เมื่อคนนอกออกไปหมดแล้ว ภายในห้องก็เหลือเพียงสามพ่อแม่ลูกตระกูลอวิ๋นและหลินเซียงอี๋ฮูหยินท่านโหวมองลูกชายตนเองที่ไม่แสดงท่าทีอะไร ก่อนจะหันไปมองหลินเซียงอี๋ที่ยืนก้มหน้าอยู่ข้างๆ ขมวดคิ้วแล้วเอ่ยว่า “คุณหนูหลิน...”“ท่านแม่ ดึกมากแล้ว หากมีเรื่องอะไรก็ค่อยคุยกันพรุ่งนี้เถอะขอรับ ท่านควรจะไปพักผ่อนได้แล้ว”อวิ๋นเฉิงไม่รอให้มารดาเอ่ยจนจบก็ตัดบทของนางโดยตรง ก่อนจะเอ่ยไล่แบบอ้อมค้อมฮูหยินท่านโหวเดือดดาลจนตบโต๊ะฉาดใหญ่ “ดี ดี เจ้าตามข้าออกมา”เจ้าเด็กคนนี้ วันนี้เกิดเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ นางยังไม่ทันจะได้เอ่ยถามก็ออกตัวปกป้องเสียแล้ว“ขอรับ! ลูกจะส่งท่านแม่กลับห้องเอง”อวิ๋นเฉิงส่งฮูหยินท่านโหวออกจากห้องอย่างนอบน้อม ทิ้งหลินเซียงอี๋เอาไว้ด้านหลังเมื่อคนของจวนโหวออกไปหมดแล้ว หลินเซียงอี๋ก็หายใจคล่องคอขึ้นอย่างมาก นางไม่สนใจเรื่องอะไรอีกและปีนขึ้นไปนอนบนเตียงนางหลับอย่างสบายใจ ขณะที่เรือนหลักของจวนโหวเกิดการวิวาทขึ้นเพราะนาง“ฮึ ท่านดูลูกชายตัวดีของท่านสิ เพียงเพื่อสตรีคนหนึ่ง จวนเจิ้นกั๋วโหวของพวกเราต้องอับอายขายหน้าจนแทบมุดแผ่นดินแล้ว”หลี่ฉานฮว๋า ฮูหยินแห่งจวนโหวจ้องหน้าสามีอย
“แต่อวิ๋นเฉิงเป็นบุรุษที่ดูมีสัจจะพึ่งพาได้ ข้ายอมรับนับถือเขามาก จะต้องดีกับเขาอย่างแน่นอน”หลินเซียงอี๋เอ่ยเสริมหนึ่งประโยค หลังจากจัดการทุกอย่างเรียบร้อยแล้ว ถึงได้เห็นว่าอวิ๋นเฉิงยืนรออยู่ด้านนอกนางนึกถึงตอนที่อวิ๋นเฉิงยืนบังอยู่ตรงหน้านางเมื่อคืน ภายในใจก็แอบซาบซึ้ง เอ่ยปากทักว่า “สามี พวกเราไปคารวะท่านพ่อกับท่านแม่กันเถอะเจ้าค่ะ”ได้ยินคำว่าสามี อวิ๋นเฉิงก็ถึงกับตัวแข็งทื่อ แต่พอนึกถึงสิ่งที่ได้ยินเมื่อครู่นี้ เขาก็อดแขวะไม่ได้ “เจ้าเรียกได้เป็นธรรมชาติเหลือเกินนะ”หลังจากกล่าวจบก็สะบัดแขนเสื้อเดินนำหน้าไปก่อนหลินเซียงอี๋ยืนงง ไม่ให้นางเรียกแบบนี้ จะให้นางเรียกแบบไหนล่ะ?หรือจะให้นางเรียกว่าท่านโหวน้อย?เมื่อวานเขายังปกติดีอยู่เลย ทำไมวันนี้ถึงเปลี่ยนอารมณ์เร็วนักล่ะ?หลินเซียงอี๋ทำตัวไม่ถูก ตอนแรกนางคิดจะเอ่ยขอบคุณเขาสักหน่อย แต่ตอนนี้นางพูดไม่ออกแล้วคิดว่าเรื่องที่นางเปลี่ยนตัวเจ้าสาวคงทำให้เขาไม่พอใจ เมื่อคืนเขาปกป้องนางก็คงทำเพื่อปกป้องเกียรติของจวนโหวเท่านั้นหลินเซียงอี๋เม้มปากแล้วเดินตามอวิ๋นเฉิง ทว่าทิ้งห่างจากอีกฝ่ายเล็กน้อย มุ่งหน้าไปทางเรือนหลักอวิ๋นเฉิงเ
