"แม่ดอกแก้ว พี่ขอตัวสักครู่ พี่จักไปทักทายสหายตรงนั้นเสียหน่อย"
หมื่นเดชาหาญณรงค์กล่าวกับร่างแน่งน้อยที่กำลังลิ้มชิมรสชาติขนมหวานของฝรั่งด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสหายกำลังล่ำสุรากันอยู่ ด้วยอีกฝั่งนั้นมีแต่บุรุษจึงไม่อยากพานางไปด้วย เขามีเรื่องจะเจรจากับเหล่าสหายสักสองสามคำ
"เจ้าค่ะคุณพี่เดช เชิญท่านตามสบายไม่ต้องห่วงข้า ข้าก็จะไปสุขาสักครู่"
ดอกแก้วที่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว ทุกอากัปกิริยาล้วนตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่ง
หลังจากออกมาจากการทำธุระส่วนตัว ดอกแก้วก็เดินกลับมาตามเส้นทางเล็กที่เป็นส่วนของห้องสุขาของร้าน แต่ข้างหน้ากลับถูกขวางเอาไว้โดยชายตาน้ำข้าวตัวสูงใหญ่ท่าทางเมามาย
"โปรดหลีกทางด้วยเจ้าค่ะ"
เสียงหวานที่เอ่ยกับชายตรงหน้าด้วยความระแวดระวัง แต่อีกฝ่ายกลับใช้สายตามองนางอย่างแทะโลมจนใบหน้างามแดงก่ำอย่างขุ่นเคือง ก่อนชายผู้นั้นจะย่างสามขุมเข้ามาหานาง ร่างบางที่ถอยหนีมองชายตัวสูงใหญ่อย่างตื่นตระหนก ดวงตากลมโตมองหาทางหนีทีไล่อย่างหวาดกลัว แต่ราวกับสวรรค์ชัง นรกกลั่นแกล้ง บริเวณนั้นไม่ปรากฏแม้แต่เงาของผู้ใดเลย
"จะทำอะไรน่ะ ถอยออกไปเดี๋ยวนี้นะ มิเช่นนั้นข้าจักร้องให้คนช่วย"
นางสะกดกลั้นความกลัวเอ่ยกับอีกฝ่าย แต่ชายผู้นั้นหาได้ฟังคำของนางไม่ ยังคงสาวเท้าเข้ามาหาร่างบาง นางถอยหนีจนสัมผัสกับความเย็นเฉียบที่แนบแผ่นหลังบอบบางทำให้กายงามหนาวเยือกสั่นสะท้าน เพราะนางกำลังไร้ซึ่งทางหนี ฝรั่งตัวสูงใหญ่เบื้องหน้าแสยะยิ้มส่งมาให้ เมื่อเห็นว่าโฉมสะคราญที่มันหมายตาไร้ทางที่จะหนีอีก เรียวลิ้นสีแดงก่ำของฝรั่งผู้นั้นไล้ริมฝีปากแลดูน่าขยะแขยง ริมฝีปากอวบอิ่มหวีดร้องออกมาจนสุดเสียงอย่างหวาดกลัว เมื่อร่างหนานั้นพุ่งเข้ามาหานาง กลิ่นสุราลอยมาปะทะใบหน้าจนอยากจะอาเจียน สองแขนเสลายกขึ้นมาเป็นเกราะป้องภัยตามสัญชาตญาณ แต่เวลาผ่านไปอยู่เป็นนานกลับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น แขนเรียวเล็กจึงค่อยๆ ลดต่ำลง สายตาตื่นตระหนกเพ่งมองไปเบื้องหน้า ภาพที่ปรากฏตรงหน้าทำให้ดวงตากลมโตเบิกกว้าง ชายฝรั่งคนนั้น ตอนนี้นอนหมดสติอยู่แทบเท้าของใครบางคน สายตาหวานไล่มองปลายเท้าบุรุษผู้ช่วยเหลือไล่สายตาขึ้นมาตามเรือนร่างสูง แผงอกกว้างกำยำ ลำคอแกร่ง มาจนถึงใบหน้าหล่อเหลาคมคายเมื่อเห็นอีกฝ่ายเต็มตาทำให้ลมหายใจของนางสะดุดลง
"ท่าน"
เรียวปากอิ่มที่เอ่ยได้เพียงแค่นั้นก็เม้มแน่น
"ข้าช่วยเจ้าเป็นครั้งที่สองแล้ว จะไม่ขอบคุณกันเสียหน่อยหรือ คุณหนูดอกแก้ว"
เสียงทุ้มที่เอ่ยขึ้นทำให้นางที่หาเสียงตัวเองไม่เจอเอ่ยขึ้นเสียงเบา
"ขอบคุณท่านมากเจ้าค่ะ ที่ช่วยเหลือ"
เสียงหวานที่เอ่ยอย่างเสียมิได้พร้อมยกมือขึ้นไหว้อีกฝ่ายไม่ใคร่จะเต็มใจนัก
บุรุษผู้นี้เป็นคนเดียวกับที่ช่วยเหลือหนูยิ้มจากการตกน้ำในวันนั้น และเป็นคนเดียวกับบุรุษที่เฉิดจันทร์สนิทสนมด้วย แต่ถึงแม้ว่าเขาจะช่วยนางถึงสองครั้งสองคราดังคำที่เขาว่า แต่นางก็ไม่คิดที่จะอยากเสวนากับอีกฝ่าย สาเหตุน่ะหรือ เพราะนางรู้ว่าบุรุษผู้นี้หาใช่คนดีอย่างไรเล่า ที่เขายื่นมือเข้ามาช่วยเหลือนางนั้นก็เพราะมีจุดประสงค์แอบแฝง บุรุษเฒ่าหัวงู มักมากในกามารมณ์ ช่างน่าชังยิ่งนัก
ราวกับอีกฝ่ายล่วงรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด รอยยิ้มที่มักใช้ล่อลวงสตรีก็ปรากฏบนใบหน้าคมเข้มนั้น แต่ขอโทษด้วยที่มันไม่สามารถใช้กับนางได้
ใบหน้าหล่อเหลาที่ปรากฏรอยยิ้มร้ายกาจ ทำให้ภาพความทรงจำที่นางคิดว่าลืมเลือนมันไปเสียแล้ว แต่ทว่านางคิดผิด ความทรงจำนั้นยังคงแจ่มชัดราวกับมันพึ่งจะเกิดขึ้น บุรุษผู้นี้คือบุรุษที่พรากจูบแรกของนางไป
หลายเดือนก่อน...
