียงไม่เข้าใจความหมายแฝงของคุณย่า จึงพูดเสริม “คุณย่าคะ เขาเป็นดาราดังคนหนึ่ง เป็นที่ชอบพอของบรรดาสาว ๆ มากเลยค่ะ”“งั้นเหรอจ๊ะ ? แล้วพวกเธอรู้จักกันได้ยังไง ?”“ตอนเด็ก ๆ บ้านของเขาอยู่ใกล้ ๆ กับบ้านหนูค่ะ เป็นเพื่อนบ้านกัน เพียงแต่ภายหลังย้ายบ้าน คิดไม่ถึงเลยว่าตอนนี้จะได้มาพบกันอีก”“ถ้างั้นก็ม
“เธออะไร ?” เมื่อเห็นฟู่เจิงเงียบไป เวินเหลียงก็จ้องมองเขา“ซืออี๋เป็นบุคคลสาธารณะ จะแบกรับข่าวเชิงลบไม่ได้”“ฉู่ซืออี๋แบกรับข่าวเชิงลบไม่ได้ แล้วฉันทำได้งั้นเหรอ ?”“เวินเหลียง กว่าที่ฉันจะรู้เรื่องราวก็บานปลายแล้ว วิธีจัดการกับความร้อนแรงที่ดีที่สุด ฉันคิดว่าเธอเองก็น่าจะรู้ ตอนนี้ความเงียบเป็นวิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุด...”เมื่อได้ยินฟู่เจิงพูดแบบนี้ เวินเหลียงก็ไม่คิดที่จะถามอะไรต่ออีกเรื่องนี้เกิดขึ้นเพราะเขากับฉู่ซืออี๋ แต่สุดท้ายกลับเป็นเธอที่ต้องแบกรักข้อกล่าวหามือที่สาม ถูกคนด่าทอ แต่กลับกลับแสดงท่าทีจนปัญญาหากจะถามถึงเหตุผลก็เป็นเพราะความลำเอียงเท่านั้นหากรักใครสักคนจริง ๆ จะไม่มีวันที่ทำให้เธอต้องน้อยใจ เหมือนกับที่เขารับผิดชอบปกป้องฉู่ซืออี๋จากข่าวหัวใจของเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ เขารู้ทั้งรู้ว่าเธอต้องเสียใจ แต่กลับยังทำต่อไป กลับปล่อยให้เธอต้องน้อยใจต่อไปเขายอมรับอย่างตรงไปตรงมาแล้วว่า เขาสนใจแค่ฉู่ซืออี๋ เธอถามให้มากความแล้วจะมีประโยชน์อะไรอีก ?คราวหน้า ถ้าต้องขอโทษ ก็ยังคงขอโทษถ้าเธอทะเลาะกับเขา ไม่แน่ว่าเขาอาจหาว่าเธอไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจ ต้องการทำลายอาชีพของ
ฟู่เจิงสูดหายใจเข้าลึกแล้วอธิบาย “ซืออี๋มีปัญหาทางจิตเล็กน้อย ถ้าอยู่คนเดียวอาจมีอันตราย...”เมื่อได้ยินเขาพูดแบบนี้ เวินเหลียงก็รู้สึกไร้เรี่ยวแรงทำยังไงฟู่เจิงถึงจะรู้ว่า เธอไม่อยากยุ่งเรื่องของฉู่ซืออี๋ นี่ไม่ใช่ข้ออ้างที่เธอควรให้อภัยยิ่งไปกว่านั้น เธอมองออกว่าตอนเช้าที่ฉู่ซืออี๋พูดคุยกับเธอนั้น ไม่มีร่องรอยของความเจ็บป่วยเลยสักนิดเพียงแต่หากเธอพูดในสิ่งที่คิดออกไป เขาก็จะหาว่าเธอไม่รู้จักเห็นอกเห็นใจอีก“ต่อให้เธอไม่มีอันตรายถึงชัวิต คุณก็จะไปอยู่ดี คุณใส่ใจเธอ แล้วทำไมต้องพูดเหมือนฝืนใจแบบนี้ด้วย” เวินเหลียงพูด “อีกอย่าง ฉันเองก็ไม่มีอะไรต้องอธิบายกับคุณ”“ฉันรู้ว่าเธอชอบโจวอวี่ เพียงแต่เธอไม่ควรเลือกที่จะไปพบเขาในเวลาแบบนี้ ซ้ำยังพาเขามาหาคุณปู่อีก...”