"มัวแต่มองข้าเยี่ยงนี้ ข้าว่าคงมิได้ไปเที่ยวชมตลาดเสียแล้วกระมังเจ้าคะคุณพี่เดช"
เสียงหวานที่เอ่ยสัพยอกขึ้นเรียกท่าทางเก้อเขินทำตัวมิถูกและรอยยิ้มกว้างจากบุรุษที่เหม่อลอยจนลืมที่จะพายเรือ กิริยาเหล่านั้นเรียกเสียงหัวเราะสดใสจากร่างบาง บุรุษตรงหน้ามักจะทำให้นางลืมเลือนความทุกข์เสมอ
"ก็เจ้างดงามถึงเพียงนี้ พี่จักไม่มองอย่างไรไหวคู่หมายของพี่ใครเขาก็รู้ว่างามกว่าสตรีใดในพระนคร"
หมื่นเดชาหาญณรงค์ที่เอ่ยหยอกเย้าสตรีตรงหน้า พร้อมกับเริ่มขยับไม้พายอีกครั้ง
"ปากหวานเสียจริงนะเจ้าคะ"
สายตาหวานล้ำของบุรุษหนุ่มนั้นมองเพียงสตรีตรงหน้า จนใบหน้างามนั้นแดงเรื่ออย่างเขินอาย นางนั้นงดงามสดใส เขาหลงรักปักใจในตัวสตรีนางนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ได้ แม้ว่าทั้งสองจะหมั้นหมายกันเพราะผู้ใหญ่ ในวัยเยาว์เขารักนางราวน้องสาวตัวน้อย แต่เมื่อเวลาผ่านเลยไป นางก็เข้ามาอยู่ในใจของเขาจนเต็มเสียแล้ว
สองหนุ่มสาวที่เดินเคียงกันจับจ่ายซื้อของเดินชมตลาดด้วยความสนิทสนม ช่างดูเหมาะสมกันอย่างยิ่ง บุรุษหรือก็งามสง่าหล่อเหลาคมคาย สตรีนั้นอรชรงดงามอ่อนหวาน กิริยามารยาทล้วนดูอ่อนช้อย ไม่ว่านางจะยิ้มจะหัวล้วนน่ามอง ทั้งคู่ล้วนถูกมองอย่างชื่นชมถึงความเหมาะสมนั้น แต่กลับดูขัดหูขัดตาสายตาอีกคู่ยิ่งนัก
“หมื่นเดชาหาญณรงค์เจ้าค่ะ คู่หมายของคุณพี่ดอกแก้วเธอ”
สายตาของบุรุษข้างกาย ทำให้เฉิดจันทร์จำต้องหันมองตามสายตานั้น ภาพบุรุษและสตรีที่เดินยิ้มหัวกันมานั้น ทำให้ริมฝีปากสีแดงอวบอิ่มเหยียดยิ้มขึ้น หันมากล่าวกับบุรุษข้างกาย
"่ทั้งสองดูเหมาะสมกันนะเจ้าคะ ข่าวว่ารักกันมาตั้งแต่วัยเยาว์ เฉิดจันทร์เองก็เพิ่งจะเคยเจอท่านหมื่น เห็นว่าไปประจำการอยู่เมืองเหนือกว่าสองปีพึ่งจะได้กลับพระนคร รูปงามเยี่ยงนี้อย่างไรเล่า จึงมิเคยเห็นว่าคุณพี่ดอกแก้วจะให้ความสนิทสนมกับชายใด"
เฉิดจันทร์ที่ยังคงจีบปากจีบคอกล่าวกับบุรุษข้างกาย นัยน์ตาเฉี่ยวคมเฝ้าสังเกตอาการของอีกฝ่ายอยู่ตลอด นางหาใช่คนโง่ ที่จะไม่รู้ว่าบุรุษผู้นี้คิดเช่นไรกับพี่สาวต่างสายเลือดของนาง นางรับรู้ได้ตั้งแต่ในวันงานเลี้ยงวันเกิดของนางแล้ว แม้จะรู้สึกร้อนรุ่มในอกเพราะความริษยา แต่มือเรียวงามก็บรรจงรินสุราราคาแพงส่งให้อีกฝ่ายอย่างเอาอกเอาใจ
ขุนไกรราชภักดี ท่านขุนหนุ่มวัยสามสิบห้าปี บุรุษที่สตรีในพระนครต่างใฝ่ฝันหารวมถึงตัวของเฉิดจันทร์เอง แม้ว่าอีกฝ่ายจะมีอายุมากกว่านางหลายปีแต่เขากลับดูดีมากกว่าบุรุษหนุ่มๆ รุ่นราวคราวเดียวกันกับนางเสียอีก ตั้งแต่นางได้รู้จักกับบุรุษหนุ่มวัยฉกรรจ์ผู้นี้ นางก็รู้สึกหลงใหลอีกฝ่ายเป็นอย่างมาก เขาหน้าตาหล่อเหลาคมคาย คมเข้มตามแบบฉบับบุรุษในฝันแต่ก็ร้ายกาจอย่างเหลือร้าย ดวงตาคู่คมนั้นคล้ายราชสีห์ที่เฝ้ามองเหยื่อเพียงแค่ได้สบตากลับทำให้ร้อนวูบวาบ แต่ความร้ายกาจนั้นกลับเป็นเสน่ห์ที่น่าค้นหา จนทำให้นางอยากที่จะลองเล่นในกองไฟที่ลุกโชนนี้ นางชอบการท้าทายเช่นนี้ แต่ยิ่งนานวันนางยิ่งสัมผัสได้ว่าเขาหาใช่บุรุษที่นางจะใช้เสน่ห์แห่งสตรีเพศยั่วยวนได้โดยง่าย เขาดูเจ้าเล่ห์เฉลียวฉลาดและทันคน บุรุษที่ใช้ชีวิตมาก่อนนางหลายปี จะมาตกหลุมพรางของสตรีวัยละอ่อนเช่นนางได้อย่างไร การที่จะจับอีกฝ่ายให้อยู่มือนั้นนางรู้ว่าไกลเกินเอื้อมและในสถานการณ์ที่มารดาและนางกำลังประสบปัญหาอยู่เช่นนี้ นางคงต้องเปลี่ยนเป้าหมายใหม่