เสียงวิ่งกระหืดกระหอบของนายกล่ำบ่าวคนสนิทของบิดาที่วิ่งขึ้นเรือนมาหน้าตาตื่น ทำให้ดอกแก้ววางปลอกหมอนที่กำลังปักในมือลง เดินเข้าไปหาอีกฝ่าย
"เกิดอันใดขึ้นพี่กล่ำ แล้วคุณพ่อเล่า"
กล่ำที่ยกมือขึ้นปาดเหงื่อบนหน้าผากรีบคลานเข่าเข้าไปหาเอ่ยละล่ำละลักกับคุณหนูของตน
"คุณพระ คุณพระเกิดเรื่องขอรับคุณหนู ตอนนี้อยู่ที่บ่อนของพวกฝรั่งขอรับ"
"อะไรนะ อีกแล้วรึ"
คำบอกเล่าของกล่ำทำให้ดอกแก้วหลับตาแน่นอย่างพยายามอดกลั้นอารมณ์ ก่อนที่ร่างบางจะหันหลังเดินกลับเข้าไปในเรือนนอนของตน คว้าเอากล่องเครื่องประดับที่เหลืออยู่เป็นชุดสุดท้ายและเงินอีกนิดหน่อยที่เป็นทรัพย์สินส่วนตัวของนางเอง เร่งฝีเท้าตามนายกล่ำไปยังบ่อนการพนันสถานที่ที่เป็นศูนย์รวมของความต่ำตม แต่น่าแปลกที่ผู้เป็นบิดาชมชอบที่จะไปเกลือกกลั้วและครั้งนี้เป็นครั้งที่สามแล้วที่เกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น
ร่างบอบบางของโฉมสะคราญที่มาหยุดยืนอยู่หน้าอาคารใหญ่โตร่วมสมัย ก่อนเท้าเล็กๆ นั้นจะก้าวเข้าไปด้านในที่มีเหล่าบุรุษและสตรีแต่งกายอย่างโก้หรู นางมาเยือนสถานที่แห่งนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว สถานที่แห่งนี้แม้จะดูหรูหราทันสมัย แต่กลับเป็นสถานที่ที่น่ารังเกียจ เพราะมันเป็นดังภูตผีปีศาจที่สูบเลือดสูบเนื้อ ทำให้ผู้คนลุ่มหลงมัวเมา แต่ก็น่าขันยิ่งนักบิดาของนางพบรักกับภริยาคนใหม่ที่นี่ สตรีนางนั้นพาความฉิบหายมาสู่ครอบครัวของนางอย่างแท้จริง
ดอกแก้วที่ก้าวเดินมุ่งตรงไปยังชั้นสองของตัวอาคาร ด้านบนนั้นถูกแบ่งเป็นห้องใหญ่หลายห้อง ก่อนนางจะพุ่งสายตาไปยังห้องใหญ่ที่สุดของชั้นนี้ เพราะรู้ดีว่าตอนนี้บิดาคงอยู่ในห้องนั้น เพราะสองครั้งที่นางมาที่นี่ บิดาถูกเชิญไปคุยเป็นการส่วนตัวภายในห้องนั้นเพราะแพ้พนันแล้วไม่มีเงินจ่ายแต่ครั้งนี้เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพตรงหน้ากลับทำให้ร่างบางแข็งค้าง เพราะเบื้องหน้าหาใช่ผู้เป็นบิดาดังที่คิด แต่กลับเป็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างถึงพริกถึงขิง และนางเข้ามาขัดขวางอารมณ์รัญจวนของผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ"ว้าย ตาเถร"คนทั้งคู่ที่ผละออกจากกันหันมามองตามเสียงอุทานของนาง ทำให้นางพลันได้สติเอ่ยออกไปเสียงตะกุกตะกัก"ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า...เข้าห้องผิด"ใบหน้างามที่ร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ก้มต่ำลง ทำท่าจะถอยออกไปแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงของบุรุษที่อยู่ในห้อง"หากเจ้าคือแม่หญิงดอกแก้ว บุตรีของคุณพระสรเดชก็ไม่ผิดหรอก"ใบหน้างามที่ขึ้นสีระเรื่อของดอกแก้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของบุรุษเบื้องหน้าอย่างฉงน นางมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้หาใช่เจ้าของบ่อนเป็นแน่ เพราะนางเคยเจอเจ้าของบ่อนแห่งนี้มาส