หลินเซียงอี๋พับแขนเสื้อขึ้น ซาวข้าวยกขึ้นตั้งจุดไฟ ยกกะทะเทน้ำมัน ท่าทางคล่องแคล่วเหมือนทำมาแล้วเป็นร้อยๆ ครั้งนอกจากเหล่าแม่ครัวจะตกตะลึงที่เห็นภาพตรงหน้าแล้ว แม้แต่ซื่อชูก็ยังตั้งสติไม่ได้“คุณ คุณหนู ท่านทำอาหารเป็นตั้งแต่เมื่อไหร่เจ้าคะ?”คุณหนูของนางไม่เคยต้องทำงานใดใด อย่าว่าแต่ทำอาหารเลย นางไม่เคยเข้าไปในครัวด้วยซ้ำทำไมถึงทำอาหารได้ล่ะ“เจ้าคิดว่าคุณหนูของพวกเจ้าไร้ความสามารถอย่างนั้นหรือ?”หลินเซียงอี๋แอบเหลือบมองอาหารของพวกแม่ครัว จึงพอจะรู้ความชอบของสองสามีภรรยาจวนโหว นางต้มโจ๊กเปล่าและทำกับข้าวอย่างง่ายๆ สองสามอย่างอะไรที่มากเกินควรย่อมไม่ดี นางเข้าใจหลักการนี้ดีเหล่าแม่ครัวที่ยืนออรอดูเรื่องตลกของหลินเซียงอี๋ ต่างคิดไม่ถึงว่านางจะทำอาหารเสร็จไวถึงเพียงนี้พวกนางหันไปมองหน้ากันแบบงงๆ ก่อนจะยกกล่องใส่อาหารเดินตามนายบ่าวทั้งสองคนไป“นี่ ฮูหยินน้อยคนนี้คงจะไม่ได้อยู่ในจวนต่อกระมัง! ไม่อย่างนั้นสิ่งที่เราทำกับนางวันนี้ ก็ออกจะเกินไปหน่อย”แม่ครัวคนหนึ่งเอ่ยอย่างไม่สบายใจ“ฮึ ต่อให้ได้อยู่จริง ฮูหยินก็มีอำนาจมากสุดในจวนโหว เด็กไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมอย่างนางไม่มีสิทธิ์อ
“น้องสาวกล่าวได้ถูกต้องแล้ว สิ่งที่ไม่ได้เป็นของตัวเองย่อมต้องคืนให้ผู้ที่เป็นเจ้าของ”หลินเซียงอี๋กล่าวด้วยท่าทางยิ้มแย้ม เพียงแต่รอยยิ้มกลับไปไม่ถึงดวงตานางสั่งเผิ่งฮั่วว่า “ไปเอาบันทึกรายการสินเดิมมา จากนั้นก็ไปขอให้พ่อบ้านเรียกบ่าวยกสินเดิมออกมา ตรวจนับอย่างละเอียดแล้วคืนให้น้องสาว”จะตรวจนับ?หวังพิ่นถิงใจหายวาบ รีบลุกขึ้นยืนแล้วบอกว่า “ช้าก่อน!”“มีอะไรหรือ?”หลินเซียงอี๋เลิกคิ้วถาม “น้องสาวไม่ต้องเกรงใจหรอก นี่เป็นสินเดิมของเจ้า พี่สาวไม่คิดจะโลภมากยึดเอาไว้หรอก”หวังพิ่นถิงพยายามฉีกยิ้ม “เรื่องตรวจนับคงไม่จำเป็นหรอก ข้าเชื่อใจคนของจวนโหว พวกเขาไม่มีทางแตะต้องสินเดิมของข้าหรอก ให้คนยกออกมากก็พอ”“จะพูดเช่นนั้นมันก็ถูก แต่ข้าไม่อาจปล่อยให้จวนโหวเป็นที่ครหาได้!”หลินเซียงอี๋แสร้งถอนหายใจเบาๆ “เกิดวันหน้าน้องสาวเอาสินเดิมมาตรวจนับแล้วมีของขาดหายไป ความผิดจะหล่นใส่หัวจวนโหวเอาได้ แบบนั้นต่อให้มีร้อยปากก็ยังแก้ตัวไม่ได้”“ข้าบอกว่าไม่ต้องก็ไม่ต้องสิ”หวังพิ่นถิงร้อนใจ “เจ้าไม่คิดจะคืนสินเดิมให้ข้าสินะ ถึงได้หาข้ออ้างมากมายเช่นนี้”“ดูน้องสาวพูดจาเข้าสิ ข้าทำแบบนี้ก็เพื่อ