และดูเหมือนว่าเป้าหมายใหม่ของนางก็ดูดีอยู่มากเลยทีเดียว สายตาคมเฉี่ยวที่แฝงไปด้วยความเย้ายวนมองไปยังบุรุษข้างกายสตรีที่นางแสนชิงชังมีประกายไหววูบ ชายหนุ่มผู้นั้นมีเสน่ห์ไม่ด้อยไปกว่าร่างสูงข้างกาย แม้ทั้งสองแทบจะเป็นเหรียญคนละด้าน เขาผู้นั้นดูอ่อนโยนดูเป็นสุภาพบุรุษทุกระเบียบนิ้ว แต่บุรุษที่กำลังละเลียดสุราในมืออยู่ข้างกายตอนนี้เขาดูแข็งแกร่ง สายตาดูเจ้าเล่ห์เต็มไปด้วยเสน่ห์แพรวพราว หากท่านหมื่นผู้นั้นคือสีขาว ท่านขุนคงเปรียบดังสีดำกระมัง
ทุกอิริยาบถและสายตาแวววาวของสตรีข้างกายล้วนตกอยู่ในสายตาคมของร่างสูง ริมฝีหยักกระตุกยิ้มขึ้นเพียงเล็กน้อย ก่อนจะหมุนแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันในมือเล่น แล้วกระดกเข้าปากทีเดียวจนหมด หลังจากนี้ก็เพียงแค่รอเท่านั้น
"แม่ดอกแก้ว หิวแล้วหรือไม่ เราแวะดื่มน้ำชาร้านนี้ดีกว่า"
ดอกแก้วมองสำรวจร้านน้ำชาที่อีกฝ่ายบอก รูปทรงดูทันสมัย ภายในร้านถูกประดับตกแต่งอย่างหรูหราดูแล้วน่าจะราคาแพงไม่น้อย แต่ภายในร้านกลับแน่นขนัดไปด้วยผู้คน ร้านของพวกฝรั่ง
พระนครในตอนนี้เปลี่ยนไปมาก ร้านรวงของพวกฝรั่งมาเปิดกันดาดเดื่อน ทุกอย่างล้วนแต่มีราคาแพง แต่ไม่รู้เหตุใดเหล่าคนชั้นสูงขุนน้ำขุนนาง คุณหญิงคุณนายทั้งหลาย ต่างพากันตบเท้าเข้าไปอุดหนุนมิได้ขาด หรือการทานอาหารร้านหรูๆ เหล่านั้นจะเป็นการบ่งบอกถึงการมีอันจะกินของพวกเขาไปเสียแล้ว
"ร้านของพวกฝรั่งหรือเจ้าคะ"
เสียงหวานที่เอ่ยถามขึ้น พร้อมคิ้วเรียวสวยนั้นขมวดมุ่น กิริยาเช่นนั้นล้วนอยู่ในสายตาของบุรุษข้างกาย
"อย่าบอกนะว่าเจ้าชังพวกฝรั่ง"
"หาใช่เช่นนั้นเจ้าค่ะ ข้าเพียงไม่คุ้นชินเท่านั้น"
นางเป็นเพียงสตรีที่อยู่แต่ในเรือน ยิ่งภายในเรือนประสบปัญหาด้านการเงิน นางยิ่งไม่ต้องการใช้จ่ายฟุ่มเฟือยกับสิ่งเหล่านี้ นางรับรู้ข่าวสารต่างๆ ว่าโลกกำลังพัฒนา แต่ไม่เคยที่จะทำตัวหลงใหลฟุ้งเฟ้อเช่นดังหลายๆ คน ยังคงใช้ชีวิตเช่นดังสตรีที่ถูกอบรมขัดเกลากิริยาเช่นดังสตรีชาวสยาม
"แม่ดอกแก้ว หากเราจะลองเปิดรับสิ่งใหม่ๆ บ้าง มันก็หาใช่สิ่งที่ผิด ยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เจ้าจะต้องเรียนรู้ โลกภายนอกยังมีอีกหลายสิ่งหลายอย่างที่เราไม่เคยเห็น ไม่เคยสัมผัส เราเพียงเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน หาใช่จะเปลี่ยนตัวเอง ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่ที่ตัวของเราเองว่าจะหลงระเริงไปกับสิ่งยั่วยุเหล่านั้นหรือไม่"
ดอกแก้วที่มองบุรุษที่กล่าวกับนางตรงหน้า แล้วยิ้มให้อีกฝ่าย
"ข้าเข้าใจแล้วเจ้าค่ะ"
"แม่ดอกแก้ว พี่ขอตัวสักครู่ พี่จักไปทักทายสหายตรงนั้นเสียหน่อย"หมื่นเดชาหาญณรงค์กล่าวกับร่างแน่งน้อยที่กำลังลิ้มชิมรสชาติขนมหวานของฝรั่งด้วยความเอร็ดอร่อย เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นสหายกำลังล่ำสุรากันอยู่ ด้วยอีกฝั่งนั้นมีแต่บุรุษจึงไม่อยากพานางไปด้วย เขามีเรื่องจะเจรจากับเหล่าสหายสักสองสามคำ"เจ้าค่ะคุณพี่เดช เชิญท่านตามสบายไม่ต้องห่วงข้า ข้าก็จะไปสุขาสักครู่"ดอกแก้วที่กล่าวกับอีกฝ่ายด้วยรอยยิ้ม ก่อนจะลุกขึ้นไปทำธุระส่วนตัว ทุกอากัปกิริยาล้วนตกอยู่ในสายตาของบุรุษผู้หนึ่งหลังจากออกมาจากการทำธุระส่วนตัว ดอกแก้วก็เดินกลับมาตามเส้นทางเล็กที่เป็นส่วนของห้องสุขาของร้าน แต่ข้างหน้ากลับถูกขวางเอาไว้โดยชายตาน้ำข้าวตัวสูงใหญ่ท่าทางเมามาย "โปรดหลีกทางด้วยเจ้าค่ะ"เสียงหวานที่เอ่ยกับชายตรงหน้าด้วยความระแวดระวัง แต่อีกฝ่ายกลับใช้สายตามองนางอย่างแทะโลมจนใบหน้างามแดงก่ำอย่างขุ่นเคือง ก่อนชายผู้นั้นจะย่างสามขุมเข้ามาหานาง ร่างบางที่ถอยหนีมองชายตัวสูงใหญ่อย่างตื่นตระหนก ดวงตากลมโตมองหาทางหนีทีไล่อย่างหวาดกลัว แต่ราวกับสวรรค์ชัง นรกกลั่นแกล้ง บริเวณนั้นไม่ปรากฏแม้แต่เงาของผู้ใดเลย"จะทำอะไรน่ะ ถอยออกไ
