"คิดอะไรอยู่รึ หรือว่าคิดถึง..."
น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆ อย่างหยอกเย้า กับใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ทำให้ดอกแก้วหลุดจากภวังค์ความคิด หันมาขึงตาใส่บุรุษตรงหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาที่สื่อความหมายนั้น ทำให้ใบหน้างามร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเรียบ กลบเกลื่อนอาการร้อนๆ หนาวๆ ของตัวเอง
"หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวเจ้าค่ะ"
ดอกแก้วที่กล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบยกแขนขึ้นยันอกแกร่งเอาไว้เพราะเขาเข้ามาใกล้จนนางมือไม้สั่นกับความใกล้ชิดนั้น บุรุษผู้นี้ทำให้นางสูญเสียความเป็นตัวเอง ทั้งที่ใจนั้นบอกว่าชังเขา แต่นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายเลย ซึ่งนางเองก็ไม่อาจหาคำตอบได้เช่นกัน
"เจ้ายังโกรธเคืองข้าเรื่องในวันนั้นอยู่อีกรึ"
เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยถาม ทำให้นางต้องหลับตาลงข่มกลั้นความประหม่าที่เกิดขึ้น
"เปล่าเจ้าค่ะเรื่องมันแล้วไปแล้วข้าหาได้ใส่ใจ ข้าขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ และขอบคุณที่ช่วยหนูยิ้มเอาไว้ในครานั้น แต่ข้าคงไม่มีสิ่งใดตอบแทน นอกเสียจากคำขอบคุณ หวังว่าท่านคงจะไม่ถือสา หากไม่มีสิ่งใดแล้ว โปรดหลีกทางด้วยเจ้าค่ะ"
ดอกแก้วกล่าวกับบุรุษตรงหน้าอย่างใจเย็น พยายามหลบหลีกอีกฝ่ายที่ดูท่าจะไม่ยอมหลีกทางให้นางง่ายๆ
"แต่ข้าว่าเจ้ายังเคืองข้า หรือว่าของที่ข้าส่งไปให้แทนคำขอโทษมันน้อยเกินไป"
หลังจากนางตบอีกฝ่ายจนหน้าหันในวันนั้น วันรุ่งขึ้นก็มีกล่องเครื่องประดับและเงินของนาง พร้อมด้วยเครื่องประดับที่ดูแล้วน่าจะมีราคาสูงอีกชุดหนึ่งถูกส่งมายังเรือนของนาง ในนั้นแนบจดหมายมาหนึ่งฉบับพร้อมกับหนังสือสัญญาการกู้เงินของบิดา ดอกแก้วคลี่จดหมายที่ถูกแนบมาเปิดออกอ่าน ไล้สายตาไปตามตัวอักษรที่เรียงตัวสวยเป็นระเบียบอยู่บนแผ่นกระดาษสีหม่น คิ้วเรียวสวยนั้นขมวดมุ่นขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะผูกติดกัน
แทนคำขอโทษจากข้า ที่เข้าใจเจ้าผิดไป
หากเจ้าจะไม่รับไว้ก็ขอให้มาส่งคืนด้วยตัวเอง
เพราะข้าอยากจะฟังเหตุผลจากปากเจ้า
...ขุนไกรราชภักดี...
นางคิดที่จะส่งของเหล่านี้คืนอีกฝ่ายจริงๆ แต่หากต้องส่งคืนด้วยตัวเองนางจึงล้มเลิกความตั้งใจนั้น ในเมื่ออยากให้ นางก็จะรับไว้ คงจะขายได้หลายพัน คิดเสียว่ามันเป็นค่าเสียหายที่เขาสมควรจ่าย จะอย่างไรนางก็ไม่อาจย้อนคืนอดีตได้ แต่จนแล้วจนรอดนางก็ยังคงเก็บเครื่องประดับของอีกฝ่ายเอาไว้หาได้นำไปขายอย่างที่ตั้งใจ
"ว่าอย่างไร หากมันน้อยไป เจ้าต้องการสิ่งใดโปรดบอกมา"
ดอกแก้วมองอีกฝ่ายอย่างใกล้จะหมดความอดทนเต็มที ช่างเป็นพ่อบุญทุ่มเสียเหลือเกิน
"ข้าว่าท่านนำของเหล่านั้นไปฝากภรรยาที่เรือนดีกว่านะเจ้าคะ"
"ข้ายังไม่แต่งงาน"
ดอกแก้วมองบุรุษตรงหน้าที่ตอบกลับมาทันทีอย่างไม่อยากจะเชื่อเพราะหากคาดคะเนจากสายตาเขาคงมีอายุมากกว่านางหลายปีและบุรุษส่วนใหญ่ก็ออกเรือนกันตั้งแต่อายุยี่สิบ บุรุษตรงหน้านางไม่มีทางต่ำกว่าสามสิบเป็นแน่
"เจ้ากำลังว่าข้าแก่"
ขุนไกรเอ่ยกับสตรีที่เอาแต่จ้องเขาอย่างไม่สบอารมณ์เท่าใดนัก สายตาของนางไม่ต้องเอ่ยวาจาเขาก็รู้ว่านางกำลังคิดสิ่งใด มันน่านัก ชายหนุ่มได้แต่ครุ่นคิดอย่างขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน
"เช่นนั้นก็นำไปให้บรรดาสตรีของท่านเถอะเจ้าค่ะ ข้าไม่ต้องการ หลีกทางด้วยเจ้าค่ะ"
"ข้ายังไม่มีใคร และยังไม่มีสตรีคนใดที่ชอบจนอยากจะทุ่มเททุกอย่างให้"