“พี่สาว ท่านคิดว่าตำแหน่งฮูหยินน้อยจวนโหวของท่านมันมั่นคงแล้วจริงๆ หรือ?”“ใช้ชื่อของท่านโหวน้อยมาข่มขู่ผู้อื่นเช่นนี้ ช่างไร้ยางอายสิ้นดี!”หวังพิ่นถิงเห็นว่าหลินเซียงอี๋ไม่ยอมทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ดวงตาคู่งามของนางก็แทบมีไฟลุกออกมานางถอยไปยืนด้านหลังป้าหวัง เอ่ยด้วยท่าทางหวาดกลัว “อย่างไรเสียวันนี้ข้าก็ต้องเอาสินเดิมกลับไปให้ได้ หากท่านไม่ยินยอม ข้าจะไปฟ้องท่านป้า”กล่าวจบ นางก็มองหลินเซียงอี๋ด้วยท่าทางของคนที่เหนือกว่า รอให้อีกฝ่ายยอมโอนอ่อนผ่อนตามตั้งแต่เล็กจนโต ทุกครั้งที่นางมีเรื่องทะเลาะกับหลินเซียงอี๋ ขอเพียงเอ่ยถึงท่านป้าขึ้นมา หลินเซียงอี๋ก็จะยอมเชื่อฟังแต่โดยดีไม่ต้องพูดถึงว่าคราวนี้มีป้าหวังอยู่ด้วย หากหลินเซียงอี๋กล้าไม่เชื่อฟัง ท่านป้าจะต้องสั่งสอนหลินเซียงอี๋แน่นอน“ข้าจะนั่งตำแหน่งนี้ได้มั่นคงหรือไม่ ฮูหยินกู้อย่างเจ้าไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอก”หลินเซียงอี๋ปรายตามองนางอย่างเฉยชา “วันนี้ต่อให้ท่านแม่จะอยู่ตรงนี้ด้วย หากไม่ผ่านการตรวจสอบอย่างละเอียด เจ้าอย่าหวังจะเอาสินเดิมพวกนี้กลับไปเลย”สิ้นเสียงของหลินเซียงอี๋ ก็มีเสียงฝีเท้าดังมาจากด้านนอกเรือน จากนั้นก็มีคนขนห
ทุกคนหันไปมองทางต้นเสียง เห็นอวิ๋นเฉิงเดินเข้ามาพร้อมอาภรณ์หรูหราสีแดงสดร่างกายสูงโปร่งผ่าเผย คิ้วตางดงามดุจภาพวาด แววตาแฝงความเย็นชา แต่ยามที่มองเห็นหลินเซียงอี๋ ความเย็นชานั้นก็ละลายหายในพริบตาอวิ๋นเฉิงเดินตรงเข้ามาทางหลินเซียงอี๋ ก่อนจะหยุดยืนข้างกายนางหลินเซียงอี๋มองคนตรงหน้าด้วยความรู้สึกประหลาดใจงานแต่งงานเมื่อคืนนี้ หลินเซียงอี๋พยายามคิดจนหัวแทบระเบิดว่าจะรั้งอยู่ในจวนโหวอย่างไร จึงไม่ทันได้สังเกตอวิ๋นเฉิงอย่างละเอียดความทรงจำที่นางพอจะนึกได้เกี่ยวกับอวิ๋นเฉิง คือชาติก่อนหลังแต่งงานได้เพียงหนึ่งวัน เขาก็นำทัพออกไปปราบปรามทางเหนือฮ่องเต้และขุนนางนับร้อยไปยืนส่งกองทัพที่นอกเมือง ประชาชนนับไม่ถ้วนในเมืองหลวงต่างพากันออกไปนอกเมืองเพื่อดูความยิ่งใหญ่นางกับหวังพิ่นถิงก็ไปยืนเบียดเสียดฝูงชนเพื่อยืนส่งด้วยเช่นกันวันนั้นอวิ๋นเฉิงสวมชุดเกราะออกรบ สายตาหาญกล้าไม่หวาดหวั่น ตัวคนราวกับกระบี่คม พร้อมจะเข่นฆ่าสังหารศัตรูตลอดเวลาจึงไม่รู้เลยว่าท่านโหวน้อยยามที่ไม่ได้สวมใส่ชุดเกราะออกรบ จะหล่อเหลาถึงเพียงนี้อวิ๋นเฉิงเห็นสายตาตกตะลึงระคนชื่นชมของหลินเซียงอี๋ มุมปากก็ยกสูงขึ้นโด
เผิ่งฮั่วหยิบแท่นฝนหมึกที่ดูเรียบง่ายทว่าสง่างามออกมา วัสดุพื้นผิวเนียนละเอียดดุจหยก รูปร่างคล้ายตัวอักษรเฟิง(风) มีขอบสามด้าน บริเวณที่ฝนหมึกและเก็บน้ำหมึกแวววาวต่อให้ผ่านกาลเวลามายาวนาน ผ่านชีวิตมาสองชาติภพ หลินเซียงอี๋มองปราดเดียวก็ยังจำได้ว่าแท่นฝนหมึกนี้เป็นของที่อยู่ในห้องหนังสือของบิดาเมื่อได้เห็นของต่างหน้าของบิดา หลินเซียงอี๋ก็เก็บความตื่นเต้นไว้ไม่อยู่ นางรับมาตรวจดูอย่างละเอียด ด้านล่างของแท่นฝนหมึกมีรอยขีดข่วนเล็กๆ อยู่ด้วยรอยนี้เกิดขึ้นตอนที่นางยังเป็นเด็ก นางไม่ทันระวังจึงทำมันหล่นพื้นถึงบิดาจะเกิดในตระกูลบัณฑิตที่ยิ่งใหญ่ แต่กลับไม่ชอบท่องตำราคัดอักษร เขาชอบร่ำเรียนวรยุทธ์ สมัครเข้ากองทัพตั้งแต่ยังหนุ่มและได้รู้จักกับฮ่องเต้สมัยยังเป็นแค่องค์ชาย หลังจากทั้งสองทะเลาะขัดแย้งกันก็กลายเป็นสหายรู้ใจหลังจากท่านพ่อไปออกรบ ฮ่องแต่ก็ขึ้นครองราชย์ขณะที่ท่านพ่อรบอยู่ชายแดน ก็มักจะเขียนจดหมายหาฮ่องเต้เป็นประจำ ฮ่องเต้ทรงตำหนิว่าลายมือของเขาอ่านยาก จึงพระราชทานสี่สมบัติของห้องหนังสือให้ท่านพ่อเอาไว้ฝึกคัดอักษรแท่นฝนหมึกนี้เป็นของที่ฮ่องเต้ทรงพระราชทานให้บิดา หลังจากบิดาเ
อวิ๋นเฉิงเห็นหญิงสาวแสร้งทำเป็นเข้มแข็งทั้งที่ประหม่าอย่างเห็นได้ชัด แต่ยังสงวนท่าทีสุขุมนุ่มลึกให้คนอื่นเห็นเหมือนกับเมื่อคืนนี้เขารู้ความต้องการของนาง เข้าใจว่านางวางแผนอะไรไว้ แล้วก็รู้ว่านางอยากยืมอำนาจของจวนโหวแต่พอเขาเห็นท่าทางระมัดระวังของนางแล้ว ก็ยังอดรู้สึกขัดหูขัดตาไม่ได้“ข้าบอกแล้วไง คำสั่งของฮูหยินก็คือคำสั่งของข้า เรื่องนี้ฮูหยินจัดการตามที่เห็นชอบเถอะ”อวิ๋นเฉิงสะบัดแขนเสื้อ เสียงกระจ่างใสของเขาดังขึ้นที่ข้างหูของหลินเซียงอี๋ “ครั้งที่สอง”หลินเซียงอี๋ที่ได้รับการอนุญาตจากอวิ๋นเฉิงก็พรูลมหายใจอย่างโล่งอก แต่หลังจากได้ยินประโยคนั้นก็เกิดความงุนงงครั้งที่สองอะไร?อวิ๋นเฉิงกลับไม่คิดจะอธิบายความหมายให้ฟัง เขาก้าวฉับๆ จากไปทันทีหลินเซียงอี๋มองสินเดิมที่วางกองเต็มเรือน นางไม่มีเวลาไปสนใจอวิ๋นเฉิง หันไปสั่งอวิ๋นซู่เชิงว่า “พ่อบ้านอวิ๋น ส่งคนมาเฝ้าสินเดิมพวกนี้ไว้ เอาไว้ข้ารายงานท่านพ่อท่านแม่ แจ้งข่าวให้ท่านปู่ทราบแล้ว จะได้หารือข้อสรุป”“เมื่อถึงตอนนั้นจะจัดการอย่างไรค่อยว่ากันอีกที”“ขอรับ ฮูหยินน้อย!”อวิ๋นซู่เชิงโบกมือส่งสัญญาณ ทหารกลุ่มหนึ่งก็เข้ามาประจำก
ชุนฮว๋าหน้าซีดเผือด ไม่คาดคิดว่าหลินเซียงอี๋จะไม่ยอมไว้หน้าฮูหยินท่านโหวแม้แต่น้อยทั้งชิวเยว่และเซี่ยอวี่มองหน้ากัน รีบเข้าไปพยุงชุนฮว๋าขึ้นมา ทั้งสองคนประกบซ้ายขวา พาชุนฮว๋ามากล่าวขอโทษหลินเซียงอี๋“ฮูหยินน้อย ฮูหยินใหญ่ให้พวกเรามาปรนนิบัติฮูหยินน้อย พวกเราจึงเป็นคนของฮูหยินน้อย ชุนฮว๋าเพียงแต่ไม่รู้กฎระเบียบยามอยู่ต่อหน้าฮูหยินน้อย บ่าวจะตั้งใจสั่งสอนนางเองเจ้าค่ะ”“พวกบ่าวจะพาชุนฮว๋าออกไปก่อนเจ้าค่ะ”หลินเซียงอี๋ไม่อยากถือสาคนรับใช้จึงไม่ได้พูดอะไร ปล่อยให้ทั้งสองคนพาตัวชุนฮว๋าออกไปพอทุกคนออกไปหมดแล้ว ซื่อชูที่อัดอั้นมานานก็ถามขึ้นทันที “ฮูหยินน้อย นังบ่าวสารเลวนั่นมาที่เรือนของเราได้อย่างไร?”