“ท่านพ่อ ท่านใจร้ายเกินไปที่ทำกับข้าเช่นนี้ ฮึก ฮือ”
“ข้าเองก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะขัดขืน เสียงครางของเจ้าบ่งบอกถึงไฟร่านในตัวเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิด หึ”
น้ำเสียงแข็งกร้าวตะคอกออกมาด้วยความเคียดแค้นภายในใจของเส้าชิง
“ข้าอยากรู้ว่าทำไมท่านถึงต้องให้ข้าแต่งงานกับมู่หรงเหยียนด้วย ข้าไม่อยากแต่ง” เยว่เยี่ยยังเอ่ยถามเขาต่อด้วยเสียงสั่นเครือ มือเรียวบางเอื้อมโอบกอดอกแกร่งไว้แต่ไม่เป็นผลเส้าชิงผละออก พลันลุกจัดแต่งอาภรณ์
“ถึงวัยปักปิ่นเจ้าก็ต้องแต่งงานออกเรือน เจ้าเป็นบุตรีคนเดียวถ้าไม่แต่ง จะให้ข้าโดนชาวบ้านประณามอย่างนั้นเหรอ”
“แต่ข้ารักท่านพ่อ ข้าไม่อยากไปอยู่ที่อื่นนะเจ้าคะ ฮึก ฮือ”
เยว่เยี่ยเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นน้ำใสไหลลงอาบแก้มตามประสาสตรีขี้แย
“หุบปาก!” เขาตวาดกลับมาทันควัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาหวาดกลัวที่สุด กลัวว่าจะใจอ่อนกับนาง “เจ้ากลับไปได้แล้ว! และต่อไปไม่ต้องมาที่ห้องหนังสืออีก เตรียมตัวแต่งงานก็พอ!”
“ท่านพ่อ ฮึก!”
“ข้าบอกให้กลับไป!”
ร่างบอบบางหมุนตัววิ่งออกประตูไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่นางเสียใจที่สุด เสียใจจนถึงขั้นที่ว่าจะตัดใจจากเขา
สองอาทิตย์ต่อมา
จวนตระกูลมู่
ในห้องแต่งตัว แม่สื่อนำผ้าแดงมาคลุมศีรษะเจ้าสาว พลางกล่าว “ไม่ต้องตื่นเต้นนะเจ้าคะ แค่ทำตามที่ข้าบอกรับรองว่าทุกอย่างจะผ่านไปด้วยดี”
เยว่เยี่ยได้แต่พยักหน้า มิรู้ว่าตนเองควรจะตื่นเต้นหรือไม่ นางมีเรื่องให้ขบคิดมากเกินไป จนไม่มีกะจิตกะใจจะคิดถึงเรื่องแต่งงาน
พิธีการเป็นไปอย่างรวบรัด หลังจากกราบไหว้บรรพชน และกราบไหว้ฟ้าดิน เป็นการแสดงความเคารพต่อเทพเจ้าและบรรพบุรุษ ท่ามกลางบรรยากาศชื่นมื่นของผู้คนที่มาร่วมยินดีอย่างเนืองแน่น เสียงดนตรีบรรเลงเพลงมงคลไพเราะเสนาะหูอีกทั้งยังมีการแสดงระบำ ร่ายรำของหญิงสาวสร้างความครึกครื้นให้กับผู้คนภายในงาน
คืนส่งตัวเข้าหอ ฝูเยว่เยี่ย ใบหน้างดงามประทินโฉมสมวัยสาวสะพร่างในชุดฮั่นฝูสีแดงปักลวดลายมงคลจากด้ายดิ้นทองสวยสง่าสมฐานะ แต่ทว่าดวงตาทอประกายความเฉยชาความรู้สึกคับข้องที่คั่งค้างอยู่ภายในใจ เยว่เยี่ยไม่ได้สุขสมหวังเฉกเช่นเจ้าสาวทั่วไป น้ำใสภายใต้ผ้าคลุมหน้าผืนบาง ไหลอาบแก้มชมพูระเรื่อทั้งสองข้าง