ดอกแก้วมองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองนางอย่างตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากบุรุษตรงหน้า สายตาพราวระยับที่จ้องมองมาทำให้นางต้องกลืนน้ำลายลงคอที่ตอนนี้มันแห้งผาก ก่อนจะเม้มปากแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ฟาดใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า นางรู้ดีว่าการใช้กำลังไม่ใช่ทางออกที่ดีนักสำหรับนาง อีกฝ่ายเป็นบุรุษตัวสูงใหญ่ถึงเพียงนี้ นางคงมีแต่เสียเปรียบ ทั้งที่ความจริงอยากฟาดปากอีกฝ่ายให้เลือดกบ คิดได้เช่นนั้นใบหน้างามจึงหยัดยิ้มขึ้นเล็กน้อยซึ่งมันก็ฝืดเฝื่อนเต็มที บังคับเสียงของตนเองไม่ให้สั่นเมื่อเอ่ยกับอีกฝ่าย"ข้าว่าคงมีการเข้าใจอะไรผิด แต่ก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าข้าจะหาเงินส่วนที่เหลือมาใช้คืนท่านให้เร็วที่สุด ขอตัวเจ้าค่ะ"กล่าวจบก็หยัดยืนขึ้นทันที แต่ไม่ทันที่นางจะได้หันหลังเดินออกไป แขนเรียวกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือใหญ่ พร้อมแรงดึงเพียงนิดร่างบางก็เซถลาเข้าไปปะทะอกแกร่ง ความร้อนจากแผงอกกว้างและกลิ่นอายของบุรุษเพศเข้มข้นที่กระจายออกมาจากกายหนาของอีกฝ่าย ทำให้ทั้งร่างสั่นสะท้าน หัวใจกระตุกร้อนวูบวาบตั้งแต่ปลายเท้าจรดปลายผม"นี่ ท่านจะทำอะไร ปล่อยนะ"ดอกแก้วที่เอ่ยขึ้นอย่างตกใจกับความรู
"คิดอะไรอยู่รึ หรือว่าคิดถึง..."น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆ อย่างหยอกเย้า กับใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ทำให้ดอกแก้วหลุดจากภวังค์ความคิด หันมาขึงตาใส่บุรุษตรงหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาที่สื่อความหมายนั้น ทำให้ใบหน้างามร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเรียบ กลบเกลื่อนอาการร้อนๆ หนาวๆ ของตัวเอง"หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวเจ้าค่ะ"ดอกแก้วที่กล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบยกแขนขึ้นยันอกแกร่งเอาไว้เพราะเขาเข้ามาใกล้จนนางมือไม้สั่นกับความใกล้ชิดนั้น บุรุษผู้นี้ทำให้นางสูญเสียความเป็นตัวเอง ทั้งที่ใจนั้นบอกว่าชังเขา แต่นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายเลย ซึ่งนางเองก็ไม่อาจหาคำตอบได้เช่นกัน"เจ้ายังโกรธเคืองข้าเรื่องในวันนั้นอยู่อีกรึ"เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยถาม ทำให้นางต้องหลับตาลงข่มกลั้นความประหม่าที่เกิดขึ้น "เปล่าเจ้าค่ะเรื่องมันแล้วไปแล้วข้าหาได้ใส่ใจ ข้าขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ และขอบคุณที่ช่วยหนูยิ้มเอาไว้ในครานั้น แต่ข้าคงไม่มีสิ่งใดตอบแทน นอกเสียจากคำขอบคุณ หวังว่าท่านคงจะไม่ถือสา หากไม่มีสิ่งใดแล้ว โปรด
ขุนไกรมองแผ่นหลังชายหญิงทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันจากไปด้วยหลากหลายความรู้สึก นึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับสตรีนางนี้ สตรีที่ครั้งหนึ่งเขาหาได้ใส่ใจ แต่ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่ได้เห็นหน้านาง จะทำให้บุรุษที่มิเคยใส่ใจสตรีใด บุรุษที่มองสตรีเป็นเพียงที่ระบายความใคร่จะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ เขารู้ว่าเขาหลงใหลนางเข้าแล้ว อยากได้ อยากครอบครอง อยากให้นางกลายเป็นสมบัติของตนแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเขาก็ไม่เลือกวิธีเสียด้วยสินึกไปถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เขาได้เจอกับนาง ริมฝีปากหยักพลันยิ้มกว้างขึ้น ป่านนี้ คุณนายสายหยุด คงได้รับจดหมายของเขาแล้วกระมังคุณนายสายหยุด เมียรักของ ท่านเศรษฐีทองคำ ตอนนี้กำลังนั่งทอดถอนลมหายใจอย่างหมดสิ้นความหวัง สายตาของนางทอดมองไปยังบุตรหลานของบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนที่พากันวิ่งเล่นกันอยู่ตรงลานกว้างตรงท่าน้ำ พลางระบายลมหายใจออกมาอีกคราหนึ่งจนบรรดาบ่าวไพร่ต่างหันมาสบตากัน วันนี้นายหญิงของพวกตนมีเรื่องใดหนักอกหนักใจกัน แต่ก็มิมีผู้ใดใจกล้าพอที่จะละลาบละล้วงถามผู้เป็นนายคุณนายสายหยุดนางนั้นมีบุตรชายหญิงถึงสามคนแต่กลับยังไม่มีหลานให้เชยชม อายุอานามของนางก็เพ