“นางคือสาวใช้ที่ท่านโหวน้อยขับไล่ออกไปคืนนั้น ฮูหยินใหญ่จะให้นางเป็นอนุของท่านโหวน้อยหรือ?”“ฮูหยินน้อย ท่านต้องคิดหาวิธีขับไล่นางแพศยานั่นออกไปนะเจ้าคะ”หลินเซียงอี๋หลุดหัวเราะออกมา นางมองซื่อชูที่กำลังกลุ้มอกกลุ้มใจอย่างขบขัน พูดเย้าแหย่นางว่า “เจ้าเด็กคนนี่ ทำตัวเหมือนสามีตัวเองจะเอาเมียน้อยเข้าบ้านอย่างไรอย่างนั้น”“ไม่ต้องกังวลนะ ข้าจะหาบุรุษที่รักเดียวใจเดียวมาให้เจ้าเอง รับรอ
สิ้นเสียงของหลี่ฉานฮว๋า บรรยากาศในห้องก็เงียบสงัดลงทันทีหลินเซียงอี๋หันมองไปที่ชุนฮว๋าซึ่งยืนอยู่ด้านหลังป้าหนิงโดยไม่รู้ตัว เห็นได้ชัดว่าบนใบหน้าของนางยังคงมีความหวาดกลัวอยู่ เมื่อได้ยินคำพูดนี้ ความหวาดกลัวก็เปลี่ยนเป็นความดีใจ แต่ก็ยังมีความกังวลอยู่บ้าง นางต้องการจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ถูกป้าหนิงถลึงตาใส่จนต้องหยุดหลินเซียงอี๋เลิกคิ้วเล็กน้อยแล้วลุกขึ้นยืน พูดทันทีว่า “คนที่อยู่ข้างกายท่านแม่ย่อมต้องเป็นคนดี ท่านวางใจได้ ข้าจะจัดการเรื่องของพี่ชุนฮว๋าให้เรียบร้อย ท่านแม่ไม่ต้องกังวล”“ลูกสะใภ้ สัญญาขายตัวนี้ข้ามอบให้เจ้าแล้ว ชุนฮว๋าก็นับว่าเป็นทาสของเจ้าเช่นกัน นางไม่ใช่คนของข้า เจ้าไม่ต้องเห็นแก่หน้าข้า จะตีจะด่าจะขายออกไปอย่างไรก็ตามใจเจ้า ไม่ต้องมาบอกกล่าวข้า”ระหว่างที่พูด ตงเสวี่ยก็ยื่นเอกสารสัญญาทาสของชุนฮว๋าให้หลินเซียงอี๋ด้วยความเคารพเมื่อตงเสวี่ยทำเช่นนั้น สีหน้าของชุนฮว๋าก็ซีดเผือด เหมือนไม่คิดว่าฮูหยินจะยอมยกสัญญาซื้อตัวทาสของนางให้อีกฝ่ายจริงๆหลินเซียงอี๋เลิกคิ้ว นางเองก็ไม่คิดว่าแม่สามีจะมอบให้จริงๆ นี่มันไม่ใช่การส่งคนมาแฝงข้างกายนางหรอกหรือ แล้วการให้สัญญาซื้
อวิ๋นเฉิงเห็นหลินเซียงอี๋ครุ่นคิด สีหน้าแสดงถึงความรู้สึกทั้งสุขและเศร้าปะปนกันหัวใจพลันหนักอึ้งหรือว่านางยังลืมเจ้าคนตระกูลกู้นั่นไม่ได้?ทันใดนั้น ความคิดที่จะชวนนางพูดคุยก็หายไปหมดสิ้นทั้งสองคนมองหน้ากันโดยไม่พูดอะไร ตอนที่กลับไปถึงจวนโหว อวิ๋นเฉิงพูดทิ้งท้ายไว้ว่า "ข้าจะไปที่ห้องหนังสือ เย็นนี้ไม่ต้องรอข้า ทานอาหารก่อนได้เลย" แล้วสะบัดแขนเสื้อเดินจากไปหลินเซียงอี๋รู้สึกงงๆ นางหันไปมองเผิ่งฮั่วแล้วพึมพำว่า "คนผู้นี้ทำไมถึงอารมณ์เสียอีกแล้ว?"เผิ่งฮั่วก้มหน้า ไม่กล้าส่งเสียงหลินเซียงอี๋ไม่มีเรี่ยวแรงจะไปง้อใคร จึงพาเผิ่งฮั่วไปที่เรือนหลักในช่วงเวลาเดียวกัน ณ เรือนหลักของจวนโหวหลี่ฉานฮว๋ามองสาวใช้คนสนิทที่คุกเข่าอยู่บนพื้นด้วยความผิดหวัง"ชุนฮว๋า เจ้ารู้ไหม ข้าได้หาคู่ครองที่ดีเตรียมไว้ให้เจ้าแล้ว ข้าจะให้โอกาสเจ้าอีกครั้ง เจ้าจะไม่แต่งงานกับเขาจริงๆ หรือ?"