ดอกแก้วที่ก้าวเดินมุ่งตรงไปยังชั้นสองของตัวอาคาร ด้านบนนั้นถูกแบ่งเป็นห้องใหญ่หลายห้อง ก่อนนางจะพุ่งสายตาไปยังห้องใหญ่ที่สุดของชั้นนี้ เพราะรู้ดีว่าตอนนี้บิดาคงอยู่ในห้องนั้น เพราะสองครั้งที่นางมาที่นี่ บิดาถูกเชิญไปคุยเป็นการส่วนตัวภายในห้องนั้นเพราะแพ้พนันแล้วไม่มีเงินจ่ายแต่ครั้งนี้เมื่อเปิดประตูเข้าไป ภาพตรงหน้ากลับทำให้ร่างบางแข็งค้าง เพราะเบื้องหน้าหาใช่ผู้เป็นบิดาดังที่คิด แต่กลับเป็นชายหญิงคู่หนึ่งกำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันอยู่อย่างถึงพริกถึงขิง และนางเข้ามาขัดขวางอารมณ์รัญจวนของผู้อื่นอย่างไม่ตั้งใจ"ว้าย ตาเถร"คนทั้งคู่ที่ผละออกจากกันหันมามองตามเสียงอุทานของนาง ทำให้นางพลันได้สติเอ่ยออกไปเสียงตะกุกตะกัก"ขออภัยเจ้าค่ะ ข้า...เข้าห้องผิด"ใบหน้างามที่ร้อนผ่าวจนรู้สึกได้ก้มต่ำลง ทำท่าจะถอยออกไปแต่ต้องหยุดชะงักเพราะเสียงของบุรุษที่อยู่ในห้อง"หากเจ้าคือแม่หญิงดอกแก้ว บุตรีของคุณพระสรเดชก็ไม่ผิดหรอก"ใบหน้างามที่ขึ้นสีระเรื่อของดอกแก้วเงยหน้าขึ้นจ้องมองใบหน้าหล่อเหลาคมเข้มของบุรุษเบื้องหน้าอย่างฉงน นางมั่นใจว่าบุรุษผู้นี้หาใช่เจ้าของบ่อนเป็นแน่ เพราะนางเคยเจอเจ้าของบ่อนแห่งนี้มาส
ดอกแก้วมองอีกฝ่ายที่กำลังจ้องมองนางอย่างตกตะลึง คาดไม่ถึงว่าจะได้ยินคำพูดเช่นนี้จากบุรุษตรงหน้า สายตาพราวระยับที่จ้องมองมาทำให้นางต้องกลืนน้ำลายลงคอที่ตอนนี้มันแห้งผาก ก่อนจะเม้มปากแน่น พยายามสงบสติอารมณ์ไม่ให้ฟาดใบหน้าหล่อเหลาตรงหน้า นางรู้ดีว่าการใช้กำลังไม่ใช่ทางออกที่ดีนักสำหรับนาง อีกฝ่ายเป็นบุรุษตัวสูงใหญ่ถึงเพียงนี้ นางคงมีแต่เสียเปรียบ ทั้งที่ความจริงอยากฟาดปากอีกฝ่ายให้เลือดกบ คิดได้เช่นนั้นใบหน้างามจึงหยัดยิ้มขึ้นเล็กน้อยซึ่งมันก็ฝืดเฝื่อนเต็มที บังคับเสียงของตนเองไม่ให้สั่นเมื่อเอ่ยกับอีกฝ่าย"ข้าว่าคงมีการเข้าใจอะไรผิด แต่ก็ช่างเถอะเจ้าค่ะ เอาเป็นว่าข้าจะหาเงินส่วนที่เหลือมาใช้คืนท่านให้เร็วที่สุด ขอตัวเจ้าค่ะ"กล่าวจบก็หยัดยืนขึ้นทันที แต่ไม่ทันที่นางจะได้หันหลังเดินออกไป แขนเรียวกลับถูกรั้งเอาไว้ด้วยมือใหญ่ พร้อมแรงดึงเพียงนิดร่างบางก็เซถลาเข้าไปปะทะอกแกร่ง ความร้อนจากแผงอกกว้างและกลิ่นอายของบุรุษเพศเข้มข้นที่กระจายออกมาจากกายหนาของอีกฝ่าย ทำให้ทั้งร่างสั่นสะท้าน หัวใจกระตุกร้อนวูบวาบตั้งแต่ปลายเท้าจรดปลายผม"นี่ ท่านจะทำอะไร ปล่อยนะ"ดอกแก้วที่เอ่ยขึ้นอย่างตกใจกับความรู