ขุนไกรมองสตรีสาวใหญ่ที่แต่งกายด้วยชุดอาภรณ์หรูหรา นางถือว่าเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ในที่แห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคุณหญิงบุหลัน ภริยาสาวของคุณพระสรเดช ซึ่งตอนนี้ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้อย่างงดงามด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างดีเริ่มที่จะมีเม็ดเหงื่อผุดซึม สีหน้าแสดงถึงความเคร่งเครียด มือขาวนวลคว้าเอาแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันขึ้นดื่มด้วยใบหน้าเครียดขึง นางอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ด้านนอกนั้นปกคลุมไปด้วยความมืดของยามราตรี ดูท่าวันนี้นางจะมือตกมีแต่เสียกับเสีย แต่ที่น่าแปลกคือยิ่งเสียนางก็ยิ่งทุ่มเงินเดิมพันจนตอนนี้หมดเนื้อหมดตัว เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากบ่อนไปนางคือสตรีคนเดียวกันกับมารดาของเฉิดจันทร์คู่ควงคนล่าสุดของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของสตรีอีกคนที่เข้ามาวิ่งวุ่นอยู่ในหัวของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา และนางยังเป็นสตรีผู้ที่ปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ของลูกเลี้ยงตน โดยที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำกระมังความจริงในตอนแรกขุนไกรเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องราวของอีกฝ่ายมากนัก รู้เพียงว่าคุณหนูดอกแก้วเป็นโฉมสะคราญที่ผู้คนร่ำลือว่างดงามที่สุดในพระนคร ซึ่งเขามองเป็นเรื่องน่าขัน ขึ้นชื่อว่
แล้วในที่สุดเรือนคุณพระสรเดชก็ลุกเป็นไฟ เมื่อเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้ถึงเรือนชาน อับอายไปทั่วทั้งพระนคร ถึงขนาดที่สองแม่ลูกที่มักจะเฉิดฉายอยู่เสมอไม่เยื้องกรายออกจากเรือน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหน้า และเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ดอกแก้วครั้งใหญ่ เพราะไม่เพียงเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้แต่พวกเขากำลังจะยึดเรือนด้วย เรือนที่เป็นความทรงจำแสนสุขในวัยเด็ก เรือนที่มารดารัก ถูกใช้เป็นหลักประกันในการกู้หนี้ยืมสิน นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าบิดาจะกล้านำเรือนที่เป็นความทรงจำของมารดาไปจำนอง ส่วนบิดาของนางนั้นก็เป็นลมหมดสติไปทันที จนวุ่นวายกันทั้งเรือนดอกแก้วที่เป็นผู้มาเจรจากับเจ้าหนี้หมดแรงทรุดกายลงทันทีที่เหล่าเจ้าหนี้ยอมลงจากเรือน ยืดเวลาให้แก่นาง แต่คำพูดและท่าทางของพวกเขากำลังดังอื้ออึงอยู่ในหัวนาง จนน้ำตาหยดหนึ่งหยดกระทบบนหลังมือขาวนวลที่กำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทาคำพูดและสายตาของพวกเขาล้วนสื่อความหมายถึงสิ่งที่ต้องการออกมาเป็นอย่างดี สายตาที่มองนางนั้นจาบจ้วงแทะโลมจนน่าขยะแขยง นางไม่มีวันใช้ร่างกายชดใช้หนี้ให้ชายแก่เหล่านั้นเด็ดขาด หากทำเช่นนั้นคงยิ่งกว่าตายทั้งเป็นบานประตูห้อง