ชุนฮว๋าที่คุกเข่าอยู่ตกใจ รีบพูดว่า "ฮูหยิน ข้ามีใจให้ท่านโหวน้อย ขอท่านเห็นแก่ความจงรักภักดีที่ข้ามีต่อท่าน โปรดเมตตาข้าด้วยเถิด!""ข้าไม่ต้องการแต่งงาน ข้ายินดีปรนนิบัติท่านโหวน้อยและฮูหยินน้อยไปตลอดชีวิต แม้จะ
หลินเหยียนหลี่ทำปากยื่น ไม่ยอมพูดอะไรหลินเซียงอี๋ขบฟันกรอด ยกมือขึ้นมาแล้วเอ่ยว่า “ยังอยากโดนตีอีกหรือไง?”“พี่ก็คิดจะตีข้าอย่างเดียว!”หลินเหยียนหลี่พูดอย่างขุ่นเคือง “ท่านแม่บอกว่าถ้าข้าเอาใจพี่สาว พี่สาวก็จะช่วยเหลือข้า ต้องทำให้พี่ชอบข้า พี่ถึงจะนึกถึงพวกเรา”หลินเซียงอี๋ไม่ได้รู้สึกแปลกใจอะไรนัก นางถามต่อ “แล้วใครบอกเจ้าว่าพี่เขยบังคับให้ข้าแต่งงานด้วย?”หลินเหยียนหลี่กลอกตาไปมา ตัดสินใจพูดออกมา “พี่สาวตระกูลหวังบอกว่าเดิมทีสามีของพี่สาว ควรจะเป็นสามีของนาง”“นางพูดอะไรเจ้าก็เชื่อ? เจ้าโง่หรือเปล่า?”“ข้าไม่ได้โง่นะ!”หลินเหยียนหลี่พูดอย่างไม่พอใจ “พี่สาวต่างหากที่ไม่รู้จักคุณค่า ไม่ยอมแต่งงานกับพี่ชายสิงโจวพี่สาวตระกูลหวังถึงได้พูดแบบนั้น”หลินเซียงอี๋หัวเราะเยาะ “หลินเหยียนหลี่ เจ้าอยากโดนตีอีกแล้วใช่ไหม?”หลินเหยียนหลี่ยังคงไม่ยอมแพ้ “ข้าพูดผิดตรงไหน?”“อวิ๋นเฉิงเคยเป็นคู่หมั้นของข้า ท่านพ่อเป็นคนหมั้นหมายไว้ให้ตั้งแต่ตอนที่ท่านยังมีชีวิตอยู่ แต่เพราะท่านแม่กับหวังพิ่นถิงวางแผนร่วมกัน ข้าถึงได้ขอถอนหมั้นกับเขา แต่ต่อมาข้าก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจผิด ถึงได้สลับตัวไปแต่งงา
น้องชายที่นางคิดว่าเป็นสุภาพบุรุษกลับมีสภาพแบบนี้ลับหลัง เป็นร่างแยกของคนตระกูลหวังชัดๆ!หลินเซียงอี๋โกรธจนน้ำตาคลอเบ้านางนึกถึงชะตากรรมที่โดดเดี่ยวเดียวดายในตระกูลกู้เมื่อชาติที่แล้วทุกครั้งที่นางกลับไปบ้านเดิม นางก็ไม่เคยเจอหน้าน้องชาย แม่บอกว่าน้องชายกำลังขยันศึกษาตำรา นางก็เชื่อเสียสนิทใจแต่ลืมไปว่าถ้าอยู่ใกล้คนเลวๆ อย่างหวังเย่าจู่ น้องชายจะเรียนดีได้อย่างไรพอมาคิดดูแล้ว ตอนที่ตระกูลหลินล่มสลาย ท่านแม่ส่งน้องชายไปอยู่กับปู่ ก็เพราะแม่เป็นฝ่ายรบเร้า และท่านปู่ก็สงสารลูกหลานตระกูลหลินที่ต้องตกระกำลำบากเลยรับไว้หลินเหยียนหลี่ยังคงร้องไห้ หลินเซียงอี๋รู้สึกเหมือนขมับเต้นตุบๆ เมื่อกวาดตามองไปรอบๆ เห็นกิ่งไม้ที่ใครสักคนทำตกไว้ข้างประตู ก็รีบเก็บขึ้นมาหันหลังกลับไปฟาดใส่หลินเหยียนหลี่อย่างแรง “อายุแค่นี้กลับไม่ตั้งใจเรียน คิดไม่ซื่อ วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าแทนท่านพ่อเอง”ชาติที่แล้วหลินเซียงอี๋ใช้ชีวิตเหลวแหลก ไม่รู้จักธาตุแท้ของคน ถูกมารดาและลูกพี่ลูกน้องวางแผนทำลาย ถูกคนร่วมเรียงเคียงคิดร้าย สุดท้ายก็ลงเอยด้วยความตายอย่างน่าอนาถชาตินี้ นางสามารถแก้แค้นพวกคนสารเลวเหล่านั้น