"คิดอะไรอยู่รึ หรือว่าคิดถึง..."น้ำเสียงทุ้มที่ดังขึ้นใกล้ๆ อย่างหยอกเย้า กับใบหน้าหล่อเหลาที่ยื่นเข้ามาจนสัมผัสได้ถึงลมหายใจอุ่นร้อน ทำให้ดอกแก้วหลุดจากภวังค์ความคิด หันมาขึงตาใส่บุรุษตรงหน้า รอยยิ้มบนใบหน้าหล่อเหลาที่สื่อความหมายนั้น ทำให้ใบหน้างามร้อนผ่าวขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายเสียงเรียบ กลบเกลื่อนอาการร้อนๆ หนาวๆ ของตัวเอง"หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าขอตัวเจ้าค่ะ"ดอกแก้วที่กล่าวได้เพียงเท่านั้นก็ต้องรีบยกแขนขึ้นยันอกแกร่งเอาไว้เพราะเขาเข้ามาใกล้จนนางมือไม้สั่นกับความใกล้ชิดนั้น บุรุษผู้นี้ทำให้นางสูญเสียความเป็นตัวเอง ทั้งที่ใจนั้นบอกว่าชังเขา แต่นางกลับไม่รู้สึกรังเกียจสัมผัสของอีกฝ่ายเลย ซึ่งนางเองก็ไม่อาจหาคำตอบได้เช่นกัน"เจ้ายังโกรธเคืองข้าเรื่องในวันนั้นอยู่อีกรึ"เสียงทุ้มนุ่มที่เอ่ยถาม ทำให้นางต้องหลับตาลงข่มกลั้นความประหม่าที่เกิดขึ้น "เปล่าเจ้าค่ะเรื่องมันแล้วไปแล้วข้าหาได้ใส่ใจ ข้าขอบคุณท่านอีกครั้งที่ช่วยเหลือข้าในครั้งนี้ และขอบคุณที่ช่วยหนูยิ้มเอาไว้ในครานั้น แต่ข้าคงไม่มีสิ่งใดตอบแทน นอกเสียจากคำขอบคุณ หวังว่าท่านคงจะไม่ถือสา หากไม่มีสิ่งใดแล้ว โปรด
ขุนไกรมองแผ่นหลังชายหญิงทั้งสองที่เดินเคียงคู่กันจากไปด้วยหลากหลายความรู้สึก นึกย้อนไปถึงเรื่องราวต่างๆ ที่เขาได้รับรู้เกี่ยวกับสตรีนางนี้ สตรีที่ครั้งหนึ่งเขาหาได้ใส่ใจ แต่ไม่นึกเลยว่าเพียงแค่ได้เห็นหน้านาง จะทำให้บุรุษที่มิเคยใส่ใจสตรีใด บุรุษที่มองสตรีเป็นเพียงที่ระบายความใคร่จะเป็นไปได้ถึงเพียงนี้ เขารู้ว่าเขาหลงใหลนางเข้าแล้ว อยากได้ อยากครอบครอง อยากให้นางกลายเป็นสมบัติของตนแต่เพียงผู้เดียว ซึ่งเขาก็ไม่เลือกวิธีเสียด้วยสินึกไปถึงต้นสายปลายเหตุที่ทำให้เขาได้เจอกับนาง ริมฝีปากหยักพลันยิ้มกว้างขึ้น ป่านนี้ คุณนายสายหยุด คงได้รับจดหมายของเขาแล้วกระมังคุณนายสายหยุด เมียรักของ ท่านเศรษฐีทองคำ ตอนนี้กำลังนั่งทอดถอนลมหายใจอย่างหมดสิ้นความหวัง สายตาของนางทอดมองไปยังบุตรหลานของบรรดาบ่าวไพร่ในเรือนที่พากันวิ่งเล่นกันอยู่ตรงลานกว้างตรงท่าน้ำ พลางระบายลมหายใจออกมาอีกคราหนึ่งจนบรรดาบ่าวไพร่ต่างหันมาสบตากัน วันนี้นายหญิงของพวกตนมีเรื่องใดหนักอกหนักใจกัน แต่ก็มิมีผู้ใดใจกล้าพอที่จะละลาบละล้วงถามผู้เป็นนายคุณนายสายหยุดนางนั้นมีบุตรชายหญิงถึงสามคนแต่กลับยังไม่มีหลานให้เชยชม อายุอานามของนางก็เพ
ขุนไกรมองสตรีสาวใหญ่ที่แต่งกายด้วยชุดอาภรณ์หรูหรา นางถือว่าเป็นลูกค้าประจำของที่นี่ ในที่แห่งนี้ไม่มีใครไม่รู้จักคุณหญิงบุหลัน ภริยาสาวของคุณพระสรเดช ซึ่งตอนนี้ใบหน้าที่ถูกแต่งแต้มเอาไว้อย่างงดงามด้วยเครื่องประทินโฉมอย่างดีเริ่มที่จะมีเม็ดเหงื่อผุดซึม สีหน้าแสดงถึงความเคร่งเครียด มือขาวนวลคว้าเอาแก้วที่มีน้ำสีเหลืองอำพันขึ้นดื่มด้วยใบหน้าเครียดขึง นางอยู่ที่นี่ตั้งแต่เช้าจนตอนนี้ด้านนอกนั้นปกคลุมไปด้วยความมืดของยามราตรี ดูท่าวันนี้นางจะมือตกมีแต่เสียกับเสีย แต่ที่น่าแปลกคือยิ่งเสียนางก็ยิ่งทุ่มเงินเดิมพันจนตอนนี้หมดเนื้อหมดตัว เดินหัวฟัดหัวเหวี่ยงออกจากบ่อนไปนางคือสตรีคนเดียวกันกับมารดาของเฉิดจันทร์คู่ควงคนล่าสุดของเขาและเป็นมารดาเลี้ยงของสตรีอีกคนที่เข้ามาวิ่งวุ่นอยู่ในหัวของเขาตลอดหลายวันที่ผ่านมา และนางยังเป็นสตรีผู้ที่ปล่อยข่าวลือเสียๆ หายๆ ของลูกเลี้ยงตน โดยที่เจ้าตัวเองก็คงไม่รู้ตัวเสียด้วยซ้ำกระมังความจริงในตอนแรกขุนไกรเขาก็ไม่ได้ให้ความสนใจเรื่องราวของอีกฝ่ายมากนัก รู้เพียงว่าคุณหนูดอกแก้วเป็นโฉมสะคราญที่ผู้คนร่ำลือว่างดงามที่สุดในพระนคร ซึ่งเขามองเป็นเรื่องน่าขัน ขึ้นชื่อว่