"คุณพ่อ คุณพ่อเจ้าคะ"ดอกแก้วรีบวิ่งมาทรุดกายลงนั่งตรงร่างของบิดาที่นอนแน่นิ่ง เลือดสีแดงและกลิ่นคาวคละคลุ้งที่ไหลออกมาจากรูจมูกและศีรษะของบิดา ทำให้นางหวาดกลัวจนสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้นก่อนมันจะเต้นกระหน่ำดั่งรัวกลอง หยาดน้ำตามากมายหลั่งไหล ความเจ็บปวดบีบรัดจนเจ็บแน่นไปทั้งทรวงอกเฉกเช่นเมื่อครั้งที่สูญเสียมารดา ความหวาดกลัวถาโถมจนนางแทบครองสติเอาไว้ไม่อยู่"คุณพ่อ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที คุณพ่อ โฮ"เกิดความโกลาหลขึ้นกลางเรือนคุณพระสรเดช บรรดาบ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์พากันอกสั่นขวัญแขวน วิ่งวุ่นตามหมอกันวุ่นวาย ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ตกใจกลัวจนตัวสั่น"ข้ามิได้ทำนะ คุณพี่พลัดตกลงไปเอง"บุหลันนางได้แต่ร้องโวยวาย นางไม่ได้อยากที่จะทำร้ายอีกฝ่าย แต่เขากลับดึงรั้งนางเอาไว้ไม่ยอมให้นางออกจากเรือนไป จะให้นางอยู่ได้อย่างไร ใครจะไปทนลำบากกับคนที่กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวได้ กำลังจะไม่มีแม้แต่หลังคาเรือนไว้คุ้มหัว หากจะให้นางต้องกัดก้อนเกลือกิน นางไม่เอาด้วยหรอกนะ เฉิดจันทร์ที่หายจากอาการตกใจ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาดูเหมือนจะหวาดกลัวมากจนสั่นไปทั้งร่างแทบ
รถยุโรปคันโก้แล่นมาจอดสนิทอยู่หน้าเรือนขนาดกลางที่ถูกก่อสร้างด้วยอิฐปูนรูปทรงสมัยใหม่ รูปแบบของเรือนปลูกสร้างแบบเรือนของฝรั่ง ดอกแก้วมองเรือนพักที่ขุนไกรว่าในตอนแรกอย่างตกตะลึง ด้านในนั้นถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราดูดี นางเดินตามหลังเจ้าของเรือนจนมาหยุดอยู่ในห้องที่น่าจะเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับรับแขก "นั่งก่อนสิ ตามสบายเลยนะข้าอยู่คนเดียว ประเดี๋ยวเอาน้ำมาให้"ขุนไกรที่กล่าวกับสตรีที่กำลังมองรูปภาพบนฝาผนังอย่างสนใจ มันเป็นภาพที่เขาได้มาจากสหายชาวฝรั่งซึ่งมอบให้เป็นที่ระลึก และเขาก็ชอบภาพนี้มาก แม้มันจะเป็นเพียงภาพป่าเขาธรรมดาแต่วาดได้เสมือนจริงดูมีเสน่ห์มองแล้วสบายตา"เอ่อ เจ้าค่ะ"ดอกแก้วตอบรับอีกฝ่ายเสียงเบา พลางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างรู้สึกอึดอัด ในคราแรกที่นางยินยอมมากับเขา เพราะคิดว่าเรือนของอีกฝ่ายคงจะเป็นเรือนของขุนน้ำขุนนางทั่วไปที่มีบ่าวไพร่เต็มเรือน มิใช่มีความเป็นส่วนตัวสูงเช่นนี้ขุนไกรที่เดินออกมาพร้อมกับน้ำแก้วหนึ่ง เห็นร่างบอบบางนั่งหลังตรงแข็งเกร็ง ใบหน้านวลดูกระวนกระวายก็พอจะเข้าใจความคิดของนาง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายจึงยกยิ้มขึ้นดวงตาคมกริบนั้นพราวระยับดูร้ายกาจ
เมื่อหนุ่มสาวนั้นเข้าใจกัน ผู้ใหญ่ก็เร่งหาฤกษ์มงคลด้วยความเปรมปรีดิ์ ฤกษ์มงคลนั้นจะถึงในอีกสองเดือนข้างหน้า ซึ่งเป็นฤกษ์ที่เร็วที่สุด แต่ก็ยังถือว่าช้ามากสำหรับเจ้าบ่าวที่อยากจะแต่งเสียวันพรุ่ง นั่นจึงทำให้ได้รับคำเหน็บแนมจากผู้เป็นมารดา กว่าจะถึงวันแต่งก็ได้ตกลงหมั้นหมายกันเอาไว้เสียก่อน คุณนายสายหยุดนั้นจัดเตรียมสินสอดทองหมั้นสู่ขอแม่ดอกแก้วเสียใหญ่โต ผู้คนที่เห็นของหมั้นต่างพากันอิจฉา ทั้งทรัพย์สินเงินทอง เพชรนิลจินดา ต่างถูกเรียงรายจนนับไม่หวาดไม่ไหวในระหว่างนั้นดอกแก้วนางก็ยังอาศัยอยู่ในเรือนของท่านเศรษฐีทองคำตามความต้องการของคุณนายสายหยุด แต่กลับสร้างความขุ่นข้องหมองใจให้กับว่าที่เจ้าบ่าวที่ถูกกีดกันจากผู้เป็นมารดาไม่ให้มีโอกาสได้เข้าใกล้สตรีคนรักแม่ดอกแก้วนั้นก็ตามติดมารดาเขาไม่ยอมห่าง แม้เขาจะส่งสายตาออดอ้อนปานใดนางก็ทำเมินใส่ จนเขาอดน้อยเนื้อต่ำใจเสียมิได้ บ่าวไพร่นั้นหรือก็ล้อมหน้าล้อมหลังไม่เปิดโอกาสให้เขาได้ใกล้ชิดนางแม้แต่น้อยเห็นอาหารจานโปรดวางอยู่ตรงหน้าแต่ไม่อาจที่จะหยิบกินได้ช่างรู้สึกทรมานยิ่งนักแต่แล้วฟ้าก็เป็นใจให้กับขุนไกรในวันหนึ่งเมื่อเขาต้องเดินทางกลับพระนค