จริง ๆ แล้ววันนี้ต้องเป็นวันที่เยว่เยี่ยต้องมีความสุขที่สุดในชีวิตเพราะได้มีสวามีที่ใบหน้าหล่อเหลา ร่างสูงโปร่ง ดูภูมิฐาน เพียบพร้อมไปทั้งชาติตระกูลและสถานะ อีกทั้งยังเป็นบัณฑิตซิ่วไฉ่และยังเป็นที่หมายปองของหญิงสาวอีกมากมาย ป่านนี้หญิงสาวเหล่านั้นคงจะหูตาร้อนผ่าวกันถ้วนหน้า
ห้องหอถูกตกแต่งด้วยผ้าสีแดงและสีทองซึ่งเป็นสีมงคล มีโคมไฟสีแดงที่ให้แสงสลัว สร้างบรรยากาศที่อบอุ่นยิ่งนัก กลิ่นหอมจากดอกโบตั๋น และเครื่องหอมที่เผาให้กลิ่นหอมละมุน เพื่อสร้างบรรยากาศผ่อนคลายในค่ำคืนนี้
ผ้าปูเตียง และชุดเครื่องนอนล้วนมีสีแดงและสีทองที่มีลวดลายมังกร ซึ่งเป็นสีที่นำความโชคดีและความมั่งคั่ง กลีบดอกไม้ถูกโปรยไว้บนเตียงอย่างสวยงาม บรรยากาศอบอวลแฝงไปด้วยห้วงอารมณ์ปรารถนา
ร่างบอบบางลงนั่งบนเตียงโดยไม่มีคำพูดคำจา มีเพียงดวงตาเหม่อลอยเจือด้วยความคะนึงหา ร่างหนาในชุดเจ้าบ่าวสีแดงลงนั่งที่ข้างกาย มือหนาเปิดผ้าคลุมหน้าออกอย่างเบามือ เยว่เยี่ยค่อยๆ ช้อนตามองสบตาที่คนเบื้องหน้าอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่เขาจะดึงมือเยว่เยี่ยมานั่งที่โต๊ะ รินสุราใส่จอก
“เยว่เยี่ยเจ้าช่างงดงามยิ่งนักสมกับที่เป็นบุตรสาวคนเดียวของนายท่านฝู ถึงว่านายท่านดูแลเจ้าเฉกเช่นลูกนกในกรงทองเป็นอย่างดี เป็นบุญของข้าดียิ่งที่ได้ครอบครองตัวเจ้าในวันนี้”
ใบหน้างดงามยังคงเรียบเฉยแสดงออกถึงความเฉยชาที่มีต่อคนเบื้องหน้า จอกสุราถูกหยิบขึ้นมากระดกพรวดเข้าไปทีเดียว ความร้อนแผ่ซ่านไปทั่วเรือนร่าง รูขุมขนลุกตั้งชันทั้งภายในและภายนอก ใบหน้าเหย่เก ดวงตาปิดหยีเพราะฤทธิ์ร้อนของสุราดอกท้อ ไม่กี่ลมหายใจร่างของเยว่เยี่ยก็แทบจะไร้สติมีเพียงอาการสะลึมสะลือเข้าครอบงำ
ชุดแต่งงานของทั้งสองหลุดออกจากร่างจนหมด หรงเหยียนเล้าโลมนางอย่างตะกละตะกลาม ก่อนจะช้อนสองขาเรียวขึ้น ค่อย ๆ ฝังตัวตนเข้าไปในร่างของนาง เยว่เยี่ยจากที่ไร้อารมณ์ก็ปลดปล่อยเสียงอืออาขึ้นมาด้วยอารมณ์ตอบสนองที่ช่องทางอ่อนนุ่มฉีกขาดความบริสุทธิ์
แต่ทว่าภายในใจยังคงคิดถึงคราที่เคยร่วมรักกับเส้าชิงจึงเผลอครางเสียงกระเส่าออกมาแบบไม่รู้ตัว” ท่านพ่อ อื้อ” คนด้านบนผงะไปชั่วครู่แต่ไม่ได้ใส่ใจมากนักเพราะลิ้นกำลังพัลวันไปทั่วเรือนร่างเบื้องหน้าอย่างเอร็ดอร่อย ด้วยสุราดอกท้อทั้งสองกระดกกันไปหลายจอกจึงทำให้ห้วงอารมณ์ของทั้งคู่เร่าร้อนไปหลายรอบหลายชั่วยามจนกระทั่งฤทธิ์ร้อนของสุราคลายลง ก็เกือบฟ้าสางนอนทาบทับกันสลบไสลไปบนเตียง