แล้วในที่สุดเรือนคุณพระสรเดชก็ลุกเป็นไฟ เมื่อเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้ถึงเรือนชาน อับอายไปทั่วทั้งพระนคร ถึงขนาดที่สองแม่ลูกที่มักจะเฉิดฉายอยู่เสมอไม่เยื้องกรายออกจากเรือน จนกระทั่งตอนนี้ก็ยังไม่เห็นหน้า และเหตุการณ์ในครั้งนี้ก็สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจให้แก่ดอกแก้วครั้งใหญ่ เพราะไม่เพียงเจ้าหนี้ตามมาทวงหนี้แต่พวกเขากำลังจะยึดเรือนด้วย เรือนที่เป็นความทรงจำแสนสุขในวัยเด็ก เรือนที่มารดารัก ถูกใช้เป็นหลักประกันในการกู้หนี้ยืมสิน นางไม่คิดเลยจริงๆ ว่าบิดาจะกล้านำเรือนที่เป็นความทรงจำของมารดาไปจำนอง ส่วนบิดาของนางนั้นก็เป็นลมหมดสติไปทันที จนวุ่นวายกันทั้งเรือนดอกแก้วที่เป็นผู้มาเจรจากับเจ้าหนี้หมดแรงทรุดกายลงทันทีที่เหล่าเจ้าหนี้ยอมลงจากเรือน ยืดเวลาให้แก่นาง แต่คำพูดและท่าทางของพวกเขากำลังดังอื้ออึงอยู่ในหัวนาง จนน้ำตาหยดหนึ่งหยดกระทบบนหลังมือขาวนวลที่กำเข้าหากันแน่นจนสั่นเทาคำพูดและสายตาของพวกเขาล้วนสื่อความหมายถึงสิ่งที่ต้องการออกมาเป็นอย่างดี สายตาที่มองนางนั้นจาบจ้วงแทะโลมจนน่าขยะแขยง นางไม่มีวันใช้ร่างกายชดใช้หนี้ให้ชายแก่เหล่านั้นเด็ดขาด หากทำเช่นนั้นคงยิ่งกว่าตายทั้งเป็นบานประตูห้อง
"คุณพ่อ คุณพ่อเจ้าคะ"ดอกแก้วรีบวิ่งมาทรุดกายลงนั่งตรงร่างของบิดาที่นอนแน่นิ่ง เลือดสีแดงและกลิ่นคาวคละคลุ้งที่ไหลออกมาจากรูจมูกและศีรษะของบิดา ทำให้นางหวาดกลัวจนสั่นเทาไปทั้งร่าง หัวใจของนางแทบจะหยุดเต้นก่อนมันจะเต้นกระหน่ำดั่งรัวกลอง หยาดน้ำตามากมายหลั่งไหล ความเจ็บปวดบีบรัดจนเจ็บแน่นไปทั้งทรวงอกเฉกเช่นเมื่อครั้งที่สูญเสียมารดา ความหวาดกลัวถาโถมจนนางแทบครองสติเอาไว้ไม่อยู่"คุณพ่อ ช่วยด้วย ใครก็ได้ช่วยที คุณพ่อ โฮ"เกิดความโกลาหลขึ้นกลางเรือนคุณพระสรเดช บรรดาบ่าวไพร่ที่เห็นเหตุการณ์พากันอกสั่นขวัญแขวน วิ่งวุ่นตามหมอกันวุ่นวาย ส่วนคนต้นเรื่องได้แต่มองภาพนั้นอย่างตกตะลึง ตกใจกลัวจนตัวสั่น"ข้ามิได้ทำนะ คุณพี่พลัดตกลงไปเอง"บุหลันนางได้แต่ร้องโวยวาย นางไม่ได้อยากที่จะทำร้ายอีกฝ่าย แต่เขากลับดึงรั้งนางเอาไว้ไม่ยอมให้นางออกจากเรือนไป จะให้นางอยู่ได้อย่างไร ใครจะไปทนลำบากกับคนที่กำลังจะสิ้นเนื้อประดาตัวได้ กำลังจะไม่มีแม้แต่หลังคาเรือนไว้คุ้มหัว หากจะให้นางต้องกัดก้อนเกลือกิน นางไม่เอาด้วยหรอกนะ เฉิดจันทร์ที่หายจากอาการตกใจ เมื่อเห็นว่าผู้เป็นมารดาดูเหมือนจะหวาดกลัวมากจนสั่นไปทั้งร่างแทบ
ทางด้านเรือนหมื่นเดชาหาญณรงค์ที่ตอนนี้ดูวุ่นวาย จนงานเลี้ยงล่มไม่เป็นท่า เหตุเพราะเจ้าของงานเลี้ยงเป็นลมหมดสติไปจริงๆ จากที่มีทีท่าว่าจะเป็นลมหลังจากที่ผู้เป็นบุตรชายวิ่งตามว่าที่ลูกสะใภ้ออกไป แต่สตรีอีกนางที่ยังคงอยู่ ใบหน้างดงามนั้นเปรอะเปื้อนน้ำตา ร้องไห้สะอึกสะอื้นดูแล้วช่างน่าเวทนาในสายตาผู้คน แต่มิใช่สำหรับคุณหญิงระพีที่รู้ถึงสันดานไพร่ของอีกฝ่าย เสียงหวานแหบเครือที่เอ่ยขึ้นท่ามกลางผู้ชมมากมายทำให้คุณหญิงระพีโกรธจนสั่นไปทั้งร่าง"คุณหญิงแม่ต้องให้ความเป็นธรรมกับเฉิดจันทร์นะเจ้าคะ เฉิดจันทร์ก็เป็นเมียคนหนึ่งของคุณพี่เดช จะให้อยู่อย่างหลบๆ ซ่อนๆ ได้เยี่ยงไร""หุบปากของเจ้าเสียแม่เฉิดจันทร์"คุณหญิงระพียกปลายนิ้วที่สั่นระริกขึ้นชี้หน้าสตรีไร้ยางอาย สตรีนางนี้ช่างร้ายกาจยิ่งนัก มารยาสาไถยเหมือนมารดาของนางมิมีผิด มิรู้ว่าบุตรชายของนางไปเสียรู้แก่สตรีนางนี้ได้เช่นไร"ทั้งๆ ที่ข้าเป็นเมียคุณพี่เดชก่อนคุณพี่ดอกแก้ว แต่กลับต้องตกเป็นรอง ข้ายอมถึงเพียงนี้ เหตุใดจึงไม่สงสารข้าบ้างเล่าเจ้าคะ"เฉิดจันทร์ที่เอ่ยขึ้นแสร้งบีบน้ำตาให้แลดูน่าสงสาร ไม่สนสายตาของหญิงสูงวัยที่จ้องมองนางราวกับจะกินเ