"คุณป้าเจ้าคะ"หลังจากที่ดอกแก้วนอนหลับไปตลอดทั้งวันก็เดินออกมาจากเรือนนอนตรงมาหาผู้เป็นป้า สายตานั้นสอดส่ายหาผู้ที่ช่วยชีวิต"อ้าว แม่ดอกแก้วออกมาทำไมกัน ดีขึ้นแล้วหรือลูก"คุณนายสายหยุดที่ลุกขึ้นเข้าไปประคองหญิงสาวให้มานั่งลงข้างๆ เอ่ยถามอย่างห่วงใย"ข้ามิเป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ว่าแต่คุณพี่กลางเล่าเจ้าคะ ข้าอยากจะขอบพระคุณคุณพี่เธอ"ดอกแก้วเอ่ยถึงเจตนาของตน นางเองก็ไม่เคยเจออีกฝ่ายมาก่อน คุณนายสายหยุดยกยิ้มขึ้นเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน"พี่เขาคุยอยู่กับคุณลุงของเจ้า อยู่ในห้องหนังสือนู่นแหนะ ออ ออกมาพอดี"ดอกแก้วนางหันไปมองตามสายตาของคุณนายสายหยุด แต่กลับเห็นเพียงท่านเศรษฐีทองคำเดินออกมาเพียงผู้เดียว"แล้วพ่อกลางเล่าเจ้าคะคุณพี่"คุณนายสายหยุดเอ่ยถามผู้เป็นสามีเสียงอ่อนเสียงหวาน สายตาของคนทั้งคู่สบกันโดยที่สตรีอีกนางไม่อาจรับรู้ได้"ยังอยู่ด้านใน เห็นบ่นว่าอยากกินของหวานๆ มิรู้ว่ามารดาจะมีเมตตาหรือไม่"ท่านเศรษฐีทองคำเอ่ยคำที่บุตรชายนั้นฝากมา แล้วยิ้มกริ่มให้ภรรยา เผื่อแผ่รอยยิ้มนั้นมาถึงดอกแก้ว"รักษาตัวดีๆ หนาแม่ดอกแก้วลุงเป็นห่วง"ท่านเศรษฐีทองคำเอ่ยกับนางอย่างห่วงใย ท่านคงหมายถึ
"แม่ดอกแก้ว ตื่นแล้วหรือเป็นเช่นไรบ้าง"คุณนายสายหยุดเอ่ยถามร่างบอบบางของสตรีที่ยันกายขึ้นโดยการประคองของบ่าวของนาง นั่งพิงพนักหัวเตียง ใบหน้างามนั้นดูดีขึ้นมามากแล้ว มิได้ซีดเซียวเช่นตอนที่ไม่ได้สติดอกแก้วหันมาหาเจ้าของเรือนที่ใช้สายตามองมายังตนอย่างห่วงใย ใบหน้าของอีกฝ่ายทำให้นางชะงักไปครู่หนึ่ง เมื่อเห็นว่าคนตรงหน้านั้นช่างคล้ายคลึงกับใครบางคนเสียเหลือเกิน แต่ก็ต้องรีบสลัดความคิดนั้นทิ้งไป นางคงคิดถึงเขาจนเลอะเลือน ก่อนจะเอ่ยตอบเจ้าของคำถามด้วยน้ำเสียงแหบโหยเกรงอกเกรงใจ ยกมือกระพุ่มตรงกลางอกอย่างงดงามเอ่ยขอลุแก่โทษที่ทำให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง จนคนฟังนึกเอ็นดู"คุณป้า ข้าไม่เป็นอันใดแล้วเจ้าค่ะ ข้าขออภัยเจ้าค่ะที่ทำให้คุณป้าต้องร้อนใจ""โถ แม่เจ้าประคุณ ขวัญเอยขวัญมานะลูก แม่ดอกแก้วคงจักตกใจไม่น้อย"คุณนายสายหยุดยกฝ่ามืออ่อนนุ่มขึ้นลูบหัวทุยเล็กที่มีเส้นผมหนานุ่มปกคลุมอย่างรักใคร่ กล่าวอย่างเอื้อเอ็นดู แม่หญิงนางนี้กิริยามารยาทล้วนงดงาม หน้าตาหรือก็สะสวยเหมือนกับผู้เป็นสหายของตนมิมีผิดเพี้ยนดอกแก้วทำเพียงยิ้มอ่อนส่งไปให้ ยอมรับว่านางนั้นทั้งหวาดกลัวและตกใจมากจริงๆ"ถือว่าพระท่านยัง
หลายวันมานี้ขุนไกรมาทำงานด้วยจิตใจที่หม่นหมอง เขาให้คนของตนสืบข่าวเรื่องของนางก็ไร้ผล นางเงียบหายไปราวกับไม่อยากจะพบหน้าเขาอีก เหตุใดนางถึงไม่ให้โอกาสเขาได้อธิบาย ท่าทางเซื่องซึมของอีกฝ่ายนั้น ทำให้เพื่อนร่วมงานนั้นต่างเป็นห่วง"ท่านขุนขอรับ มีจดหมายถึงท่านขอรับ"ขุนไกรปรายตามองเสมียนผู้นำจดหมายมาให้เพียงเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าให้อีกฝ่ายวางมันลง"ขอบใจ"เขามองจดหมายที่วางอยู่บนโต๊ะเพียงเล็กน้อย ชื่อที่จ่าอยู่หน้าซองทำให้เขาระบายลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เป็นจดหมายจากแม่เล็กน้องสาวของเขาที่ส่งมา