สายตาคมกล้าของเจ้าของคำพูดที่มองสบมาอย่างมีความหมาย ทำให้นางหัวใจสั่นไหวอย่างไม่อาจห้าม นางชังนักบุรุษมากรัก แต่มิรู้เหตุใดจึงเกิดความรู้สึกประหลาดเช่นนี้ทุกครั้งที่เจอกับอีกฝ่าย แม้ทุกครั้งที่พบเจอกันล้วนมีสตรีคอยคลอเคลียแต่น่าแปลกที่นางหาได้รังเกียจบุรุษผู้นี้ ทั้งๆ ที่นางควรจะชังอีกฝ่ายที่สุดเพราะเขาคือบุรุษที่เฉิดจันทร์เสน่หา แต่ก่อนที่นางจะได้เอื้อนเอ่ยคำใด เสียงของหมื่นเดชาหาญณรงค์ก็ดังขึ้นเรียกให้ทั้งสองหันไปมอง
"แม่ดอกแก้วเกิดอันใดขึ้น"
หมื่นเดชาหาญณรงค์ที่เอ่ยถามสตรีตรงหน้าอย่างร้อนรน ก่อนจะเดินเข้าไปดึงแขนเล็กออกห่างบุรุษแปลกหน้า บุรุษใบหน้าหล่อคมที่ส่งยิ้มให้เขา แต่เขากลับรู้สึกไม่ชอบรอยยิ้มนั้นเลยสักนิด ก่อนจะมองสำรวจร่างบางด้วยความเป็นห่วง เมื่อเห็นว่ามีฝรั่งผู้หนึ่งนอนสลบอยู่บนพื้น และนางคล้ายดังโดนบุรุษผู้นี้คุกคาม คงต้องเกิดเรื่องขึ้นเป็นแน่ นึกโทษตัวเองที่ไม่ดูแลนางให้ดี
หลังจากที่เขาพูดคุยกับสหายเสร็จก็เดินกลับมาที่โต๊ะแต่ระหว่างทางกลับเดินชนเข้ากับสตรีนางหนึ่งจนนางล้มลงได้รับบาดเจ็บ แต่คิดไม่ถึงว่าสตรีนางนั้นกลับเป็นแม่เฉิดจันทร์สตรีที่คนรักชิงชัง แม้จะเอ่ยขออภัยที่ทำให้นางเจ็บเพราะไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับสตรีที่คนรักไม่ชอบ แต่นัยน์ตาที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำเพราะความเจ็บทำให้เขาตัดใจทิ้งนางไม่ลง
"เกิดเรื่องนิดหน่อยเจ้าค่ะ แต่มิเป็นไรแล้ว"
ดอกแก้วที่บอกกล่าวบุรุษผู้เป็นคู่หมาย ก่อนจะเล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้อีกฝ่ายฟัง
"ดีที่ท่านขุนช่วยเอาไว้เจ้าค่ะ"
ดอกแก้วที่เห็นสายตาของบุรุษทั้งสองที่จ้องมองกัน จึงเอ่ยแนะนำขึ้น
"คุณพี่เดช ท่านนี้คือขุนไกรราชภักดีเจ้าค่ะ เอ่อ ท่านขุนนี่หมื่นเดชาหาญณรงค์คู่หมายของข้าเจ้าค่ะ"
สายตาสองคู่ที่มองสบกันอยู่นั้นสร้างความอึดอัดให้ดอกแก้วยิ่งนัก แม้ทั้งสองจะส่งยิ้มให้กัน แต่นางกลับสัมผัสถึงการไม่เป็นมิตรกันของทั้งสอง หวังเป็นอย่างยิ่งว่าครั้งนี้จะเป็นครั้งสุดท้ายที่ต้องพบเจอกับบุรุษผู้นี้ บุรุษที่ดูอันตรายสำหรับจิตใจของนาง
ขุนไกรมองแผ่นหลังชายหญิงทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันจากไปด้วยหลากหลายความรู้สึก นึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับสตรีนางนี้ สตรีที่ครั้งหนึ่งเขาหาได้ใส่ใจ แต่ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่ได้เห็นหน้านาง จะทำให้บุรุษที่มิเคยใส่ใจสตรีใด บุรุษที่มองสตรีเป็นเพียงที่ระบายความใคร่จะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ เขารู้ว่าเขาหลงใหลนางเข้าแล้ว อยากได้ อยากครอบครอง อยากให้นางกลายเป็นสมบัติของตนแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเขาก็ไม่เลือกวิธีเสียด้วยสินึกไปถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เขาได้เจอกับนาง ริมฝีปากหยักพลันยิ้มกว้างขึ้น ป่านนี้ คุณนายสายหยุด คงได้รับจดหมายของเขาแล้วกระมังคุณนายสายหยุด เมียรักของ ท่านเศรษฐีทองคำ ตอนนี้กำลังนั่งทอดถอนลมหายใจอย่างหมดสิ้นความหวัง สายตาของนางทอดมองไปยังบุตรหลานของบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนที่พากันวิ่งเล่นกันอยู่ตรงลานกว้างตรงท่าน้ำ พลางระบายลมหายใจออกมาอีกคราหนึ่งจนบรรดาบ่าวไพร่ต่างหันมาสบตากัน วันนี้นายหญิงของพวกตนมีเรื่องใดหนักอกหนักใจกัน แต่ก็มิมีผู้ใดใจกล้าพอที่จะละลาบละล้วงถามผู้เป็นนายคุณนายสายหยุดนางนั้นมีบุตรชายหญิงถึงสามคนแต่กลับยังไม่มีหลานให้เชยชม อายุอานามของนางก็เพ