ดอกแก้วที่เร่งฝีเท้าออกจากเรือนของหมื่นเดชาหาญณรงค์ โดยไม่แม้แต่จะสนใจสายตาของผู้คนที่ต่างหันมามองนางอย่างสนใจสงสัยใคร่รู้ว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้น เหตุใดว่าที่สะใภ้ของเจ้าของงานถึงได้วิ่งร้องไห้ออกจากเรือนไปเช่นนั้น ไม่สนแม้แต่จะหยุดฝีเท้าตามเสียงเรียกของผู้เป็นใหญ่แห่งเรือนหลังนี้คุณหญิงระพีที่ดูจะตกอกตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ก่อนจะทันเห็นบุตรชายของนางนั้นวิ่งตามออกมา ด้านหลังนั้นยังมีสตรีอีกนางติดตามมาด้วย เพียงเท่านั้นนางก็พอจะคาดเดาสิ่งที่เกิดขึ้นได้"คุณแม่"น้ำเสียงของบุตรชายที่เอ่ยเรียกนางนั้นเต็มไปด้วยความรู้สึกผิด ใบหน้าหล่อเหลานั้นดูหม่นเศร้าราวกับกำลังจะเอ่ยอธิบายกับนาง"ยังไม่ต้องมาอธิบายอะไรทั้งนั้น ตามน้องไป"มือไม้ของคุณหญิงระพีได้แต่ชี้ตามทิศทางที่หญิงสาววิ่งออกไป เมื่อเห็นว่าผู้เป็นบุตรชายวิ่งตามไป ร่างของนางก็ทรุดฮวบลงทันที ดีที่มีบ่าวคนสนิทอยู่ข้างกายที่เข้ามาประคองนางไว้ได้ทัน ตอนนี้นางรู้สึกว่าจะเป็นลมเสียให้ได้ บ่าวไพร่ในเรือนต่างวิ่งวุ่นกันหายาลมยาหอมกันวุ่นวายดอกแก้ววิ่งออกมาจนถึงถนนหน้าเรือนของหมื่นเดชาหาญณรงค์ แม้ว่าตอนนี้ท้องฟ้านั้นจะปกคลุมไปด้วยความมืดมิ
หลังจากที่การร่ายรำจบลงท่ามกลางคำชื่นชมเยินยอของผู้คน ดอกแก้วจึงได้เร่งลงมาจากเวที เพื่อผลัดเปลี่ยนอาภรณ์ที่แสนหนักนี้ แต่มันก็มิได้หนักเทียบเท่ากับจิตใจของนางในตอนนี้ ขณะที่ร่ายรำอยู่บนเวที แม้รอยยิ้มจะปรากฏอยู่บนใบหน้างาม แต่สายตาของนางก็ฉวยโอกาสกวาดมองผู้คนด้านล่าง นางเห็นชายผู้เป็นคู่หมายที่กำลังทอดสายตามองนางอย่างชื่นชมและรักใคร่ สายตาของเขายังคงมีเพียงนาง แต่เพียงครู่ที่นางละสายตาเขากลับหายไป ไม่ปรากฏแม้เพียงเงา ส่วนสตรีที่จ้องมองนางจากไกลๆ ด้วยสายตาที่นางไม่ชอบใจ มองนางราวกับนางเป็นตัวโง่งมก็หายไปด้วยดอกแก้วที่ตอนนี้ครุ่นคิดอย่างหนัก มือไม้ของนางนั้นสั่นเทา เร่งให้บ่าวไพร่ช่วยกันปลดเครื่องทรงให้พ้นจากกาย เท้าบอบบางก้าวอย่างมั่นคงออกจากห้องหับที่ถูกจัดเตรียมเอาไว้เพื่อนางในทันที โดยที่มิมีใครได้ทันไถ่ถาม ความกระวนกระวายใจก่อตัวขึ้นในทุกย่างก้าว แม้จะรับรู้ว่าแต่ละก้าวนั้นช่างหนักหนา แต่นางก็ยังมุ่งเดินตามหาคนที่นางอยากเอ่ยไถ่ถามในหลายเรื่องที่คับข้องใจ โดยที่มิรู้ตัวเลยว่ามือบอบบางของนางกำลังกำชายสไบจนมันยับย่น สายตาได้แต่สอดส่ายหาเงาร่างที่คุ้นตาด้านหน้าของเรือนที่เต็มไปด้วยผ
แล้วงานเลี้ยงครบรอบห้าสิบปีของคุณหญิงระพีก็มาถึง แขกเหรื่อต่างมาร่วมงานกันอย่างอุ่นหนาฝาคั่ง เพราะคุณหญิงระพีนั้นท่านเป็นสตรีผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคม ส่วนสามีผู้ล่วงลับของนางก็เป็นที่นับหน้าถือตาของเหล่าคนชั้นสูง ตอนนี้บุตรชายก็ยังมียศมีตำแหน่งมีหน้าที่การงานที่ดี และไม่แน่ว่าปีนี้อาจจะได้เลื่อนตำแหน่ง แขกที่มาร่วมงานจึงล้วนแต่เป็นผู้ที่มีหน้ามีตาในสังคมแทบทั้งสิ้น หากไม่รับราชการก็ล้วนแต่เป็นเจ้าคนนายคน ปีนี้ถือว่ามีแต่สิ่งดีๆ เข้ามา ต้อนรับครบรอบอายุครึ่งร้อยของนางเสียงดนตรีที่แว่วดังเข้ามาทำให้ดอกแก้วรู้สึกตื่นเต้นและประหม่าไม่น้อย มิใช่ว่านางมิเคยต้องร่วมงานเลี้ยงใหญ่โตเช่นนี้มาก่อน แต่นางกำลังกังวล ฐานะของนางตอนนี้แม้ว่าจะเป็นว่าที่สะใภ้ของเจ้าของเรือนแต่ก็คงไม่แคล้วเป็นที่ติฉินนินทา เรื่องราวของเรือนนางนั้นดังกระฉ่อนไปทั่วทุกคุ้งน้ำเช่นนั้น คงมิอาจหลีกเลี่ยง แม้ตัวนางจะไม่ใคร่ใส่ใจลมปากของคนเหล่านั้น แต่ก็รู้สึกผิดหากคุณป้าระพีที่ดีกับนางมาก จะกลายเป็นขี้ปากของคนเหล่านั้นไปด้วยดอกแก้วนางกำลังจ้องมองใบหน้าของตัวเองที่ถูกแต่งแต้มจนงดงามในกระจก ใบหน้างามของนางได้รับการแปลงโฉมจนยิ่