มือหนายื่นออกไปหยิบจดหมายขึ้นมาอ่านอย่างไร้อารมณ์ เขานั้นเดาได้ไม่ยากว่าอีกฝ่ายคงจะกลับเรือนและผู้เป็นมารดาบังคับให้อีกฝ่ายเขียนจดหมายถึงเขาเหมือนทุกทีขุนไกรอ่านจดหมายในมืออย่างเลื่อนลอยไล่สายตาอ่านบ้างไม่อ่านบ้าง"ขุนไกร"เสียงเอ่ยเรียกที่ดังขึ้นทำให้ขุนไกรต้องเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียงนั้น"ขุนพันมีอันใดหรือ"บุรุษตรงหน้าคือหนึ่งในสหายของเขาที่ทำงานอยู่ในสังกัดเดียวกัน"ไม่มีอันใดหรอก เพียงเห็นว่าท่านดูเครียดๆ หากมีอันใดให้ช่วยก็บอกได้นะ""อืม ขอบใจมาก"เอ่ยขอบคุณอีกฝ่ายแล้วจึงก้มลงมองจดหมายในม
วันหยุดวันนี้ไม่ได้สุขสมชื่นมื่นดังที่คิด ขุนไกรเมามายหัวราน้ำตั้งแต่เมื่อวานหลังจากที่กลับจากเรือนของคุณพระสรเดช เมื่อคืนนี้เขามิรู้ว่าเผลอหลับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ รู้สึกตัวมาอีกที ตอนนี้ดวงตะวันก็ขึ้นตรงหัวแสงสว่างสาดส่องเข้ามาแยงตาเสียแล้ว แต่ทว่าเขาไม่มีเรี่ยวแรงที่จะลุกขึ้นมาทำอะไรแม้แต่น้อย ยังคงคว้าขวดเหล้าขึ้นมาดื่ม ใบหน้าคร้ามคมนั้นหมองหม่นเศร้าซึมเสียงเคลื่อนไหวภายนอกที่ดังขึ้น ทำให้ขุนไกรชะงักมือที่ถือขวดสุรา หันไปมองตามต้นเสียงด้วยหัวใจที่เต้นระทึก ก่อนเสียงฝีเท้าจะดังชัดเจนขึ้น"แม่ดอกแก้ว แม่ดอกแก้วใช่หรือไม่"ขุนไกรที่เอ่ยออกมาแผ่วเบา ต้องเป็นนางที่กลับมาหาเขา ใบหน้าหล่อเหลาจึงยกยิ้มขึ้นอย่างยินดีแต่เงาร่างบอบบางของสตรีที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้าทำให้ใบหน้าที่รู้สึกยินดีในตอนแรกหม่นหมองลง"มิเชล มีอันใดหรือ"ขุนไกรเอ่ยทักทายสตรีตรงหน้า ก่อนจะยกขวดสุราขึ้นดื่มอีกครั้ง หัวใจที่พองโตเมื่อครู่เล็กแฟบลงทันตามิเชลมองบุรุษเบื้องหน้าด้วยความเสน่หา เยื้องย่างเข้าไปหาอีกฝ่าย เมื่อนางได้รับรู้ว่าสตรีนางนั้นได้หนีไปจากขุนไกรนางก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างมาก สิ่งที่นางได้ทำถือว่าประสบผลสำเร็
ดอกแก้วนางเก็บเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นเตรียมเอาไว้เพื่อที่จะเดินทางในวันพรุ่งนี้ ซึ่งพรุ่งนี้นั้นนางก็ได้นัดหมายกับชายผู้นั้นเอาไว้เช่นกัน คืนนี้กว่านางจะข่มตาให้หลับลงได้ก็ต้องเสียน้ำตาไปอีกมากมาย นางคิดเอาไว้แล้วว่าพรุ่งนี้จะทำอาหารไปให้อีกฝ่ายเป็นครั้งสุดท้ายและจะถือโอกาสนำเงินไปคืนเขาวันรุ่งขึ้นนางลุกขึ้นจัดเตรียมอาหารตั้งแต่เช้าตรู่ เพราะคุณป้าสายหยุดจะมารับนางตอนสายๆ เมื่อสำรับอาหารเสร็จเรียบร้อยจึงได้ออกจากเรือนไป และนางได้นำเงินที่คุณป้าสายหยุดให้มาไปส่งคืนให้อีกฝ่ายด้วย เมื่อนางไปถึงก็พบว่าเขานั้นได้ออกไปทำงานแล้ว ซึ่งนางก็ได้คาดการณ์เอาไว้แล้ว นางไม่อยากจะเจอหน้าเขา ไม่อยากให้เขาหลอกนางซ้ำๆ ซากๆ นางกวาดตามองเรือนที่อยู่อาศัยร่วมสามเดือนด้วยความเจ็บปวด น้ำตาเอ่อคลอดวงตา นางเลือกที่จะเก็บเพียงความทรงจำดีๆ เอาไว้ ก่อนจะตัดสินใจวางซองเงินบนเตียงนอนกว้าง หากเขากลับมาจะได้สังเกตเห็นมัน ก่อนจะเขียนข้อความถึงอีกฝ่าย เป็นเช่นนี้ก็ดีเหมือนกัน นางจะได้มิต้องลังเลหากจะลาเขาโดยตรง ต่อแต่นี้ไปเขาจะได้ไม่ต้องลำบากใจอีก"ลาก่อน"ระหว่างเขาและนางคงจบสิ้นกันเสียทีดอกแก้วนางเดินออก
