ฟู่เจิงเงียบไปสักพัก เวินเหลียงมองความลังเลของเขาออก จึงหัวเราะเยาะออกมา “คุณก็แค่เคยคิด รอให้คุณทำได้จริงเมื่อไรค่อยว่ากันเถอะ เอาละ คุณกลับไปก่อนเถอะ ฉันจะพักผ่อนแล้ว”ถ้าฟู่เจิงยังเป็นแบบนี้อยู่ ฉู่ซืออี๋แค่โทรมาเขาก็ไปทันที ถ้าอย่างนั้นเธออยากใช้ชีวิตอยู่กับเขาก็คงไม่มีประโยชน์เธอไม่ต้องการสามีที่ผู้หญิงคนอื่นเรียกตัวไปได้ตลอดเวลาหรอกฟู่เจิงแสดงละครเก่งที่สุดแล้ว เธอไม่มีทางเชื่อเขาอีก“เพิ่งจะสามทุ่ม เธอจะพักผ่อนแล้วเหรอ ?”“วันนี้เหนื่อยนิดหน่อย”“อยากผ่อนคลายสักหน่อยไหม ?”“ผ่อนคลาย ?” เวินเหลียงเงยหน้ามองเขา“อืม”เขาหันหลังให้แสงไฟ ใบหน้าอยู่ภายใต้เงามืด มองสีหน้าของเขาไม่ออก“ผ่อนคลายยังไง ?”“นั่งนิ่ง ๆ อย่าขยับ”ฟู่เจิงคุกเข่าข้างหนึ่งลงต่อหน้าเวินเหลียง วางมือใหญ่ลงไปบนตักของเธอ แล้วลูบไล้ตามผิวของเธอขึ้นไปทางด้านบนอุณหภูมิร้อนฉ่าบนมือของเขาอบอุ่นมากความรู้สึกจักจี้พุ่งขึ้นสู่สมอง เวินเหลียงตัวแข็งทื่อ กัดริมฝีปากล่างเอาไว้ฟู่เจิงสังเกตสีหน้าของเธอ จากนั้นก็เลิกชายกระโปรงของเธอขึ้น......“อย่า——” เวินเหลียงใช้มือกดกระโปรงเอาไว้พวกเขาเพิ่งทะเลาะกัน เ
สายตาของเธอฟื้นฟูกลับมาจนเกือบเป็นปกติแล้ว และไม่จำเป็นต้องนอนโรงพยาบาลต่ออีก”เช้าวันรุ่งขึ้น หลังจากทานอาหารเช้าเสร็จ เวินเหลียงก็ไปทำเอกสารออกจากโรงพยาบาลก่อน จากนั้นก็โทรศัพท์เรียกคนขับรถมาขนของของตัวเองกลับบ้าน แล้วค่อยไปเยี่ยมคุณปู่ที่ห้องพักผู้ป่วยในห้องพักผู้ป่วยเงียบสนิทคุณปู่นั่งอยู่บนเตียง ส่วนคุณยายนั่งอยู่บนโซฟา แต่ละคนต่างเบือนหน้าไม่มองอีกฝ่ายทันทีที่เวินเหลียงเดินเข้ามา ก็สังเกตเห็นถึงความผิดปกติของบรรยากาศ“คุณปู่ คุณย่า” เวินเหลียงมองทั้งสองสลับกันรอบหนึ่ง “คุณปู่คุณย่าทานอาหารเช้าหรือยังคะ ?”“กินแล้ว”“กินแล้ว”ทั้งสองตอบขึ้นพร้อมกัน“คุณปู่คุณย่า......เป็นอะไรไปคะ ? ทะเลาะกันเหรอคะ ?”“ไม่ได้ทะเลาะ แต่ปู่ของหลานอารมณ์เสียขึ้นมาคนเดียว” คุณย่าเหลือบมองคุณปู่อย่างเบื่อหน่ายหนึ่งครั้งเวินเหลียงหันมองคุณปู่ “คุณปู่คะ ทำไมยั่วโมโหคุณย่าเสียแล้วละคะ ?”“ปู่ไม่ได้ยั่วโมโหเอสักหน่อย......” คุณปู่พึมพำเบา ๆ แสดงสีหน้ารู้สึกผิด“ถ้างั้นเกิดอะไรขึ้นคะ ?”คุณย่าหัวเราะเยาะ “อาเหลียง หลานมาช่วยตัดสินหน่อยสิ เขายังไม่หายดีก็โวยวายจะกลับบ้าน นี่ไม่เท่ากับจงใจยั