“แล้วคุณไม่เหมือนกันเหรอ ? ไปหาฉู่ซืออี๋ในเวลาสำคัญแบบนี้ ซ้ำยังพาเธอมาหาคุณปู่อีก นี่ฉันเลียนแบบคุณมาทั้งนั้น”“ซืออี๋อาการกำเริบ ฉันก็เลยต้องพาเธอมาเพื่อปลอบใจเธอ ก่อนหน้านี้เธอเองก็เคยพูดว่า รอให้คุณปู่ย้ายมาอยู่ห้องผู้ป่วยธรรมดาก็พาเธอมาได้ แล้วตอนนี้เธอจะโมโหอะไร ?” ฟู่เจิงมองเธออย่างไม่เข้าใจเวินเหลียงคิดไม่ถึงเ
ฟู่เจิงเงียบไปสักพัก เวินเหลียงมองความลังเลของเขาออก จึงหัวเราะเยาะออกมา “คุณก็แค่เคยคิด รอให้คุณทำได้จริงเมื่อไรค่อยว่ากันเถอะ เอาละ คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะพักผ่อนแล้ว”ถ้าฟู่เจิงยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉู่ซืออี๋แค่โทรมาเขาก็ไปทันที ถ้าอย่างนั้นเธออยากใช้ชีวิตอยู่กับเขาก็คงไม่มีประโยชน์เธอไม่ต้องการสามีที่ผู้หญิงคนอื่นเรียกตัวไปได้ตลอดเวลาหรอกฟู่เจิงแสดงละครเก่งที่สุดแล้ว เธอไม่มีทางเชื่อเขาอีก“เพิ่งจะสามทุ่ม เธอจะพักผ่อนแล้วเหรอ ?”“วันนี้เหนื่อยนิดหน่อย”“อยากผ่อนคลายสักหน่อยไหม ?”“ผ่อนคลาย ?” เวินเหลียงเงยหน้ามองเขา“อืม”เขาหันหลังให้แสงไฟ ใบหน้าอยู่ภายใต้เงามืด มองสีหน้าของเขาไม่ออก“ผ่อนคลายยังไง ?”“นั่งนิ่ง ๆ อย่าขยับ”ฟู่เจิงคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเวินเหลียง วางมือใหญ่ลงไปบนตักของเธอ แล้วลูบไล้ตามผิวของเธอขึ้นไปทางด้านบนอุณหภูมิร้อนฉ่าบนมือของเขาอบอุ่นมากความรู้สึกจักจี้พุ่งขึ้นสู่สมอง เวินเหลียงตัวแข็งทื่อ กัดริมฝีปากล่างเอาไว้ฟู่เจิงสังเกตสีหน้าของเธอ จากนั้นก็เลิกชายกระโปรงของเธอขึ้น......“อย่า——” เวินเหลียงใช้มือกดกระโปรงเอาไว้พวกเขาเพิ่งทะเลาะกัน เ
สายตาของเธอฟื้นฟูกลับมาจนเกือบเป็นปกติแล้ว และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีก”เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เวินเหลียงก็ไปทำเอกสารออกจากโรงพยาบาลก่อน จากนั้นก็โทรศัพท์เรียกคนขับรถมาขนของของตัวเองกลับบ้าน แล้วค่อยไปเยี่ยมคุณปู่ที่ห้องพักผู้ป่วยในห้องพักผู้ป่วยเงียบสนิทคุณปู่นั่งอยู่บนเตียง ส่วนคุณยายนั่งอยู่บนโซฟา แต่ละคนต่างเบือนหน้าไม่มองอีกฝ่ายทันทีที่เวินเหลียงเดินเข้ามา ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของบรรยากาศ“คุณปู่ คุณย่า” เวินเหลียงมองทั้งสองสลับกันรอบหนึ่ง “คุณปู่คุณย่าทานอาหารเช้าหรือยังคะ ?”