ค่ำคืนเดียวกันในห้องตำราของจวนตระกูลฝู ทางฝั่งฝูเส้าชิงก็มิได้หลับได้นอน ตำราในมือเปิดอ่านขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่ยามซวีถึงตอนนี้เป็นเวลายามเหมา จนเขาเผลอหลับไปพร้อมกับเรื่องครุ่นคิดภายในใจที่ไม่สามารถระบายออกมาได้ กับลูกนอกไส้ที่มีความสัมพันธ์เกินเลยแทบจะกู่ไม่กลับแล้ว
อีกทั้งความรู้สึกจากการกระทำกับเยว่เยี่ยจากความแค้นกลายเป็นความรัก ความห่วงหาอาทรเข้าแทนที่ ภาพเบื้องหน้าของเส้าชิง เกิดขึ้นในห้องหอของคู่แต่งงาน สองร่างนอนระเริงสวาทกันอย่างมีความสุข เสียงครางกระเส่าดังขึ้น “ท่านพ่อ” เส้าชิงสะดุ้งเฮือกดวงตาเบิกโพลงตื่นจากห้วงภวังค์ฝันร้าย ลมหายใจสูดเข้าลึกเต็มปอด ดึงสติกลับมาพึมพำกับตน “มันก็แค่ความฝัน” แสงแดดอ่อนยามเช้าทำให้เขาสลัดเรื่องในหัวออก รีบเร่งฝีเท้ากับเรือนอย่างฉับพลัน
ย่างเข้าเดือนหก ท้องฟ้าเริ่มโปร่งใส ใบไม้เริ่มจะเปลี่ยนสีเตรียมร่วงโรยออกจากต้น ลมฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศในเมืองสุ่ยเปี้ยนแลดูร่มรื่นขึ้นเป็นกอง ผู้คนเริ่มออกมาสัญจรไปมากันขวักไขว่ พ่อค้าแม่ค้า พากันกู่ร้องขายของกันอย่างคึกคักป่าดอกท้อนอกเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชายหนุ่มหญิงสาวมักแอบมาพลอดรักกัน ท่ามกลางดอกท้อปลิดปลิวในฤดูใบไม้ร่วง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม แต่ก่อนที่ฝ่ามือของฝ่ายชายจะทันได้ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของฝ่ายหญิง ทั้งร่างก็ถูกกระชากอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ครั้นฝ่ายหญิงเห็นว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ ดวงตาของนางพลันเบิกโพลง“ท่านพ่อ!”ฝูเยว่เยี่ยย่อมรู้บิดาโหดร้ายแค่ไหน ใบหน้างามจึงซีดเผือด แขนบอบบางถูกกระชากอย่างแรงผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อไม่สนใจสักนิดว่านางจะเจ็บหรือไม่ เขาลากร่างเล็กอย่างไม่ปรานีปราศรัย แล้วจับไปโยนใส่รถม้าบนถนนเรียบแม่น้ำฮู่ยโห มีจวนใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ป้ายชื่อบนซุ้มประตูเป็นสีทองอร่าม ไม่มีผู้ใดในเมืองที่จะไม่รู้ว่าอักษรคำว่าจวนตระกูลฝูนั้น เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของไท่ซางหวง บ่งบอกถึงคุณงามความดีที่เจ้าของจวนกระทำเพื่อแผ่นดิน ว่ากันว่าแม้แ