“ก็ดี” ฟู่เจิงเดินออกมาจากห้องทำงานของผอ.หลิน แล้วเดินตรงไปที่ห้องพักผู้ป่วยตรงหัวเลี้ยว มีแพทย์สวมชุดกาวน์สีขาวสองคนกำลังยืนคุยกันอยู่“สามีเก่า ? พูดแบบนี้หมายความว่าพวกเขาเคยอยู่ด้วยกันจริง ๆ เหรอ ?” แพทย์ที่ยืนอยู่ด้านซ้ายพูดขึ้น“คิดว่าน่าจะจริง คิดว่าคงเพิ่งหย่ากันเร็ว ๆ นี้” แพทย์ที่ยืนอยู่ด้านขวาส่งสายตาบอกว่านายก็น่าจะรู้ดีนายท่านฟู่เป็นหนึ่งในหุ้นส่วนของโรงพยาบาล กำลังพักรักษาตัวอยู่ในโรงพยาบาล ประธานของฟู่ซื่อกรุ๊ปเข้าออกอยู่ตลอดเวลา เจ้าหน้าที่ภายในจึงย่อมรู้เรื่องนี้ช่วงนี้ฟู่เจิงมีข่าวฉาวรอบตัว หน้าประตูโรงพยาบาลมีนักข่าวคอยดักซุ่ม ถึงขั้นที่ว่ามีนักข่าวบางคนคิดจะลักลอบเข้ามาในพื้นที่ห้องพักผู้ป่วยวีไอพี โรงพยาบาลจึงส่งประกาศให้เจ้าหน้าที่และพนักงานรักษาความปลอดภัยเป็นโดยเฉพาะแพทย์คนขวาเองก็เห็นเวินเหลียงซึ่งเป็นคนป่วยที่ตนเองให้การรักษาเมื่อไม่กี่วันมาก่อน เข้าออกของของนายท่านฟู่เป็นว่าเล่น ถึงได้รู้ว่าเธอก็คือ “มือที่สาม” ที่ในข่าวพูดถึงแต่เวินเหลียงกำชับกับเขาว่า ห้ามให้สามีเก่ารู้เรื่องที่เธอท้องตอนนั้นเขาคิดว่าสามีของเวินเหลียงน่าจะเป็นผู้ชายเสเพล คิด
ฟู่เจิงไม่ได้พาคนขับรถไป เวินเหลียงเปิดประตูด้านข้างคนขับ เข้าไปนั่งแล้วรัดเข็มขัดนิรภัยฟู่เจิงนั่งตรงที่คนขับ ไม่รีบร้อนที่จะออกรถ เขายกมือขึ้น ปลดกระดุมคอ แล้วค่อย ๆ ถามขึ้นว่า “เธอบอกหมอว่าฉันเป็นสามีเก่าของเธอเหรอ ?”เมื่อได้ยินดังนั้น หัวใจของเวินเหลียงก็เต้นดังตุบ ๆ ฟู่เจิงคงยังไม่รู้หรอกนะว่าเธอท้อง ?เวินเหลียงเหลือบมองฟู่เจิงอย่างระแวง มือทั้งสองข้างที่วางอยู่ข้างขา ค่อย ๆ เคลื่อนมากุมไว้ที่ท้องน้อยโดยไม่รู้ตัว แล้วชิงพูดก่อน “ทำไม ? คุณกลัวคนอื่นจะรู้ว่าฉู่ซืออี๋แทรกกลางเข้ามาในชีวิตคู่ของเรา จนทำให้เราต้องหย่ากันหรือไง ?”“เวินเหลียง ฉันไม่ได้หมายความว่าอย่างนั้น”“งั้นคุณหมายความว่ายังไง ?” เวินเหลียงเลิกคิ้วหันมองเขาฟู่เจิงเบะปาก “ฉันไม่ได้คิดจะโทษเธอ”ในฐานะที่เขาเป็นสามีของเวินเหลียง เมื่อได้ยินเวินเหลียงบอกกับหมอว่าตัวเองเป็นสามีเก่า ก็ย่อมไม่สบายใจเป็นธรรมดา “งั้นถือซะว่าฉันคิดมากไปเอง” เวินเหลียงแสร้งตอบแบบไม่ใส่ใจ “ตอนที่ฉันเพิ่งประสบอุบัติเหตุทางรถ ตอนนั้นพวกเราก็คิดที่จะหย่าแล้ว คงไม่ห่างไกลจากคำว่าสามีเก่านัก”ฟู่เจิง : “......”ฟู่เจิงไม่พูดอะไร