“เซียงอี๋อย่าไปถือสามารดาของเจ้าเลยนะ เชื่อใจอาสะใภ้รองนะ อาสะใภ้รองจะช่วยดูแลเหยียนหลี่ให้เอง”สะใภ้แซ่หานพาลูกชายลูกสาวมาส่งคู่บ่าวสาวถึงประตูที่สอง ความจริงแล้ว นางอยากจะสืบดูว่าวันนี้เกิดอะไรขึ้นที่เรือนตะวันตกหลินเซียงอี๋ย่อมไม่พูดอะไรอยู่แล้ว นางยิ้มแล้วกล่าวว่า “ถ้าอย่างนั้นต่อไปนี้ ข้าก็ต้องรบกวนอาสะใภ้รองแล้วเจ้าค่ะ”“อาสะใภ้รองไม่ต้องไปส่งแล้ว ให้เหยียนหลี่ไปส่งข้าก็พอ”“ตกลง ถ้าอย่างนั้นข้าส่งพวกเจ้าตรงนี้นะ”สะใภ้แซ่หานมองอวิ๋นเฉิงที่กำลังคุยกับลูกชายของนางอยู่ ดึงหลินเซียงอี๋ไปด้านข้างแล้วถามเบาๆ ว่า “เซียงอี๋ ท่านย่าคิดว่าเรื่องของเรือนตะวันตกต่อไปนี้จะยกให้ข้าดูแลด้วย”“ข้าคิดว่า ค่าใช้จ่ายประจำวันของพี่สะใภ้ใหญ่และเหยียนหลี่ต่อไปนี้จะออกจากเงินส่วนกลาง เหมือนกับเรือนตะวันออกของพวกเรา แต่ว่าคุณชายจากตระกูลหวังก็อยู่ที่เรือนตะวันตกด้วย ข้าก็เลยอยากจะถามเจ้าว่า จะต้องทำตาหลักการแบบไหนดี ข้าจะได้ตระเตรียมได้ถูก”ความจริงแล้วเรื่องนี้ไม่ควรจะถามหลินเซียงอี๋ที่เป็นลูกสาวที่แต่งออกไปแล้ว แต่คนที่ดูแลเรือนตะวันตกตอนที่ยังไม่ได้แยกครอบครัวคือหลินเซียงอี๋ หากไม่ถามก่อ
ความวุ่นวายที่เรือนตะวันตกไม่ได้เล็ดลอดออกไป ดังนั้นท่านผู้เฒ่าทั้งสองและบ้านรองจึงไม่รู้เรื่องอาหารมื้อกลางวันจัดขึ้นที่ห้องโถงใหญ่ในเรือนหลัก แบ่งที่นั่งชายหญิงชัดเจนเพียงแต่คนของตระกูลหลิน นอกจากหลินเซียงอี๋แล้ว หลินเล่ออี๋ลูกสาวคนเดียวก็ยังเด็กอยู่ ฮูหยินผู้เฒ่าหลินจึงไม่ได้วางฉากกั้นทุกคนในครอบครัวทยอยกันเข้ามานั่งจนเต็มที่นั่งยกเว้นสะใภ้แซ่หวังที่ยังไม่มาสีหน้าฮูหยินผู้เฒ่าหลินไม่สู้ดีนัก มองไปที่สาวใช้ข้างกาย "เจ้าไปตามสะใภ้แซ่หวังมา เซียงอี๋กลับมาเยี่ยมบ้าน ในฐานะแม่กลับไม่อยู่ ดูไม่งามเลย"ป้าจางเป็นสาวใช้ข้างกายของฮูหยินผู้เฒ่าหลิน แต่งงานกับพ่อบ้านของตระกูลหลิน หลังจากนั้นก็อยู่รับใช้ฮูหยินผู้เฒ่าหลินมาตลอด ได้รับความไว้วางใจอย่างมากนางเป็นคนเที่ยงธรรมและเคร่งขรึม ช่วยฮูหยินผู้เฒ่าหลินดูแลจัดการทุกอย่าง ด้วยวิธีการที่เฉียบขาด ไม่ไว้หน้าใครสะใภ้แซ่หานเห็นแม่สามีให้คนนี้ไปตามสะใภ้แซ่หวังก็แอบดีใจ ในแววตาคาดหวังว่าจะได้ชมเรื่องสนุกพี่สะใภ้คนนี้ ชีวิตต่อไปภายหน้าคงลำบากแน่หลังจากป้าจางไปแล้ว สะใภ้แซ่หานก็กลอกตาแล้วลุกขึ้นถาม "ท่านแม่ พวกเราจะรอพี่สะใภ้หรือเริ่