ในเรือนไผ่งามดวงตาบวมแดงของเด็กสาวยังคงเหม่อลอย เยว่เยี่ยปล่อยให้แม่นมอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายจนเสร็จโดยไม่มีการตอบสนอง ท่านพ่อที่นางโหยหามาตั้งแต่วัยเยาว์กลับกระทำกับนางเช่นนี้ จิตใจของเยว่เยี่ยมีหรือจะไม่บอบช้ำ ตอนยังเด็ก นางเคยภาวนาขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มจากเขา แต่จนแล้วจนรอดท่านพ่อก็ไม่เคยยิ้มให้นาง ทุกครั้งเจอ หากไม่ดุด่า นางก็จะถูกตีเพราะเช่นนี้ เยว่เยี่ยจึงมักทำผิดบ่อย ๆ เพื่อจะได้เจอหน้าท่านพ่อ แต่ใครจะรู้ ว่าท่านพ่อที่นางโหยหา กลับไม่ใช่พ่อแท้ ๆ คิดแล้ว น้ำตาของเยว่เยี่ยก็ไหลลงมาอาบแก้มแม่นมเฉาถือถ้วยยาเดินเข้ามาเห็น รู้สึกสะท้อนใจยิ่ง คุณหนูของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก มารดาไม่ใส่ใจ บิดาไม่ใช่บิดา เรื่องนี้จะโทษใครได้ คงเป็นเวรกรรม คิดแล้วแม่นมเฉาได้แต่ทำใจ เดินถือถ้วยยาเข้าไปหาเด็กสาวบนเตียง“คุณหนูยาเจ้าค่ะ”แค่ได้กลิ่น ใบหน้าซีดเซียวก็เบือนหน้าหนีแล้ว“แม่นมเฉา ข้าไม่กินได้หรือไม่” เยว่เยี่ยส่ายหน้าไปมา นางเป็นคนกินยายากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งแม่นมเฉาเองค่อนข้างอ่อนใจกับเรื่องนี้ สุดท้าย แม่นมเฉาก็ไม่กล้าบังคับ“ถ้าอย่างงั้นคุณหนูนอนพักผ่อนนะเจ้าคะ”ไม่ต้องรอให้แม่นมเฉาบอก เยว
นางถูกเลี้ยงดูโดยแม่นมเฉาตั้งแต่ยังเยาว์ มารดาของนางแทบจะจดจำใบหน้าไม่ได้ บิดาต่างสายเลือดเคยบอกไว้ว่ามารดาของนางป่วยเป็นโรคประหลาดจึงกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดตั้งแต่เย่วเยี่ยยังมิได้ความ นางเติบโตและคลุกคลีอยู่กับบ่าวไพร่ในจวน ส่วนเส้าชิงก็ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเห็นตาเพราะต้องเดินทางทำการค้าที่ต่างเมืองอยู่บ่อยครั้งเยว่เยี่ยกลายเป็นบุตรีที่ขาดแคลนความรักความอบอุ่นจากบุพการี คำสั่งสอนส่วนใหญ่จะมาจากแม่นมเฉาซิ่น แต่ก็ไม่ได้เป็นคำสั่งสอนที่ดีนัก นางจึงคล้อยตามบ้างแหวกกฎบ้าง เฉกเช่นเหตุการณ์ที่นางแอบไปพบกับผู้ชายในป่าดอกท้อ ด้วยวัยที่อยากริอยากลองของเด็กสาวจึงทำให้นางแอบไปพลอดรักกับมู่หรงเหยียน ลูกชายคนโตตระกูลมู่เช้าวันต่อมา อากาศค่อนข้างจะสดใสแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เสียงนกร้องกระจิบกระจับ แม่นมเฉาเข้ามาช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้กับเยว่เยี่ย นางทำหน้าที่อย่างเต็มที่และเต็มใจ ความรักและทะนุถนอมเฉกเช่นลูกในไส้ของตน“แม่นม ข้าทำเองก็ได้ ข้าโตแล้วนะ ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว”“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูต้องให้นมสางผมให้ เพราะว่าตอนยังเยาว์ คุณหนูเคยกรีดร้องลั่น วิ่งไปทั่วจวนผมเผ้ายุ่งเหยิง ตะโกนโยเยจะให้นมสางผ