“กินแล้ว”“กินแล้ว”ทั้งสองตอบขึ้นพร้อมกัน“คุณปู่คุณย่า......เป็นอะไรไปคะ ? ทะเลาะกันเหรอคะ ?”“ไม่ได้ทะเลาะ แต่ปู่ของหลานอารมณ์เสียขึ้นมาคนเดียว” คุณย่าเหลือบมองคุณปู่อย่างเบื่อหน่ายหนึ่งครั้งเวินเหลียงหันมองคุณปู่ “คุณปู่คะ ทำไมยั่วโมโหคุณย่าเสียแล้วละคะ ?”“ปู่ไม่ได้ยั่วโมโหเอสักหน่อย......” คุณปู่พึมพำเบา ๆ แสดงสีหน้ารู้สึกผิด“ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นคะ ?”คุณย่าหัวเราะเยาะ “อาเหลียง หลานมาช่วยตัดสินหน่อยสิ เขายังไม่หายดีก็โวยวายจะกลับบ้าน นี่ไม่เท่ากับจงใจยั
“ก็ดี” ฟู่เจิงเดินออกมาจากห้องทำงานของผอ.หลิน แล้วเดินตรงไปที่ห้องพักผู้ป่วยตรงหัวเลี้ยว มีแพทย์สวมชุดกาวน์สีขาวสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่“สามีเก่า ? พูดแบบนี้หมายความว่าพวกเขาเคยอยู่ด้วยกันจริง ๆ เหรอ ?” แพทย์ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายพูดขึ้น“คิดว่าน่าจะจริง คิดว่าคงเพิ่งหย่ากันเร็ว ๆ นี้” แพทย์ที่ยืนอยู่ด้านขวาส่งสายตาบอกว่านายก็น่าจะรู้ดีนายท่านฟู่เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของโรงพยาบาล กำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ประธานของฟู่ซื่อกรุ๊ปเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ภายในจึงย่อมรู้เรื่องนี้ช่วงนี้ฟู่เจิงมีข่าวฉาวรอบตัว หน้าประตูโรงพยาบาลมีนักข่าวคอยดักซุ่ม ถึงขั้นที่ว่ามีนักข่าวบางคนคิดจะลักลอบเข้ามาในพื้นที่ห้องพักผู้ป่วยวีไอพี โรงพยาบาลจึงส่งประกาศให้เจ้าหน้าที่และพนักงานรักษาความปลอดภัยเป็นโดยเฉพาะแพทย์คนขวาเองก็เห็นเวินเหลียงซึ่งเป็นคนป่วยที่ตนเองให้การรักษาเมื่อไม่กี่วันมาก่อน เข้าออกของของนายท่านฟู่เป็นว่าเล่น ถึงได้รู้ว่าเธอก็คือ “มือที่สาม” ที่ในข่าวพูดถึงแต่เวินเหลียงกำชับกับเขาว่า ห้ามให้สามีเก่ารู้เรื่องที่เธอท้องตอนนั้นเขาคิดว่าสามีของเวินเหลียงน่าจะเป็นผู้ชายเสเพล คิด