คำพูดของอวิ๋นเฉิงหนักแน่นและทรงพลังจากนั้น อวิ๋นเฉิงก็พาหลินเซียงอี๋ออกจากเรือนชิ่งฟางโดยไม่ฟังคำอธิบายของสะใภ้แซ่หวังเมื่อออกจากเรือนตะวันตก อวิ๋นเฉิงก็ปล่อยมือหลินเซียงอี๋หลินเซียงอี๋มองไปที่คนข้างๆ แล้วโค้งคำนับอย่างสุภาพ “ขอบคุณสามีที่ช่วยเหลือข้าในวันนี้ ข้า…”“หลินเซียงอี๋ ต่อไปทำอะไรให้คิดให้รอบคอบกว่านี้ ไม่ใช่ทุกครั้งที่ข้าจะมาช่วยเจ้าได้ทัน”อวิ๋นเฉิงตำหนิโดยไม่ลังเล “ถ้าวันนี้เจ้าถูกไอ้สารเลวกู้มันแตะต้องจริงๆ แล้ววงศ์ตระกูลของพวกเราจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน”หลินเซียงอี๋เก็บความซาบซึ้งใจไว้ “สามีสั่งสอนได้ถูกต้องแล้ว เรื่องวันนี้ข้าประมาทเอง ข้าไม่น่าเชื่อใจท่านแม่”“อย่างไรก็ตาม ขอบคุณสามีที่เชื่อใจข้า ไม่ได้ฟังคำใส่ร้ายป้ายสีของคนอื่น”อวิ๋นเฉิงรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำพูดนี้ก็หัวเราะเยาะ “เจ้าดิ้นรนขวนขวายจะแต่งเข้าจวนโหวเพื่อจะมีชีวิตที่ดี จะกลับไปกินของเก่าอย่างกู้สิงโจวได้อย่างไร”“จวนโหวถึงจะไม่ใช่ตระกูลชั้นแนวหน้าในเมืองหลวง แต่อย่างไรก็ยังดีกว่าตระกูลกู้เยอะ”“ข้ามีสมอง ย่อมรู้จักแยกแยะถูกผิด”หลินเซียงอี๋ฟังแล้วคันฟัน อยากจะกระโดดกัดคนตรงหน้าใ
กู้สิงโจวหันไปมองอวิ๋นเฉิงด้วยความเดือดดาล “ท่านโหวน้อย ท่านเพิ่งจะยอมรับว่าคุณหนูหลินเซียงอี๋เป็นคนนัดพบข้าไม่ใช่หรือ”อวิ๋นเฉิงเหลือบมองเขาด้วยสายตาเหยียดหยาม “นางแค่นัด เจ้าก็เสนอหน้ามา? คุณชายกู้เอาตำราคุณธรรมทั้งหลายไปท่องให้สุนัขฟังหมดแล้วหรือ?”กู้สิงโจว…เมื่อโดนด่าไปเต็มๆ ใบหน้าของกู้สิงโจวก็แดงก่ำเหมือนตับหมู ทว่าเขากลับเถียงไม่ออกสักคำเดิมทีคิดว่าจะยุให้อวิ๋นเฉิงกับหลินเซียงอี๋ผิดใจกัน แม้ว่าจะไม่สามารถทำให้หลินเซียงอี๋กลับมาหาตนเองได้ แต่อวิ๋นเฉิงเห็นภรรยาใหม่ของตนอยู่กับอดีตคู่หมั้นในห้องสองต่อสอง ก็ต้องโกรธแค้นและเกิดความร้าวฉานขึ้นแน่แต่ใครจะรู้ อวิ๋นเฉิงกลับไม่ทำตามที่คาดไว้เลย หนำซ้ำยังปกป้องหลินเซียงอี๋อย่างเต็มที่ด้วยอวิ๋นเฉิงใช้รูปร่างอันสูงใหญ่ ยืนปกป้องหลินเซียงอี๋อยู่ข้างๆ มองคนอื่นๆ ด้วยสายตาเย่อหยิ่ง “ท่านแม่ วันนี้เป็นวันกลับมาเยี่ยมบ้านของเซียงอี๋ เกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมา ข้าต้องไปถามท่านปู่ท่านย่าสักหน่อยแล้ว ว่าท่านอาสะใภ้รองดูแลจัดการบ้านช่องอย่างไร”“หรือคิดจะรังแกเซียงอี๋เพราะไม่มีใครหนุนหลัง?”สะใภ้แซ่หวังเห็นว่าอวิ๋นเฉิงจะเอาเรื่องไปฟ้องผู้ใหญ