ดอกแก้วมองอาคารเบื้องหน้าด้วยสายตาที่ไม่อาจคาดเดาความรู้สึก หนี้สินของนางตอนนี้ถูกเปลี่ยนมือไปเสียแล้ว และเจ้าหนี้ผู้นั้นคือบุรุษที่นางกำลังจะเข้าไปพบอีกฝ่ายในตอนนี้ แม้จะรู้จักเรือนของอีกฝ่ายแต่นางเลือกที่จะมาพบเขาที่บ่อนแห่งนี้ บ่อนที่นางเองก็พึ่งจะทราบว่าบุรุษผู้นั้นได้กลายเป็นหนึ่งในเจ้าของ แม้ว่าจะไม่ชมชอบสถานที่เช่นนี้ แต่หากจะไปขอพบอีกฝ่ายที่เรือนมันจะดูไม่ดีกับสตรีที่กำลังจะออกเรือนเช่นนางที่ไปพบชายหนุ่มเพียงลำพังถึงเรือน อีกอย่างนางเองก็ไม่คิดที่จะไว้ใจเขาด้วยเรื่องราวในวันนั้นยังคงฝังลึกอยู่ในความทรงจำของนาง ถึงแม้ว่าอยากจะลืมเลือนแต่มันกลับมิง่ายเลย และนางจะไม่ยินยอมให้มันเกิดขึ้นอีกเป็นครั้งที่สอง เรื่องหนี้สินที่ถูกเปลี่ยนมือ ทำให้นางกระวนกระวายใจจนแทบไม่ได้นอนตลอดทั้งคืน เมื่อวานนางนั้นเดินทางไปพบเจ้าหนี้ เพื่อเจรจาที่จะขอผ่อนจ่ายหนี้สินเป็นงวดๆ ไป และยินยอมที่จะจ่ายดอกเบี้ยให้ตามสมควร เพราะนางนั้นไม่อาจที่จะเอาเปรียบคู่หมายที่จะกลายมาเป็นคู่ชีวิต เท่าที่อีกฝ่ายช่วยเหลือค่าใช้จ่ายของบิดานาง ก็มากเกินพอแล้ว จะให้เขาต้องมารับผิดชอบหนี้สินเหล่านั้นได้อีกอย่างไรกันแต่ทุกอ
ร่างเล็กของสตรีที่เดินอยู่ริมถนนเพียงลำพังในยามบ่ายคล้อยทำให้หมื่นเดชาหาญณรงค์ต้องชะลอรถให้ช้าลง เขาพึ่งเดินทางกลับจากทำงานที่กระทรวงเหมือนเช่นทุกวัน ใบหน้างดงามคุ้นตาที่ดูเศร้าหมองราวกับพึ่งผ่านการร้องไห้มานั้นทำให้เขาต้องวนรถกลับไปหานาง"แม่เฉิดจันทร์จะไปไหนหรือ ขึ้นรถสิประเดี๋ยวข้าจักไปส่ง"เสียงของบุรุษที่เอ่ยขึ้นทำให้เฉิดจันทร์ชะงักฝีเท้า แววตาหวานปนเศร้าที่เอ่อคลอไปด้วยหยาดน้ำฉ่ำวาวจ้องมองมายังเขา ทำให้หัวใจแกร่งกระตุก ก่อนจะเอ่ยกับอีกฝ่ายอีกครั้ง"ขึ้นรถสิ""เอ่อ ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ"เสียงหวานที่เอ่ยขึ้นอย่างสั่นเครือ เอ่ยบอกอีกฝ่ายอย่างเกรงใจ"ขึ้นรถเถอะประเดี๋ยวข้าจักไปส่ง มืดค่ำไปจักอันตราย"เมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายดูจะไม่ยินยอมจึงเอ่ยเตือนนางเพราะตอนนี้ท้องฟ้าเหมือนจะมืดครึ้มลงเฉิดจันทร์ที่เห็นว่าเป็นดังที่อีกฝ่ายกล่าวและเพราะเกรงใจอีกฝ่ายที่รอนางอยู่นานจึงได้ยอมขึ้นรถไปกับบุรุษผู้เป็นคู่หมายของพี่สาวต่างสายเลือดหมื่นเดชาหาญณรงค์จ้องมองสตรีด้านข้างที่นั่งขดกายชิดประตูรถเป็นระยะ ให้นึกแปลกใจว่าผู้ใดกันที่ทำให้สตรีนางนี้หมองเศร้าได้ถึงเพียงนี้ เขาคิดว่านางจะเป็นสตรีอารมณ์ร้ายนิสัยห