ขุนไกรมองสตรีสาวใหญ่ที่แต่งกายด้วยชุดอาภรณ์หรูหรา นางถือว่าเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ในที่แห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคุณหญิงบุหลัน ภริยาสาวของคุณพระสรเดช ซึ่งตอนนี้ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้อย่างงดงามด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างดีเริ่มที่จะมีเม็ดเหงื่อผุดซึม สีหน้าแสดงถึงความเคร่งเครียด มือขาวนวลคว้าเอาแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันขึ้นดื่มด้วยใบหน้าเครียดขึง นางอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ด้านนอกนั้นปกคลุมไปด้วยความมืดของยามราตรี ดูท่าวันนี้นางจะมือตกมีแต่เสียกับเสีย แต่ที่น่าแปลกคือยิ่งเสียนางก็ยิ่งทุ่มเงินเดิมพันจนตอนนี้หมดเนื้อหมดตัว เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากบ่อนไปนางคือสตรีคนเดียวกันกับมารดาของเฉิดจันทร์คู่ควงคนล่าสุดของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของสตรีอีกคนที่เข้ามาวิ่งวุ่นอยู่ในหัวของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา และนางยังเป็นสตรีผู้ที่ปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ของลูกเลี้ยงตน โดยที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำกระมังความจริงในตอนแรกขุนไกรเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องราวของอีกฝ่ายมากนัก รู้เพียงว่าคุณหนูดอกแก้วเป็นโฉมสะคราญที่ผู้คนร่ำลือว่างดงามที่สุดในพระนคร ซึ่งเขามองเป็นเรื่องน่าขัน ขึ้นชื่อว่
แล้วในที่สุดเรือนคุณพระสรเดชก็ลุกเป็นไฟ เมื่อเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้ถึงเรือนชาน อับอายไปทั่วทั้งพระนคร ถึงขนาดที่สองแม่ลูกที่มักจะเฉิดฉายอยู่เสมอไม่เยื้องกรายออกจากเรือน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหน้า และเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ดอกแก้วครั้งใหญ่ เพราะไม่เพียงเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้แต่พวกเขากำลังจะยึดเรือนด้วย เรือนที่เป็นความทรงจำแสนสุขในวัยเด็ก เรือนที่มารดารัก ถูกใช้เป็นหลักประกันในการกู้หนี้ยืมสิน นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าบิดาจะกล้านำเรือนที่เป็นความทรงจำของมารดาไปจำนอง ส่วนบิดาของนางนั้นก็เป็นลมหมดสติไปทันที จนวุ่นวายกันทั้งเรือนดอกแก้วที่เป็นผู้มาเจรจากับเจ้าหนี้หมดแรงทรุดกายลงทันทีที่เหล่าเจ้าหนี้ยอมลงจากเรือน ยืดเวลาให้แก่นาง แต่คำพูดและท่าทางของพวกเขากำลังดังอื้ออึงอยู่ในหัวนาง จนน้ำตาหยดหนึ่งหยดกระทบบนหลังมือขาวนวลที่กำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทาคำพูดและสายตาของพวกเขาล้วนสื่อความหมายถึงสิ่งที่ต้องการออกมาเป็นอย่างดี สายตาที่มองนางนั้นจาบจ้วงแทะโลมจนน่าขยะแขยง นางไม่มีวันใช้ร่างกายชดใช้หนี้ให้ชายแก่เหล่านั้นเด็ดขาด หากทำเช่นนั้นคงยิ่งกว่าตายทั้งเป็นบานประตูห้อง
"คุณพ่อ คุณพ่อเจ้าคะ"ดอกแก้วรีบวิ่งมาทรุดกายลงนั่งตรงร่างของบิดาที่นอนแน่นิ่ง เลือดสีแดงและกลิ่นคาวคละคลุ้งที่ไหลออกมาจากรูจมูกและศีรษะของบิดา ทำให้นางหวาดกลัวจนสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้นก่อนมันจะเต้นกระหน่ำดั่งรัวกลอง หยาดน้ำตามากมายหลั่งไหล ความเจ็บปวดบีบรัดจนเจ็บแน่นไปทั้งทรวงอกเฉกเช่นเมื่อครั้งที่สูญเสียมารดา ความหวาดกลัวถาโถมจนนางแทบครองสติเอาไว้ไม่อยู่"คุณพ่อ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที คุณพ่อ โฮ"เกิดความโกลาหลขึ้นกลางเรือนคุณพระสรเดช บรรดาบ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์พากันอกสั่นขวัญแขวน