ขณะที่ดอกแก้วนั้นกำลังโศกเศร้าเสียใจเพราะบุรุษผู้นั้น บิดาของนางเองก็กำลังขุ่นเคืองขุนไกรอยู่เช่นกัน คุณพระสรเดชฟังเรื่องราวต่างๆ ที่เกิดขึ้นกับผู้เป็นบุตรีในระหว่างที่ตนกำลังรักษาตัวอยู่อย่างเจ็บปวดเสียใจ ทุกอย่างมันเป็นเพราะตนแท้ๆ ที่ทำให้บุตรสาวต้องมาพบเจอกับเรื่องเช่นนี้ เขาช่างเป็นบิดาที่ไม่เอาไหน แม่ดอกแก้วนางต้องเจ็บปวดชอกช้ำมากเพียงใดกันที่ต้องลดค่าตัวเองเช่นนั้น เขาเป็นผู้ที่ทำให้บุตรสาวต้องเหยียบย่ำศักดิ์ศรีตนเอง หากตายไปคงไม่มีหน้าไปเจอผู้เป็นภรรยา คุณพระสรเดชได้แต่โทษตัวเอง ครุ่นคิดอย่างเจ็บปวดซึ่งคนที่กำลังถ่ายทอดเรื่องราวที่ได้รับรู้มาก็เสียใจกับสิ่งที่เกิดขึ้นไม่แพ้กัน แต่การแจ้งเรื่องทั้งหมดให้อีกฝ่ายรู้นั้นก็ดีกว่าปิดปังเอาไว้ หากอีกฝ่ายมารับรู้ในภายหลังคงจะยิ่งแย่กว่าเดิม"แต่ตอนนี้ ข้าเชื่อว่าเด็กทั้งสองนั้น มีใจรักต่อกันจริงๆ พ่อกลางเองถึงแม้ว่าเขาจะเริ่มต้นอย่างผิดๆ แต่ตอนนี้ข้าเชื่อว่าเขากำลังทำทุกอย่างให้ถูกต้อง ข้าเลี้ยงเขามากับมือ ข้าย่อมรู้ดี หากบุตรชายของข้าไม่มีใจให้แม่ดอกแก้ว เขาก็คงไม่ทำเช่นนั้นตั้งแต่แรก"คุณนายสายหยุดเอ่ยกับคุณพระสรเดชสามีของสหายรักของ
หลายวันมานี้ดูเหมือนอะไรหลายๆ อย่างจะดีขึ้นมาก คุณพระสรเดชก็สุขภาพร่างกายดีขึ้นเรื่อยๆ สามารถที่จะช่วยเหลือตัวเองได้เหมือนปกติ ขุนไกรเองก็กลายเป็นแขกประจำของเรือนนี้ไปเสียแล้ว เมื่อเขาว่างเขาก็มักจะแวะมาหาเสมอ แต่ระยะหลังเขาต้องเร่งจัดการงานทุกอย่างของเขาให้เสร็จสิ้น เขาบอกกับนางว่าหลังจากตบแต่งนางก็อยากจะให้เวลาทั้งหมดกับนาง และนั่นทำให้นางมีความสุขมากวันนี้อากาศดี เป็นเช้าที่สดใส ดอกแก้วจึงนำผ้าเช็ดหน้าที่ยังปักไม่เสร็จออกมาปักยังศาลาริมน้ำ นางตั้งใจจะปักให้กับขุนไกรเป็นของแทนใจ อีกสองวันนางนัดหมายกับขุนไกรเอาไว้ว่าจะทำอาหารไปให้เขาที่เรือนและอยู่ค้างด้วยจึงอยากจะปักผ้าให้เสร็จเพื่อมอบให้เขา"คุณหนูเจ้าคะ มีแขกมาขอพบเจ้าค่ะ"บ่าวผู้หนึ่งเดินเข้ามาแจ้งนาง ดอกแก้วได้แต่ทำหน้าฉงน ใครกันที่มาพบนาง ก่อนจะให้บ่าวไปเชิญคนผู้นั้นมาที่นี่แต่เมื่อคนที่มาพบนางปรากฏตัวขึ้นตรงหน้า นั่นยิ่งทำให้นางยิ่งแปลกใจ นางลืมแหม่มผู้นี้ไปเสียสนิท"สวัสดีค่ะ คุณดอกแก้วขอโทษที่มารบกวน"มิเชลเอ่ยกับสตรีตรงหน้า ใบหน้าสวยคมนั้นเชิดขึ้นอย่างถือดี ส่งยิ้มที่ทำให้อีกฝ่ายไม่ใคร่จะพอใจนัก สายตาของแหม่มนางนี้มีประกา
"ท่านเข้ามาได้เยี่ยงไรเจ้าคะ"หลังจากที่ต่างฝ่ายต่างเงียบอยู่นาน ดอกแก้วจึงได้เอ่ยถามขึ้นขุนไกรก้มลงจูบหน้าผากมนชื้นเหงื่อ คิดถึงคนที่ช่วยให้เขาเข้าหานางขึ้นมาทันใด ป่านนี้ฟร้องค์คงต่อว่าเขามากมายแล้วเป็นแน่"ปีนหน้าต่างเข้ามา"ดอกแก้วมองอีกฝ่ายตาโต เรือนของนางนั้นสูงมาก หากจะปีนขึ้นมาคงต้องใช้บันไดเพียงอย่างเดียวเท่านั้น หากพลัดตกลงไปเกรงว่าคงได้เลือด แต่ราวกับอีกฝ่ายรู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใดจึงเอ่ยขึ้น"ข้ามากับสหายมีบันไดมาด้วย"ขุนไกรคิดไปถึงสาเหตุที่ทำให้เขามาอยู่ที่นี่แล้วระบายยิ้มออกมา สหายผู้นั้นของเขาเป็นคนต้นคิดเรื่องนี้"ท่านมีสิ่งใดไม่สบายใจหรือ เหตุใดสีหน้าจึงไม่ใคร่จะดีนัก"ฟร้องค์เอ่ยถามเขาในขณะที่นั่งร่ำสุรากันอยู่ขุนไกรจึงบอกกล่าวกับเขาว่ามีเรื่องค้างคาใจและเข้าใจผิดกันกับนาง อีกฝ่ายจึงเสนอความคิดนี้ขึ้นมา ซึ่งเขาเองก็ถูกใจเป็นอย่างมากเขาอยากจะรักนางสัมผัสนางให้มากกว่านี้ แต่ตอนนี้แม้ว่าเขาอยากจะนอนกอดนางมากเพียงไร ก็จำต้องตัดใจ เขาต้องเปิดใจคุยกับนางให้รู้เรื่องเสียก่อน"แม่ดอกแก้ว เราแต่งงานกันเถอะนะ"จู่ๆ บุรุษที่โอบกอดนางอยู่ก็เอ่ยขึ้นหลังจากที่เงียบไป แต่ประโยคน