เสียงหวานของสตรีผู้มาใหม่ ทำให้เกิดความเงียบอันน่าอึดอัดขึ้น ต่างคนต่างตกอยู่ในห้วงความคิดของตัวเอง ดอกแก้วทำเพียงปรายตามองท่าทางอ่อนหวานของสตรีนางนั้นที่ช่างดูเสแสร้งอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ นางชินชากับท่าทางไร้เดียงสาของอีกฝ่ายเสียแล้ว แต่ก็ไม่คิดฝันว่าสตรีนางนี้ยังจะกล้าเข้ามาทักทายนางอีก ทั้งๆ ที่มารดาของนางทำให้บิดาของตนเจ็บหนักถึงเพียงนั้น ช่างไม่มีความละอายส่วนบุรุษข้างกายนางก็ช่างเหมาะสมกันยิ่งนัก ทั้งที่มีสตรีอยู่ข้างกายใยถึงยังใช้สายตาเช่นนั้นมองนางอีก นางจะไม่มีวันหลงใหลกับการล่อลวงของอีกฝ่ายอีกเด็ดขาด บุรุษผู้นี้ร้ายกาจเกินไป ทั้งกับความรู้สึกและร่างกายนาง ชายมากรักไม่รู้จักพอ ตัวเองมีคนรักอยู่แล้วแท้ๆ ยังมายุ่งวุ่นวายกับนางอีก เพราะความรู้สึกที่มีต่อบุคคลทั้งสองที่มาปรากฏอยู่ตรงหน้า ทำให้ดอกแก้วมิทันที่จะสังเกตอาการของบุรุษผู้เป็นคู่หมายของนาง ที่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายกำลังไม่พอใจอะไรบางอย่าง"ข้าไหว้เจ้าค่ะท่านขุน"ดอกแก้วจำต้องเอ่ยทักทายอีกฝ่ายอย่างเสียมิได้อย่างไรเขาก็ถือว่ามีบุญคุณ ช่วยเหลือนางในหลายๆ ครั้ง แต่ตั้งใจที่จะเมินสตรีข้างกายของเขา แม้นางจะเตือนตัวเองมิให้สนใจอีกฝ่
เรือนท่านหมื่นเดชาหาญณรงค์ในวันนี้ช่างดูครึกครื้นยิ่งนัก บรรดาบ่าวไพร่ต่างมีใบหน้าเปื้อนไปด้วยรอยยิ้มเพราะได้รับเงินรางวัลกันถ้วนหน้า เนื่องในโอกาสที่บนเรือนล้วนมีแต่ข่าวที่น่ายินดี ในอีกสองวันนี้จะมีงานเลี้ยงฉลองวันคล้ายวันเกิดของคุณหญิงระพี นายหญิงของเรือนที่มีอายุครบห้าสิบปีบริบูรณ์ ทุกคนต่างช่วยกันจัดเตรียมข้าวของกันอย่างขยันขันแข็ง และข่าวน่ายินดียังไม่หมดเพียงเท่านั้น ในอีกหนึ่งเดือนข้างหน้าก็จะมีงานมงคลของท่านหมื่นเดชาหาญณรงค์กับคุณหนูดอกแก้วผู้เป็นคู่หมายที่หมั้นหมายกันมานาน ในที่สุดก็ได้ฤกษ์แต่งเสียที คุณหญิงระพีนั้นก็หน้าตาสดชื่นแจ่มใสที่จะได้แต่งสะใภ้ที่ท่านทั้งรักทั้งเอ็นดู ตกรางวัลให้บ่าวไพร่ในเรือนเสียยกใหญ่ เป็นวาสนาของคุณหนูดอกแก้วเธอจริงๆ ที่มีว่าที่แม่ผัวทั้งรักทั้งหลง ถึงแม้ว่าเรือนของเธอจะประสบเคราะห์กรรมครั้งใหญ่ก็หาได้เป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ไม่"พ่อเดชจักไปหาน้องรึ"คุณหญิงระพีเอ่ยถามผู้เป็นบุตรชายทันทีที่เห็นว่าอีกฝ่ายนั้นกำลังก้าวออกมาจากหอนอนของตนร่างสูงเดินเข้ามาทรุดกายลงนั่งข้างๆ มารดาของตนเอ่ยตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง หลายวันมานี้เขารู้สึกมีความสุขเป็นอย่างมาก
เฉิดจันทร์ใช้หวีสางผมที่ดูยุ่งเหยิงของตนจนมันกลับมาเรียบลื่นเป็นทรงงดงามดังเดิม ดวงตาคู่งามจ้องมองใบหน้าสวยในกระจก นิ้วเรียวลูบไล้ไปตามรอยจ้ำสีกุหลาบที่ผุดขึ้นทั่วเนินสล้างพลันยกยิ้มขึ้น เหลือบมองบุรุษที่หลับสนิทอยู่บนเตียงกว้าง นางสู้อุตส่าห์ลงทุนลงแรงเปลืองเนื้อตัวจนถึงขนาดนี้ เขาจักให้นางเห็นเขาร่วมผูกวาสนากับสตรีอื่นเช่นนั้นหรือ และสตรีนางนั้นยังเป็นสตรีที่นางเกลียดชังจนเข้ากระดูกอีกด้วย ช่างน่าขันเสียจริง เฉิดจันทร์นางเดินนวยนาดออกจากรังรักของนางกับหมื่นเดชาหาญณรงค์ไปอย่างอารมณ์ดี วันนี้นางอยากจะออกไปทำผมเสียหน่อย ในคราแรกนางคิดว่าจะไปนวดเนื้อขัดตัวเพื่อเตรียมตัวกับการเป็นภริยาท่านหมื่น แต่เห็นทีว่าวันนี้คงจะทำมิได้ เพราะบุรุษที่ยังคงหลับใหลอยู่นั้นทิ้งรอยรักตามเนื้อนวลของนางเต็มไปหมด เพียงแค่นี้ก็บ่งบอกได้ว่าอีกฝ่ายหลงใหลในตัวนางมากเพียงใด อยากจะเห็นหน้านังดอกแก้วในวันที่รู้เรื่องของนางกับคู่หมายของมันแทบไม่ไหว อยากจะรู้นักว่ามันจะวางท่าเย่อหยิ่งจองหองอยู่อีกหรือไม่ เมื่อรู้ว่าบุรุษของมันได้กลายเป็นของนางเสียแล้ว เพียงแค่คิดนางก็แทบจะอดทนรอให้ถึงวันนั้นไม่ไหว นางเกลียดแสนเกลียด