วิ่งวุ่นตามหมอกันวุ่นวาย ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ตกใจกลัวจนตัวสั่น"ข้ามิได้ทำนะ คุณพี่พลัดตกลงไปเอง"บุหลันนางได้แต่ร้องโวยวาย นางไม่ได้อยากที่จะทำร้ายอีกฝ่าย แต่เขากลับดึงรั้งนางเอาไว้ไม่ยอมให้นางออกจากเรือนไป จะให้นางอยู่ได้อย่างไร ใครจะไปทนลำบากกับคนที่กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวได้ กำลังจะไม่มีแม้แต่หลังคาเรือนไว้คุ้มหัว หากจะให้นางต้องกัดก้อนเกลือกิน นางไม่เอาด้วยหรอกนะ เฉิดจันทร์ที่หายจากอาการตกใจ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาดูเหมือนจะหวาดกลัวมากจนสั่นไปทั้งร่างแทบ
รถยุโรปคันโก้แล่นมาจอดสนิทอยู่หน้าเรือนขนาดกลางที่ถูกก่อสร้างด้วยอิฐปูนรูปทรงสมัยใหม่ รูปแบบของเรือนปลูกสร้างแบบเรือนของฝรั่ง ดอกแก้วมองเรือนพักที่ขุนไกรว่าในตอนแรกอย่างตกตะลึง ด้านในนั้นถูกประดับตกแต่งเอาไว้อย่างหรูหราดูดี นางเดินตามหลังเจ้าของเรือนจนมาหยุดอยู่ในห้องที่น่าจะเป็นห้องที่เอาไว้สำหรับรับแขก "นั่งก่อนสิ ตามสบายเลยนะข้าอยู่คนเดียว ประเดี๋ยวเอาน้ำมาให้"ขุนไกรที่กล่าวกับสตรีที่กำลังมองรูปภาพบนฝาผนังอย่างสนใจ มันเป็นภาพที่เขาได้มาจากสหายชาวฝรั่งซึ่งมอบให้เป็นที่ระลึก และเขาก็ชอบภาพนี้มาก แม้มันจะเป็นเพียงภาพป่าเขาธรรมดาแต่วาดได้เสมือนจริงดูมีเสน่ห์มองแล้วสบายตา"เอ่อ เจ้าค่ะ"ดอกแก้วตอบรับอีกฝ่ายเสียงเบา พลางกลืนน้ำลายลงคออึกหนึ่งอย่างรู้สึกอึดอัด ในคราแรกที่นางยินยอมมากับเขา เพราะคิดว่าเรือนของอีกฝ่ายคงจะเป็นเรือนของขุนน้ำขุนนางทั่วไปที่มีบ่าวไพร่เต็มเรือน มิใช่มีความเป็นส่วนตัวสูงเช่นนี้ขุนไกรที่เดินออกมาพร้อมกับน้ำแก้วหนึ่ง เห็นร่างบอบบางนั่งหลังตรงแข็งเกร็ง ใบหน้านวลดูกระวนกระวายก็พอจะเข้าใจความคิดของนาง ใบหน้าหล่อเหลาคมคายจึงยกยิ้มขึ้นดวงตาคมกริบนั้นพราวระยับดูร้ายกาจ
ดอกแก้วกวาดตามองไปรอบห้องที่ถูกตกแต่งอย่างเรียบง่ายแต่ทว่าดูดี สัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเจ้าของ ห้องนี้คงเป็นห้องนอนของเขาอย่างมิต้องสงสัย เตียงกว้างดูทันสมัยโดยเฉพาะเบาะรองนอนนั้นดูหนานุ่มเป็นอย่างมาก เพียงแค่นางทิ้งร่างลงนั่งบนเตียงกว้างอย่างถือวิสาสะความนุ่มหยุ่นและกลิ่นอายของชายหนุ่มเจ้าของห้องก็กรุ่นอยู่ตรงปลายจมูก สัมผัสที่ได้รับทำให้ใบหน้างามร้อนผ่าวแดงเรื่อขึ้นมาดื้อๆ จนต้องสะบัดหน้าแรงๆ ไปทีหนึ่ง ก่อนจะตัดสินใจเดินเข้าไปชำระกายในห้องอาบน้ำที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันดูแปลกตา ภาพสะท้อนของสตรีรูปร่างสะโอดสะอง ใบหน้างดงามแต่ดวงตากลมโตหวานซึ้งนั้นกลับดูเศร้าหมอง ภาพที่สะท้อนอยู่ในกระจกเงาบนผนังนั้นช่างงดงามเป็นอย่างยิ่ง ความงามที่สตรีทุกผู้พากันอิจฉา ความงามเย้ายวนที่เหล่าบุรุษล้วนอยากที่จะครอบครอง รวมทั้งตัวของบุรุษผู้เป็นเจ้าของเรือนแห่งนี้ด้วยดอกแก้วมองใบหน้างามของตนเองในกระจกเงาบานใหญ่ที่สะท้อนให้เห็นไปทั้งเรือนร่าง ก่อนจะยกยิ้มขึ้นอย่างเยาะหยันกับชะตาชีวิตของตนเอง มือขาวนวลเนียนยกขึ้นไล้ปลายนิ้วเรียวเสลาดังลำเทียนไปตามคิ้วเรียวสวยได้รูป ดวงตากลมโตที่มีแพขนตางอนยาวทำให้ยิ่งด