ย้อนไปเมื่อสิบหกปีก่อนฝูเส้าชิงรักสตรีนางหนึ่งจนหมดใจ และได้แต่งกับนางตอนอายุสิบเจ็ด หลังจากแต่งงานกันได้หนึ่งเดือน ด้วยความที่เป็นลูกพ่อค้า เส้าชิงต้องเดินทางไปต่างเมืองบ่อยครั้ง สองสามเดือนแรกยังไม่มีอะไร ทว่าพอเข้าเดือนที่สี่ ภรรยาของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปนางเย็นชา อีกทั้งไม่ยอมให้เขาหลับนอนด้วย จนกระทั่งเข้าเดือนที่ห้า คืนนั้นไม่มีผู้ใดทราบว่าเส้าชิงกลับมา มีคนบอกว่าภรรยาของเขากลับไปดูแลมารดาที่กำลังป่วยแต่ฝูเส้าชิงไม่ได้เชื่อเช่นนั้น ในกระท่อมกลางป่านอกเมือง ภาพที่เขาเห็น คือภรรยาอันเป็นที่รักกำลังเสพสังวาสกับชายอื่นภาพที่นางร่างกายเปลือยเปล่านั่งคร่อมช่วงล่างของชายผู้นั้นยังติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดไปถึงอดีต อวัยวะเบื้องล่างยิ่งจ้วงแทงหนักขึ้น โดยไม่กลัวว่าช่องทางอ่อนนุ่มจะฉีกขาด ประหนึ่งว่าต้องการใช้ทัณฑ์นี้ระบายความเคียดแค้นตลอดหลายปีที่มีมา สองมือที่จับยึดปทุมถันอวบอัดไว้อย่างละข้างออกแรงบีบขยำอย่างไร้ความปรานีท่อนกายแกร่งขนาดผิดธรรมดา มุดเข้าออกช่องทางด้านหลังของบุตรสาวต่างสายเลือดแทนการลงหวายในขณะที่เยว่เยี่ยคิดว่าตนคงต้องตาย ร่างกายกลับมีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่ น
เจ็ดวันต่อมาวันนี้ตระกูลมู่ส่งแม่สื่อไปทาบทามคุณหนูตระกูลฝูการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากตกลงแลกวันเดือนปีเกิดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่สื่อที่มาก็กลับไปแจ้งแก่คนตระกูลมู่สามวันหลังจากนั้น รถม้าสองคันก็มาหยุดหน้าประตูจวนตระกูลฝู เพื่อส่งของหมั้นหมายหีบทรงสี่เหลี่ยมทำจากไม้จันทน์แดงสลักลวดลายดอกโบตั๋นลงรักสีแดงและปิดทองประดับตกแต่งหรูหราบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของผู้ที่ส่งมอบ ชายรูปร่างกำยำหกคนช่วยกันแบกหีบสามใบทยอยเข้ามาภายในบรรจุ ทองคำแท่ง เครื่องประดับเงิน รวมถึงสร้อยคอ กำไล แหวน ต่างหู และปิ่นปักผม เครื่องประดับที่ทำจากหยกถือเป็นของที่มีค่าสูงผ้าไหมเนื้อละเอียดและผ้าฝ้ายคุณภาพสูงที่มีลวดลายสวยงาม มักจะถูกมอบให้ฝ่ายหญิงเพื่อใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า ผ้าที่ปักลวดลายดอกไม้และสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคล เพราะเชื่อว่าจะนำโชคลาภและความคุ้มครองมาให้ทุกหีบถูกเปิดออกเพื่อให้ฝ่ายเจ้าสาวตรวจดู หลังจากพ่อบ้านตรวจตราดีแล้ว คนตระกูลมู่ก็พากันกลับฝูเส้าชิงสั่งให้ยกทุกหีบไปที่เรือนบุตรี โดยไม่คิดจะเหลือบมองมัน แม้แต่ตัวเขาเองตอนนี้ ยังไม่รู้ว่ากำลังคิดส