บรรยากาศในพื้นที่สำนักงานเงียบสงัด ไม่มีใครกล้าพูดอะไรอีกฟู่ซื่อ กรุ๊ปมีพนักงานกลุ่มใหญ่ ที่ใช้สำหรับการแจ้งข่าวสารผู้รับผิดชอบหลักของกลุ่มก็คือเลขาจ้าวจากห้องทำงานท่านประธานฟู่เจิงเองก็อยู่ในกลุ่มด้วย และเป็นผู้ดูแล เพียงแต่ไม่เปิดเผยตัวเท่านั้นปกติแล้วในกลุ่มใหญ่มักเงียบสงบ แม้จะมีคนมาก แต่บรรดาหัวหน้าก็อยู่ด้านในด้วย ทำให้บรรดาพนักงานไม่กล้าพูดอะไรตามใจชอบในนี้ อย่างมากก็ส่งแค่คำว่า “รับทราบ”วันนี้พนักงานทุกคนต่างได้รับข้อความระบุตัวทุกคนในกลุ่มใหญ่ เดิมทีคิดว่าเลขาจ้าวมีอะไรจะแจ้ง แต่ทันทีที่เข้าไปอ่าน บรรดาพนักงานก็ต้องตกใจจนตาเบิกโพลงคนที่พูดขึ้นในกลุ่ม เป็นผู้ดูแลระบบ ชื่อเรียกทั้งชัดเจนและเป็นที่จดจำได้แม่นยำ—ฟู่เจิงประธานฟู่ส่งข้อความในกลุ่มแล้ว ? !พนักงานของฟู่ซื่อ กรุ๊ปโปรดรักษากฎระเบียบ ข้อที่ 53 : ควรกำหนดรูปแบบในการทำงานที่เข้มงวด และรักษาทัศนคติที่ดีในการทำงาน ระหว่างทำงานห้ามจับกลุ่มคุยกัน ส่งเสียงพูดคุยหัวเราะ วิพากษ์วิจารณ์เรื่องที่ไม่ใช่เรื่องงาน เผยแพร่ข่าวลือ ห้ามนินทาว่าร้าย วิพากษ์วิจารณ์ผู้บังคับบัญชาลับหลัง หากฝ่าฝืน ครั้งแรกจะเป็นการตักเตือน หั
“ผอ.เวิน ยินดีด้วยนะคะที่สุขภาพแข็งแรงดี” อู๋หลิงพูดขึ้นด้วยรอยยิ้ม“ขอบคุณค่ะผอ.อู๋” เวินเหลียงเผยสีหน้าจาง ๆ “ผอ.เวินไม่มีซะหลายวัน ฉันคิดว่าอับอายจนไม่กล้าพบหน้าผู้คนเสียอีก !”เวินเหลียงหัวเราะเบา ๆ “ดูเหมือนว่าผอ.อู๋เพิ่งถูกหักโบนัส 50% จะมีความสุขมากเลยนะคะ ! อยากมากวนใจฉันโดยไม่เสียดายเงินก้อนโตขนาดนั้นเลยสักนิด ผอ.อู๋นี่ใจป้ำจริง ๆ”อู๋หลิงสีหน้าแข็งทื่อไป จากนั้นก็พูดว่า “เวินเหลียง เธอคิดว่าเธอชนะแล้วอย่างนั้นเหรอ ?”“หมายความว่ายังไง ?”อู๋หลิงเลิกคิ้ว “เธอคิดว่านี่เป็นการทำงานผิดพลาดของเด็กฝึกงานจริงเหรอ ?”เวินเหลียงไม่พูดอะไร แน่นอนว่าเธอรู้ พลั้งมือไปกดถูกใจเป็นฝีมือของอู๋หลิง เด็กฝึกงานก็เป็นแค่แพะรับบาปของอู๋หลิงเท่านั้นมองดูสีหน้าของเธอ อู๋หลิงก็หัวเราะออกมา “เธอก็รู้ว่าฉันเป็นคนทำ แล้วประธานฟู่จะไม่รู้เหรอ ? แต่เขาก็ยังเลือกที่จะเก็บฉันไว้ ผลักความผิดไปให้เด็กฝึกงาน เธอว่านี่มันหมายความว่ายังไงล่ะ ?”หมายความว่าอะไร ?เวินเหลียงก้มหน้าลงเธอรู้แก่ใจดี มันหมายความว่าฟู่เจิงไม่สนใจเธอ หมายความว่าในใจของฟู่เจิง ฉู่ซืออี๋สำคัญกว่ามากเพียงเพราะอู๋หลิงกับเวิ