รสชาติแปลกใหม่ที่ได้รับกับกลิ่นหอมที่แผ่ซ่านไปทั่วทั้งปาก สร้างความพอใจให้โฉมสะคราญเป็นอย่างยิ่ง จนต้องยกขึ้นดื่มจนหมดแก้ว ความสดชื่นที่ได้รับไหลผ่านลำคอพร้อมความร้อนวาบวูบหนึ่งที่แผ่ซ่านขึ้นมาบนใบหน้า สัมผัสได้ถึงเลือดลมที่ไหลเวียนคล่องขึ้นอย่างประหลาด แล้วยังรู้สึกถึงความปลอดโปร่งสบายตัวดังคำที่เขาบอก ก่อนจะวางแก้วที่ว่างเปล่าลงตรงหน้าเอ่ยถามขึ้นทำลายความเงียบด้วยกิริยาที่ดูผ่อนคลายลง"ทางโรงหมอยังมิติดต่อมาหรือเจ้าคะ""ยังเลย เจ้าอยากจะพักสายตาสักหน่อยหรือไม่"ขุนไกรส่ายหน้าประกอบคำพูดเอ่ยกับสตรีตรงหน้าโดยที่สายตาไม่ละจากใบหน้างามแม้แต่น้อย จนร่างบางขยับกายอย่างอึดอัดระคนเขินอายเมื่อสบเข้ากับดวงตาคมกล้านั้น ในอกของนางสั่นไหวขึ้นมาแปลกๆ จึงส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเก้อกระดาก"เอ่อ ขออีกแก้วได้หรือไม่เจ้าคะ"เสียงหวานกล่าวขึ้น ยื่นแก้วมาตรงหน้าเขา นัยน์ตาหวานนั้นฉ่ำเยิ้มจนคนมองลมหายใจติดขัด"ข้าบอกว่าไม่เมาหากดื่มเพียงเล็กน้อย แต่หากมากไปกว่านี้เจ้าอาจจักเมาได้"ขุนไกรกล่าวเตือนสตรีตรงหน้า สายตาคมจับจ้องทุกกิริยาของนาง มองมือเรียวขาวที่ยื่นมารับแก้วที่เขารินส่งให้"ข้าคงมิเมาง่ายดายถึงเ
เป็นสายจากคนของเขาที่โทรมาจากโรงหมอ ความร้อนใจทำให้ดอกแก้วหลงลืมเรื่องน่าอายระหว่างนางกับบุรุษข้างกาย ทั้งคู่เร่งมาที่โรงหมอในทันที"เฮ้ ขุนไกร"ขณะที่ทั้งสองกำลังเดินตรงไปยังห้องที่คุณพระสรเดชรักษาตัวอยู่ระหว่างทางมีฝรั่งตัวใหญ่เอ่ยเรียกคนตัวสูงเอาไว้ แม้จะมองจากไกลๆ ดอกแก้วนางก็จำได้ว่าเป็นนายฝรั่งเจ้าของบ่อนผู้เป็นสหายของเขา และดูเหมือนว่าฝรั่งผู้นั้นคงมีธุระกับอีกฝ่าย แต่เห็นบุรุษข้างกายมองมายังนางอย่างลังเลใจจึงได้กล่าวออกไป"ท่านไปหาสหายเถอะเจ้าค่ะ ข้าไปผู้เดียวได้"นางเอ่ยกับเขาอย่างเกรงใจแค่เขาเป็นธุระให้นางถึงขนาดนี้นางก็รู้สึกเกรงใจมากแล้ว"เช่นนั้น ประเดี๋ยวข้าจักรีบตามไป"ขุนไกรบอกกับนางสายตาที่ทอดมองอย่างห่วงใยทำให้นางส่งยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างขอบคุณ พยักหน้ารับ มองแผ่นหลังกว้างที่เดินไปหาสหายด้วยความรู้สึกหลากหลายยากจะอธิบาย ก่อนจะเดินไปหาผู้เป็นบิดาเมื่อมาถึงห้องที่บิดารักษาตัวอยู่คุณหมอก็เชิญนางเข้าไปคุยถึงอาการของบิดา"แม่ดอกแก้ว"แต่ยังมิทันที่นางจะได้เดินเข้าไปพบหมอ เสียงของบุรุษผู้มาใหม่ที่เอ่ยเรียกทำให้นางต้องหันกลับไปมอง ภาพของบุรุษใบหน้าหล่อเหลาที่เร่งฝีเท้าเดินเข้
ทางด้านเรือนหมื่นเดชาหาญณรงค์ที่ตอนนี้ดูวุ่นวาย จนงานเลี้ยงล่มไม่เป็นท่า เหตุเพราะเจ้าของงานเลี้ยงเป็นลมหมดสติไปจริงๆ จากที่มีทีท่าว่าจะเป็นลมหลังจากที่ผู้เป็นบุตรชายวิ่งตามว่าที่ลูกสะใภ้ออกไป แต่สตรีอีกนางที่ยังคงอยู่ ใบหน้างดงามนั้นเปรอะเปื้อนน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นดูแล้วช่างน่าเวทนาในสายตาผู้คน แต่มิใช่สำหรับคุณหญิงระพีที่รู้ถึงสันดานไพร่ของอีกฝ่าย เสียงหวานแหบเครือที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางผู้ชมมากมายทำให้คุณหญิงระพีโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง"คุณหญิงแม่ต้องให้ความเป็นธรรมกับเฉิดจันทร์นะเจ้าคะ เฉิดจันทร์ก็เป็นเมียคนหนึ่งของคุณพี่เดช จะให้อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ได้เยี่ยงไร""หุบปากของเจ้าเสียแม่เฉิดจันทร์"คุณหญิงระพียกปลายนิ้วที่สั่นระริกขึ้นชี้หน้าสตรีไร้ยางอาย สตรีนางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก มารยาสาไถยเหมือนมารดาของนางมิมีผิด มิรู้ว่าบุตรชายของนางไปเสียรู้แก่สตรีนางนี้ได้เช่นไร"ทั้งๆ ที่ข้าเป็นเมียคุณพี่เดชก่อนคุณพี่ดอกแก้ว แต่กลับต้องตกเป็นรอง ข้ายอมถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่สงสารข้าบ้างเล่าเจ้าคะ"เฉิดจันทร์ที่เอ่ยขึ้นแสร้งบีบน้ำตาให้แลดูน่าสงสาร ไม่สนสายตาของหญิงสูงวัยที่จ้องมองนางราวกับจะกินเ