“ท่านพ่อ ท่านใจร้ายเกินไปที่ทำกับข้าเช่นนี้ ฮึก ฮือ”“ข้าเองก็ไม่เห็นว่าเจ้าจะขัดขืน เสียงครางของเจ้าบ่งบอกถึงไฟร่านในตัวเหมือนแม่เจ้าไม่มีผิด หึ”น้ำเสียงแข็งกร้าวตะคอกออกมาด้วยความเคียดแค้นภายในใจของเส้าชิง“ข้าอยากรู้ว่าทำไมท่านถึงต้องให้ข้าแต่งงานกับมู่หรงเหยียนด้วย ข้าไม่อยากแต่ง” เยว่เยี่ยยังเอ่ยถามเขาต่อด้วยเสียงสั่นเครือ มือเรียวบางเอื้อมโอบกอดอกแกร่งไว้แต่ไม่เป็นผลเส้าชิงผละออก พลันลุกจัดแต่งอาภรณ์“ถึงวัยปักปิ่นเจ้าก็ต้องแต่งงานออกเรือน เจ้าเป็นบุตรีคนเดียวถ้าไม่แต่ง จะให้ข้าโดนชาวบ้านประณามอย่างนั้นเหรอ”“แต่ข้ารักท่านพ่อ ข้าไม่อยากไปอยู่ที่อื่นนะเจ้าคะ ฮึก ฮือ”เยว่เยี่ยเอ่ยด้วยเสียงสะอึกสะอื้นน้ำใสไหลลงอาบแก้มตามประสาสตรีขี้แย“หุบปาก!” เขาตวาดกลับมาทันควัน เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เขาหวาดกลัวที่สุด กลัวว่าจะใจอ่อนกับนาง “เจ้ากลับไปได้แล้ว! และต่อไปไม่ต้องมาที่ห้องหนังสืออีก เตรียมตัวแต่งงานก็พอ!”“ท่านพ่อ ฮึก!”“ข้าบอกให้กลับไป!”ร่างบอบบางหมุนตัววิ่งออกประตูไปพร้อมกับเสียงสะอื้นไห้ ครั้งนี้เป็นครั้งที่นางเสียใจที่สุด เสียใจจนถึงขั้นที่ว่าจะตัดใจจากเขาสองอาทิตย์ต่อมาจวนตร
เจ็ดวันต่อมาวันนี้ตระกูลมู่ส่งแม่สื่อไปทาบทามคุณหนูตระกูลฝูการเจรจาเป็นไปอย่างราบรื่น หลังจากตกลงแลกวันเดือนปีเกิดกันเป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม่สื่อที่มาก็กลับไปแจ้งแก่คนตระกูลมู่สามวันหลังจากนั้น รถม้าสองคันก็มาหยุดหน้าประตูจวนตระกูลฝู เพื่อส่งของหมั้นหมายหีบทรงสี่เหลี่ยมทำจากไม้จันทน์แดงสลักลวดลายดอกโบตั๋นลงรักสีแดงและปิดทองประดับตกแต่งหรูหราบ่งบอกถึงความมั่งคั่งร่ำรวยของผู้ที่ส่งมอบ ชายรูปร่างกำยำหกคนช่วยกันแบกหีบสามใบทยอยเข้ามาภายในบรรจุ ทองคำแท่ง เครื่องประดับเงิน รวมถึงสร้อยคอ กำไล แหวน ต่างหู และปิ่นปักผม เครื่องประดับที่ทำจากหยกถือเป็นของที่มีค่าสูงผ้าไหมเนื้อละเอียดและผ้าฝ้ายคุณภาพสูงที่มีลวดลายสวยงาม มักจะถูกมอบให้ฝ่ายหญิงเพื่อใช้ในการตัดเย็บเสื้อผ้า ผ้าที่ปักลวดลายดอกไม้และสัตว์เป็นสัญลักษณ์ของความเจริญรุ่งเรืองและความเป็นสิริมงคล เพราะเชื่อว่าจะนำโชคลาภและความคุ้มครองมาให้ทุกหีบถูกเปิดออกเพื่อให้ฝ่ายเจ้าสาวตรวจดู หลังจากพ่อบ้านตรวจตราดีแล้ว คนตระกูลมู่ก็พากันกลับฝูเส้าชิงสั่งให้ยกทุกหีบไปที่เรือนบุตรี โดยไม่คิดจะเหลือบมองมัน แม้แต่ตัวเขาเองตอนนี้ ยังไม่รู้ว่ากำลังคิดส