ฟู่เจิงไม่ได้พาคนขับรถไป เวินเหลียงเปิดประตูด้านข้างคนขับ เข้าไปนั่งแล้วรัดเข็มขัดนิรภัยฟู่เจิงนั่งตรงที่คนขับ ไม่รีบร้อนที่จะออกรถ เขายกมือขึ้น ปลดกระดุมคอ แล้วค่อย ๆ ถามขึ้นว่า “เธอบอกหมอว่าฉันเป็นสามีเก่าของเธอเหรอ ?”เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของเวินเหลียงก็เต้นดังตุบ ๆ ฟู่เจิงคงยังไม่รู้หรอกนะว่าเธอท้อง ?เวินเหลียงเหลือบมองฟู่เจิงอย่างระแวง มือทั้งสองข้างที่วางอยู่ข้างขา ค่อย ๆ เคลื่อนมากุมไว้ที่ท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว แล้วชิงพูดก่อน “ทำไม ? คุณกลัวคนอื่นจะรู้ว่าฉู่ซืออี๋แทรกกลางเข้ามาในชีวิตคู่ของเรา จนทำให้เราต้องหย่ากันหรือไง ?”“เวินเหลียง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”“งั้นคุณหมายความว่ายังไง ?” เวินเหลียงเลิกคิ้วหันมองเขาฟู่เจิงเบะปาก “ฉันไม่ได้คิดจะโทษเธอ”ในฐานะที่เขาเป็นสามีของเวินเหลียง เมื่อได้ยินเวินเหลียงบอกกับหมอว่าตัวเองเป็นสามีเก่า ก็ย่อมไม่สบายใจเป็นธรรมดา “งั้นถือซะว่าฉันคิดมากไปเอง” เวินเหลียงแสร้งตอบแบบไม่ใส่ใจ “ตอนที่ฉันเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถ ตอนนั้นพวกเราก็คิดที่จะหย่าแล้ว คงไม่ห่างไกลจากคำว่าสามีเก่านัก”ฟู่เจิง : “......”ฟู่เจิงไม่พูดอะไร
บรรยากาศในพื้นที่สำนักงานเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกฟู่ซื่อ กรุ๊ปมีพนักงานกลุ่มใหญ่ ที่ใช้สำหรับการแจ้งข่าวสารผู้รับผิดชอบหลักของกลุ่มก็คือเลขาจ้าวจากห้องทำงานท่านประธานฟู่เจิงเองก็อยู่ในกลุ่มด้วย และเป็นผู้ดูแล เพียงแต่ไม่เปิดเผยตัวเท่านั้นปกติแล้วในกลุ่มใหญ่มักเงียบสงบ แม้จะมีคนมาก แต่บรรดาหัวหน้าก็อยู่ด้านในด้วย ทำให้บรรดาพนักงานไม่กล้าพูดอะไรตามใจชอบในนี้ อย่างมากก็ส่งแค่คำว่า “รับทราบ”วันนี้พนักงานทุกคนต่างได้รับข้อความระบุตัวทุกคนในกลุ่มใหญ่ เดิมทีคิดว่าเลขาจ้าวมีอะไรจะแจ้ง แต่ทันทีที่เข้าไปอ่าน บรรดาพนักงานก็ต้องตกใจจนตาเบิกโพลงคนที่พูดขึ้นในกลุ่ม เป็นผู้ดูแลระบบ ชื่อเรียกทั้งชัดเจนและเป็นที่จดจำได้แม่นยำ—ฟู่เจิงประธานฟู่ส่งข้อความในกลุ่มแล้ว ? !พนักงานของฟู่ซื่อ กรุ๊ปโปรดรักษากฎระเบียบ ข้อที่ 53 : ควรกำหนดรูปแบบในการทำงานที่เข้มงวด และรักษาทัศนคติที่ดีในการทำงาน ระหว่างทำงานห้ามจับกลุ่มคุยกัน ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน เผยแพร่ข่าวลือ ห้ามนินทาว่าร้าย วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาลับหลัง หากฝ่าฝืน ครั้งแรกจะเป็นการตักเตือน หั