ดอกแก้วที่เร่งฝีเท้าออกจากเรือนของหมื่นเดชาหาญณรงค์ โดยไม่แม้แต่จะสนใจสายตาของผู้คนที่ต่างหันมามองนางอย่างสนใจสงสัยใคร่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดว่าที่สะใภ้ของเจ้าของงานถึงได้วิ่งร้องไห้ออกจากเรือนไปเช่นนั้น ไม่สนแม้แต่จะหยุดฝีเท้าตามเสียงเรียกของผู้เป็นใหญ่แห่งเรือนหลังนี้คุณหญิงระพีที่ดูจะตกอกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะทันเห็นบุตรชายของนางนั้นวิ่งตามออกมา ด้านหลังนั้นยังมีสตรีอีกนางติดตามมาด้วย เพียงเท่านั้นนางก็พอจะคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้"คุณแม่"น้ำเสียงของบุตรชายที่เอ่ยเรียกนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูหม่นเศร้าราวกับกำลังจะเอ่ยอธิบายกับนาง"ยังไม่ต้องมาอธิบายอะไรทั้งนั้น ตามน้องไป"มือไม้ของคุณหญิงระพีได้แต่ชี้ตามทิศทางที่หญิงสาววิ่งออกไป เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบุตรชายวิ่งตามไป ร่างของนางก็ทรุดฮวบลงทันที ดีที่มีบ่าวคนสนิทอยู่ข้างกายที่เข้ามาประคองนางไว้ได้ทัน ตอนนี้นางรู้สึกว่าจะเป็นลมเสียให้ได้ บ่าวไพร่ในเรือนต่างวิ่งวุ่นกันหายาลมยาหอมกันวุ่นวายดอกแก้ววิ่งออกมาจนถึงถนนหน้าเรือนของหมื่นเดชาหาญณรงค์ แม้ว่าตอนนี้ท้องฟ้านั้นจะปกคลุมไปด้วยความมืดมิ
หลังจากที่การร่ายรำจบลงท่ามกลางคำชื่นชมเยินยอของผู้คน ดอกแก้วจึงได้เร่งลงมาจากเวที เพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่แสนหนักนี้ แต่มันก็มิได้หนักเทียบเท่ากับจิตใจของนางในตอนนี้ ขณะที่ร่ายรำอยู่บนเวที แม้รอยยิ้มจะปรากฏอยู่บนใบหน้างาม แต่สายตาของนางก็ฉวยโอกาสกวาดมองผู้คนด้านล่าง นางเห็นชายผู้เป็นคู่หมายที่กำลังทอดสายตามองนางอย่างชื่นชมและรักใคร่ สายตาของเขายังคงมีเพียงนาง แต่เพียงครู่ที่นางละสายตาเขากลับหายไป ไม่ปรากฏแม้เพียงเงา ส่วนสตรีที่จ้องมองนางจากไกลๆ ด้วยสายตาที่นางไม่ชอบใจ มองนางราวกับนางเป็นตัวโง่งมก็หายไปด้วยดอกแก้วที่ตอนนี้ครุ่นคิดอย่างหนัก มือไม้ของนางนั้นสั่นเทา เร่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันปลดเครื่องทรงให้พ้นจากกาย เท้าบอบบางก้าวอย่างมั่นคงออกจากห้องหับที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อนางในทันที โดยที่มิมีใครได้ทันไถ่ถาม ความกระวนกระวายใจก่อตัวขึ้นในทุกย่างก้าว แม้จะรับรู้ว่าแต่ละก้าวนั้นช่างหนักหนา แต่นางก็ยังมุ่งเดินตามหาคนที่นางอยากเอ่ยไถ่ถามในหลายเรื่องที่คับข้องใจ โดยที่มิรู้ตัวเลยว่ามือบอบบางของนางกำลังกำชายสไบจนมันยับย่น สายตาได้แต่สอดส่ายหาเงาร่างที่คุ้นตาด้านหน้าของเรือนที่เต็มไปด้วยผ
แล้วงานเลี้ยงครบรอบห้าสิบปีของคุณหญิงระพีก็มาถึง แขกเหรื่อต่างมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะคุณหญิงระพีนั้นท่านเป็นสตรีผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม ส่วนสามีผู้ล่วงลับของนางก็เป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าคนชั้นสูง ตอนนี้บุตรชายก็ยังมียศมีตำแหน่งมีหน้าที่การงานที่ดี และไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง แขกที่มาร่วมงานจึงล้วนแต่เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคมแทบทั้งสิ้น หากไม่รับราชการก็ล้วนแต่เป็นเจ้าคนนายคน ปีนี้ถือว่ามีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ต้อนรับครบรอบอายุครึ่งร้อยของนางเสียงดนตรีที่แว่วดังเข้ามาทำให้ดอกแก้วรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าไม่น้อย มิใช่ว่านางมิเคยต้องร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน แต่นางกำลังกังวล ฐานะของนางตอนนี้แม้ว่าจะเป็นว่าที่สะใภ้ของเจ้าของเรือนแต่ก็คงไม่แคล้วเป็นที่ติฉินนินทา เรื่องราวของเรือนนางนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วทุกคุ้งน้ำเช่นนั้น คงมิอาจหลีกเลี่ยง แม้ตัวนางจะไม่ใคร่ใส่ใจลมปากของคนเหล่านั้น แต่ก็รู้สึกผิดหากคุณป้าระพีที่ดีกับนางมาก จะกลายเป็นขี้ปากของคนเหล่านั้นไปด้วยดอกแก้วนางกำลังจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่ถูกแต่งแต้มจนงดงามในกระจก ใบหน้างามของนางได้รับการแปลงโฉมจนยิ่