ย้อนไปเมื่อสิบหกปีก่อนฝูเส้าชิงรักสตรีนางหนึ่งจนหมดใจ และได้แต่งกับนางตอนอายุสิบเจ็ด หลังจากแต่งงานกันได้หนึ่งเดือน ด้วยความที่เป็นลูกพ่อค้า เส้าชิงต้องเดินทางไปต่างเมืองบ่อยครั้ง สองสามเดือนแรกยังไม่มีอะไร ทว่าพอเข้าเดือนที่สี่ ภรรยาของเขาก็เริ่มเปลี่ยนไปนางเย็นชา อีกทั้งไม่ยอมให้เขาหลับนอนด้วย จนกระทั่งเข้าเดือนที่ห้า คืนนั้นไม่มีผู้ใดทราบว่าเส้าชิงกลับมา มีคนบอกว่าภรรยาของเขากลับไปดูแลมารดาที่กำลังป่วยแต่ฝูเส้าชิงไม่ได้เชื่อเช่นนั้น ในกระท่อมกลางป่านอกเมือง ภาพที่เขาเห็น คือภรรยาอันเป็นที่รักกำลังเสพสังวาสกับชายอื่นภาพที่นางร่างกายเปลือยเปล่านั่งคร่อมช่วงล่างของชายผู้นั้นยังติดตามาจนถึงทุกวันนี้ ยิ่งคิดไปถึงอดีต อวัยวะเบื้องล่างยิ่งจ้วงแทงหนักขึ้น โดยไม่กลัวว่าช่องทางอ่อนนุ่มจะฉีกขาด ประหนึ่งว่าต้องการใช้ทัณฑ์นี้ระบายความเคียดแค้นตลอดหลายปีที่มีมา สองมือที่จับยึดปทุมถันอวบอัดไว้อย่างละข้างออกแรงบีบขยำอย่างไร้ความปรานีท่อนกายแกร่งขนาดผิดธรรมดา มุดเข้าออกช่องทางด้านหลังของบุตรสาวต่างสายเลือดแทนการลงหวายในขณะที่เยว่เยี่ยคิดว่าตนคงต้องตาย ร่างกายกลับมีความรู้สึกอื่นเข้ามาแทนที่ น
นางถูกเลี้ยงดูโดยแม่นมเฉาตั้งแต่ยังเยาว์ มารดาของนางแทบจะจดจำใบหน้าไม่ได้ บิดาต่างสายเลือดเคยบอกไว้ว่ามารดาของนางป่วยเป็นโรคประหลาดจึงกลับไปรักษาตัวที่บ้านเกิดตั้งแต่เย่วเยี่ยยังมิได้ความ นางเติบโตและคลุกคลีอยู่กับบ่าวไพร่ในจวน ส่วนเส้าชิงก็ไม่ค่อยจะได้เห็นหน้าเห็นตาเพราะต้องเดินทางทำการค้าที่ต่างเมืองอยู่บ่อยครั้งเยว่เยี่ยกลายเป็นบุตรีที่ขาดแคลนความรักความอบอุ่นจากบุพการี คำสั่งสอนส่วนใหญ่จะมาจากแม่นมเฉาซิ่น แต่ก็ไม่ได้เป็นคำสั่งสอนที่ดีนัก นางจึงคล้อยตามบ้างแหวกกฎบ้าง เฉกเช่นเหตุการณ์ที่นางแอบไปพบกับผู้ชายในป่าดอกท้อ ด้วยวัยที่อยากริอยากลองของเด็กสาวจึงทำให้นางแอบไปพลอดรักกับมู่หรงเหยียน ลูกชายคนโตตระกูลมู่เช้าวันต่อมา อากาศค่อนข้างจะสดใสแสงแดดอ่อน ๆ ยามเช้า เสียงนกร้องกระจิบกระจับ แม่นมเฉาเข้ามาช่วยอาบน้ำแต่งตัวให้กับเยว่เยี่ย นางทำหน้าที่อย่างเต็มที่และเต็มใจ ความรักและทะนุถนอมเฉกเช่นลูกในไส้ของตน“แม่นม ข้าทำเองก็ได้ ข้าโตแล้วนะ ไม่ได้เป็นเด็กแล้ว”“ไม่ได้นะเจ้าคะ คุณหนูต้องให้นมสางผมให้ เพราะว่าตอนยังเยาว์ คุณหนูเคยกรีดร้องลั่น วิ่งไปทั่วจวนผมเผ้ายุ่งเหยิง ตะโกนโยเยจะให้นมสางผ