เธอเปรี้ยวปากอยากกินเค้กแบล็คฟอร์เรสของร้านเบเกอรี่เจ้าเก่าร้านนั้นอีกแล้ว“โชเฟอร์คะ คุณรอฉันตรงนี้เดี๋ยวเดียวนะคะ ฉันไปซื้อของแป๊บเดียวก็กลับมาแล้ว” เวินเหลียงกำชับกับคนขับรถ จากนั้นก็ลงจากรถแล้วเดินเข้าไปในจินเซิ่งสแควร์อย่างรวดเร็วร้านเบเกอรี่ร้านนี้มีชื่อว่าอัฟเตอร์นูนไทม์ เปิดอยู่ที่จินเซิ่งสแคสร์มาหลายปีแล้ว กิจการดีมาก ตอนที่เวินเหลียงไป ในร้านมีคนจำนวนมากเธอเดินตรงไปที่ตู้กระจกด้านซ้ายมือ เรียกพนักงานร้านหยิบเค้กแบล็คฟอร์เรสให้ตัวเองหนึ่งชิ้น รวมถึงนโปเลียนอีกหนึ่งชิ้น จากนั้นก็ต่อแถวจ่ายเงิน แล้วเวินเหลียงก็ถือถึงกระดาษเดินจากไปเพิ่งออกมาจากร้านเบเกอรี่ เวินเหลียงก็ชนเข้ากับผู้หญิงสองคน เธอกล่าว “ขอโทษ” เตรียมที่จะเดินอ้อมไปจู่ ๆ ก็มีคนตะโกนเรียกเธอ “เวินเหลียง ?”เวินเหลียงชะงักฝีเท้า หันหน้ากลับไป จึงพบว่าหนึ่งในผู้หญิงสองคนนั้น คนที่สวมหน้ากากอนามัยและหมวกก็คือฉู่ซืออี๋ส่วนผู้หญิงคนข้าง ๆ ที่ไม่ได้สวมหน้ากากอนามัยก็คือผู้ช่วยของเธอฉู่ซืออี๋ก้าวเข้าไปข้างหน้าหนึ่งก้าว มองดูถุงที่อยู่ในมือของเวินเหลียง “มาซื้อเค้กเหรอ ? เธอเองก็ชอบกินเค้กร้านนี้เหมือนกันเหรอ
เวินเหลียงเงยหน้าขึ้นมองเขา รู้สึกเหลือเชื่อช่วงเวลาที่เธอมาถึงตระกูลฟู่ ท่าทีของฟู่เจิงไม่ยินดียินร้าย ไม่เหินห่างแต่ก็ไม่เข้าใกล้ แล้วทำไมจู่ ๆ ถึงซื้อเค้กให้เธอ ?“ไม่ชอบเหรอ ?” เมื่อเห็นสีหน้าของเธอ ฟู่เจิงก็ย้อนถามเวินเหลียงส่ายหน้า แล้วก็รีบพยักหน้าทำไมจะไม่ชอบล่ะ ?เธอเคยเห็นเพื่อนกิน เค้กของร้านเบเกอรี่ร้านนี้แพงมาก โชคดีเคยได้ชิมเค้กมัทฉะของร้านนี้หนึ่งครั้ง รสชาติยากที่จะลืมเลือนตอนนั้นเงินเดือนของพ่อเพียงพอจะเลี้ยงปากท้องได้สองคน พ่อเองไม่ตระหนี่กับเวินเหลียง เพียงแต่เค้กของร้านอัฟเตอร์นูนไทม์ราคาแพงเกินไป เหมือนกับชายามบ่ายที่เป็นสินค้าสิ้นเปลือง สำหรับเวินเหลียงที่เกิดมาในครอบครัวฐานะธรรมดา ๆ ถือว่าล้ำค่าอย่างยิ่ง“ชอบก็ดี” ฟู่เจิงยิ้มจาง ๆ แล้วหันหลังเดินขึ้นชั้นบนไปเวินเหลียงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิม มองดูถุงกระดาษที่อยู่ตรงหน้า ในใจยังคงไม่อยากจะเชื่อ จนกระทั่งฟู่เจิงเกือบจะเดินไปถึงชั้นบน เธอถึงตั้งสติขึ้นมาได้ จึงหันไปตะโกนทางบันได “ขอบคุณนะคะพี่รอง”ไม่ว่าฟู่เจิงจะฟังออกหรือไม่ แต่เวินเหลียงกลับรู้ดีว่า น้ำเสียงของเธอเต็มไปด้วยความอ่อนหวานนี่เป็นครั้งแรก คร