ดอกแก้วมองอาคารเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึก หนี้สินของนางตอนนี้ถูกเปลี่ยนมือไปเสียแล้ว และเจ้าหนี้ผู้นั้นคือบุรุษที่นางกำลังจะเข้าไปพบอีกฝ่ายในตอนนี้ แม้จะรู้จักเรือนของอีกฝ่ายแต่นางเลือกที่จะมาพบเขาที่บ่อนแห่งนี้ บ่อนที่นางเองก็พึ่งจะทราบว่าบุรุษผู้นั้นได้กลายเป็นหนึ่งในเจ้าของ แม้ว่าจะไม่ชมชอบสถานที่เช่นนี้ แต่หากจะไปขอพบอีกฝ่ายที่เรือนมันจะดูไม่ดีกับสตรีที่กำลังจะออกเรือนเช่นนางที่ไปพบชายหนุ่มเพียงลำพังถึงเรือน อีกอย่างนางเองก็ไม่คิดที่จะไว้ใจเขาด้วยเรื่องราวในวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของนาง ถึงแม้ว่าอยากจะลืมเลือนแต่มันกลับมิง่ายเลย และนางจะไม่ยินยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เรื่องหนี้สินที่ถูกเปลี่ยนมือ ทำให้นางกระวนกระวายใจจนแทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เมื่อวานนางนั้นเดินทางไปพบเจ้าหนี้ เพื่อเจรจาที่จะขอผ่อนจ่ายหนี้สินเป็นงวดๆ ไป และยินยอมที่จะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามสมควร เพราะนางนั้นไม่อาจที่จะเอาเปรียบคู่หมายที่จะกลายมาเป็นคู่ชีวิต เท่าที่อีกฝ่ายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของบิดานาง ก็มากเกินพอแล้ว จะให้เขาต้องมารับผิดชอบหนี้สินเหล่านั้นได้อีกอย่างไรกันแต่ทุกอ
ร่างเล็กของสตรีที่เดินอยู่ริมถนนเพียงลำพังในยามบ่ายคล้อยทำให้หมื่นเดชาหาญณรงค์ต้องชะลอรถให้ช้าลง เขาพึ่งเดินทางกลับจากทำงานที่กระทรวงเหมือนเช่นทุกวัน ใบหน้างดงามคุ้นตาที่ดูเศร้าหมองราวกับพึ่งผ่านการร้องไห้มานั้นทำให้เขาต้องวนรถกลับไปหานาง"แม่เฉิดจันทร์จะไปไหนหรือ ขึ้นรถสิประเดี๋ยวข้าจักไปส่ง"เสียงของบุรุษที่เอ่ยขึ้นทำให้เฉิดจันทร์ชะงักฝีเท้า แววตาหวานปนเศร้าที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำฉ่ำวาวจ้องมองมายังเขา ทำให้หัวใจแกร่งกระตุก ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายอีกครั้ง"ขึ้นรถสิ""เอ่อ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือ เอ่ยบอกอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ"ขึ้นรถเถอะประเดี๋ยวข้าจักไปส่ง มืดค่ำไปจักอันตราย"เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ยินยอมจึงเอ่ยเตือนนางเพราะตอนนี้ท้องฟ้าเหมือนจะมืดครึ้มลงเฉิดจันทร์ที่เห็นว่าเป็นดังที่อีกฝ่ายกล่าวและเพราะเกรงใจอีกฝ่ายที่รอนางอยู่นานจึงได้ยอมขึ้นรถไปกับบุรุษผู้เป็นคู่หมายของพี่สาวต่างสายเลือดหมื่นเดชาหาญณรงค์จ้องมองสตรีด้านข้างที่นั่งขดกายชิดประตูรถเป็นระยะ ให้นึกแปลกใจว่าผู้ใดกันที่ทำให้สตรีนางนี้หมองเศร้าได้ถึงเพียงนี้ เขาคิดว่านางจะเป็นสตรีอารมณ์ร้ายนิสัยห
เสียงหวานของสตรีผู้มาใหม่ ทำให้เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ดอกแก้วทำเพียงปรายตามองท่าทางอ่อนหวานของสตรีนางนั้นที่ช่างดูเสแสร้งอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ นางชินชากับท่าทางไร้เดียงสาของอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่ก็ไม่คิดฝันว่าสตรีนางนี้ยังจะกล้าเข้ามาทักทายนางอีก ทั้งๆ ที่มารดาของนางทำให้บิดาของตนเจ็บหนักถึงเพียงนั้น ช่างไม่มีความละอายส่วนบุรุษข้างกายนางก็ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ทั้งที่มีสตรีอยู่ข้างกายใยถึงยังใช้สายตาเช่นนั้นมองนางอีก