ในเรือนไผ่งามดวงตาบวมแดงของเด็กสาวยังคงเหม่อลอย เยว่เยี่ยปล่อยให้แม่นมอาบน้ำทำความสะอาดร่างกายจนเสร็จโดยไม่มีการตอบสนอง ท่านพ่อที่นางโหยหามาตั้งแต่วัยเยาว์กลับกระทำกับนางเช่นนี้ จิตใจของเยว่เยี่ยมีหรือจะไม่บอบช้ำ ตอนยังเด็ก นางเคยภาวนาขอแค่ได้เห็นรอยยิ้มจากเขา แต่จนแล้วจนรอดท่านพ่อก็ไม่เคยยิ้มให้นาง ทุกครั้งเจอ หากไม่ดุด่า นางก็จะถูกตีเพราะเช่นนี้ เยว่เยี่ยจึงมักทำผิดบ่อย ๆ เพื่อจะได้เจอหน้าท่านพ่อ แต่ใครจะรู้ ว่าท่านพ่อที่นางโหยหา กลับไม่ใช่พ่อแท้ ๆ คิดแล้ว น้ำตาของเยว่เยี่ยก็ไหลลงมาอาบแก้มแม่นมเฉาถือถ้วยยาเดินเข้ามาเห็น รู้สึกสะท้อนใจยิ่ง คุณหนูของนางช่างน่าสงสารยิ่งนัก มารดาไม่ใส่ใจ บิดาไม่ใช่บิดา เรื่องนี้จะโทษใครได้ คงเป็นเวรกรรม คิดแล้วแม่นมเฉาได้แต่ทำใจ เดินถือถ้วยยาเข้าไปหาเด็กสาวบนเตียง“คุณหนูยาเจ้าค่ะ”แค่ได้กลิ่น ใบหน้าซีดเซียวก็เบือนหน้าหนีแล้ว“แม่นมเฉา ข้าไม่กินได้หรือไม่” เยว่เยี่ยส่ายหน้าไปมา นางเป็นคนกินยายากมาตั้งแต่ไหนแต่ไร ซึ่งแม่นมเฉาเองค่อนข้างอ่อนใจกับเรื่องนี้ สุดท้าย แม่นมเฉาก็ไม่กล้าบังคับ“ถ้าอย่างงั้นคุณหนูนอนพักผ่อนนะเจ้าคะ”ไม่ต้องรอให้แม่นมเฉาบอก เยว
ย่างเข้าเดือนหก ท้องฟ้าเริ่มโปร่งใส ใบไม้เริ่มจะเปลี่ยนสีเตรียมร่วงโรยออกจากต้น ลมฤดูใบไม้ร่วงทำให้อากาศในเมืองสุ่ยเปี้ยนแลดูร่มรื่นขึ้นเป็นกอง ผู้คนเริ่มออกมาสัญจรไปมากันขวักไขว่ พ่อค้าแม่ค้า พากันกู่ร้องขายของกันอย่างคึกคักป่าดอกท้อนอกเมือง ซึ่งเป็นสถานที่ที่ชายหนุ่มหญิงสาวมักแอบมาพลอดรักกัน ท่ามกลางดอกท้อปลิดปลิวในฤดูใบไม้ร่วง ชายหญิงคู่หนึ่งกำลังยืนจุมพิตกันอย่างดูดดื่ม แต่ก่อนที่ฝ่ามือของฝ่ายชายจะทันได้ล้วงเข้าไปในสาบเสื้อของฝ่ายหญิง ทั้งร่างก็ถูกกระชากอย่างแรงจนกระเด็นไปกระแทกต้นไม้ครั้นฝ่ายหญิงเห็นว่าผู้ใดเป็นคนลงมือ ดวงตาของนางพลันเบิกโพลง“ท่านพ่อ!”ฝูเยว่เยี่ยย่อมรู้บิดาโหดร้ายแค่ไหน ใบหน้างามจึงซีดเผือด แขนบอบบางถูกกระชากอย่างแรงผู้ที่ถูกเรียกว่าท่านพ่อไม่สนใจสักนิดว่านางจะเจ็บหรือไม่ เขาลากร่างเล็กอย่างไม่ปรานีปราศรัย แล้วจับไปโยนใส่รถม้าบนถนนเรียบแม่น้ำฮู่ยโห มีจวนใหญ่อยู่หลังหนึ่ง ป้ายชื่อบนซุ้มประตูเป็นสีทองอร่าม ไม่มีผู้ใดในเมืองที่จะไม่รู้ว่าอักษรคำว่าจวนตระกูลฝูนั้น เขียนด้วยลายพระหัตถ์ของไท่ซางหวง บ่งบอกถึงคุณงามความดีที่เจ้าของจวนกระทำเพื่อแผ่นดิน ว่ากันว่าแม้แ