นางจะไม่มีวันหลงใหลกับการล่อลวงของอีกฝ่ายอีกเด็ดขาด บุรุษผู้นี้ร้ายกาจเกินไป ทั้งกับความรู้สึกและร่างกายนาง ชายมากรักไม่รู้จักพอ ตัวเองมีคนรักอยู่แล้วแท้ๆ ยังมายุ่งวุ่นวายกับนางอีก เพราะความรู้สึกที่มีต่อบุคคลทั้งสองที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ดอกแก้วมิทันที่จะสังเกตอาการของบุรุษผู้เป็นคู่หมายของนาง ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง"ข้าไหว้เจ้าค่ะท่านขุน"ดอกแก้วจำต้องเอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างเสียมิได้อย่างไรเขาก็ถือว่ามีบุญคุณ ช่วยเหลือนางในหลายๆ ครั้ง แต่ตั้งใจที่จะเมินสตรีข้างกายของเขา แม้นางจะเตือนตัวเองมิให้สนใจอีกฝ่
เรือนท่านหมื่นเดชาหาญณรงค์ในวันนี้ช่างดูครึกครื้นยิ่งนัก บรรดาบ่าวไพร่ต่างมีใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเพราะได้รับเงินรางวัลกันถ้วนหน้า เนื่องในโอกาสที่บนเรือนล้วนมีแต่ข่าวที่น่ายินดี ในอีกสองวันนี้จะมีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิงระพี นายหญิงของเรือนที่มีอายุครบห้าสิบปีบริบูรณ์ ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมข้าวของกันอย่างขยันขันแข็ง และข่าวน่ายินดียังไม่หมดเพียงเท่านั้น ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็จะมีงานมงคลของท่านหมื่นเดชาหาญณรงค์กับคุณหนูดอกแก้วผู้เป็นคู่หมายที่หมั้นหมายกันมานาน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์แต่งเสียที คุณหญิงระพีนั้นก็หน้าตาสดชื่นแจ่มใสที่จะได้แต่งสะใภ้ที่ท่านทั้งรักทั้งเอ็นดู ตกรางวัลให้บ่าวไพร่ในเรือนเสียยกใหญ่ เป็นวาสนาของคุณหนูดอกแก้วเธอจริงๆ ที่มีว่าที่แม่ผัวทั้งรักทั้งหลง ถึงแม้ว่าเรือนของเธอจะประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ก็หาได้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ไม่"พ่อเดชจักไปหาน้องรึ"คุณหญิงระพีเอ่ยถามผู้เป็นบุตรชายทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังก้าวออกมาจากหอนอนของตนร่างสูงเดินเข้ามาทรุดกายลงนั่งข้างๆ มารดาของตนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง หลายวันมานี้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
เฉิดจันทร์ใช้หวีสางผมที่ดูยุ่งเหยิงของตนจนมันกลับมาเรียบลื่นเป็นทรงงดงามดังเดิม ดวงตาคู่งามจ้องมองใบหน้าสวยในกระจก นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามรอยจ้ำสีกุหลาบที่ผุดขึ้นทั่วเนินสล้างพลันยกยิ้มขึ้น เหลือบมองบุรุษที่หลับสนิทอยู่บนเตียงกว้าง นางสู้อุตส่าห์ลงทุนลงแรงเปลืองเนื้อตัวจนถึงขนาดนี้ เขาจักให้นางเห็นเขาร่วมผูกวาสนากับสตรีอื่นเช่นนั้นหรือ และสตรีนางนั้นยังเป็นสตรีที่นางเกลียดชังจนเข้ากระดูกอีกด้วย ช่างน่าขันเสียจริง เฉิดจันทร์นางเดินนวยนาดออกจากรังรักของนางกับหมื่นเดชาหาญณรงค์ไปอย่างอารมณ์ดี วันนี้นางอยากจะออกไปทำผมเสียหน่อย ในคราแรกนางคิดว่าจะไปนวดเนื้อขัดตัวเพื่อเตรียมตัวกับการเป็นภริยาท่านหมื่น แต่เห็นทีว่าวันนี้คงจะทำมิได้ เพราะบุรุษที่ยังคงหลับใหลอยู่นั้นทิ้งรอยรักตามเนื้อนวลของนางเต็มไปหมด เพียงแค่นี้ก็บ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายหลงใหลในตัวนางมากเพียงใด อยากจะเห็นหน้านังดอกแก้วในวันที่รู้เรื่องของนางกับคู่หมายของมันแทบไม่ไหว อยากจะรู้นักว่ามันจะวางท่าเย่อหยิ่งจองหองอยู่อีกหรือไม่ เมื่อรู้ว่าบุรุษของมันได้กลายเป็นของนางเสียแล้ว เพียงแค่คิดนางก็แทบจะอดทนรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว นางเกลียดแสนเกลียด