ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดพักของอินชิงเสวียน กำลังภายในที่มีอยู่ในร่างกายถูกนางหลอมรวมกันเป็นส่วนๆ และถูกย่อยไปแล้วหนึ่งในสามส่วนใช้เวลาอย่างมากไม่เกินสามวัน ก็สามารถแปลงพลังเหล่านี้ให้สำเร็จ ถึงวาระนั้นก็สามารถจดจ่อศึกษาวิทยายุทธ์เหล่านั้นได้เมื่อแสงแรกสาดส่องลงมา ผู้อาวุโสหันก็หยุดรถ“ทุกคนลงมาขยับร่างกายกันหน่อย ถือโอกาสกินอาหารรองท้อง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร วันนี้จะไม่หยุดอีกแล้ว”“ข้าจะไปปลดทุกข์หน่อย”อินชิงเสวียนลงจากรถ แล้วเดินไปที่เนินใกล้เคียงผู้อาวุโสหันพูดทันที “อวิ๋นลี่ เจ้าไปเป็นเพื่อชิงเสวียน”“เจ้าค่ะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงตามไปติดๆคราวนี้อินชิงเสวียนต้องการปลดทุกข์จริงๆ นางรีบทำธุระส่วนตัว แล้วเอาน้ำพุวิญญาณมาล้างมือ จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วถามคนด้านบน “เมื่อวานเจ้าหมายความว่าอย่างไร ตกลงว่าธิดาเทพของพวกเจ้าใช่แม่ของข้าหรือไม่”คราวนี้เฟิงเอ้อร์เหนียงไม่ลังเล พยักหน้าทันทีอินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าเข้าใจได้ไหมว่า ยกเว้นเรื่องนี้ เรื่องอื่นผู้อาวุโสหันเป็นคนสั่งให้เจ้าบอก”เพราะเมื่อวานนี้เฟิงเอ้อร์เ
เสี่ยวหนานเฟิงที่อายุเท่านี้จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร เมื่อเห็นฉางเฮิ่นเทียนยิ้ม ทั้งยั้งเล่นกับตัวเอง เขาก็พยักหน้าอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้นเช่นกันตราบใดที่ยังมีความต้องการก็จัดการได้ง่าย กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ปรารถนาสิ่งใดสักพักอาหารง่ายๆ ก็เตรียมพร้อมเสร็จสรรพอินชิงเสวียนหยิบข้าวถ้วยร้อนสองกล่องส่งให้ฉางเฮิ่นเทียน“ข้าวนี้นุ่มมาก ลูกข้ากินได้ พวกเจ้าสองคนกินกันคนละกล่องนะ ถ้าไม่พอ เจ้าก็กินเสบียงอาหารแห้ง”“ขอบคุณแม่นางอิน”ฉางเฮิ่นเทียนใช้มือหนึ่งอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง แล้วรับอาหารด้วยมืออีกข้างหนึ่งอินชิงเสวียนกินชอบหม้อไฟเล็ก จึงหยิบของตัวเอง ส่วนที่เหลือที่เหลือก็เก็บไว้ให้ผู้อาวุโสหันและเฟิงเอ้อร์เหนียง“เจ้าสำนักฉุยกินอะไรได้หรือไม่ ที่ข้ายังมีนมอยู่นะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงส่ายหัว“ตอนนี้น่าจะไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดพลังงานภายในให้นาง ประคับประคองร่างกายของนางไว้”“อื้ม ถ้าต้องการเจ้าค่อยบอกข้านะ”อินชิงเสวียนเปิดฝากล่อง แล้วนั่งกินอยู่ข้างๆผู้อาวุโสหันอาศัยอยู่บนภูเขามาตลอด ไม่มีความต้องการอาหารมากนัก แต่ยังคงถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กล
ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ไม่ได้ดีไปกว่าเก่อหงยวนมากนัก หลังจากออกจากชายฝั่งแล้ว เย่จิ่งหลานก็จงใจปล่อยพวกเขาออกมาจากมิติทะเลกว้างใหญ่ ลึกล้ำไร้ขอบเขต แม้แต่ยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุด ยังรู้สึกอับจนหนทางฮั่วเทียนเฉิงพวกเขาอาศัยกำลังภายในระดับสูง พยายามฝืนทนมาโดยตลอด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะวิ่งไปอาเจียนในมุมลับตาคนเย่จิ่งหลานต้องการกดอารมณ์ฮึกเหิมของพวกเขา จึงไม่สนใจ กินอาหารแบบเดียวกับลูกศิษย์ทั่วไป โชคดีที่ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ทั้งยังไม่เคยกินอาหารจำพวกข้าวและแป้งหมี่ จึงทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าอาหารเอร็ดอร่อยมากแต่ถึงกระนั้น ทุกคนก็กินได้ไม่มาก แต่ละคนต่างเดินตุปัดตุเป๋ ไม่มีพลังอันฮึกเหิมของศิษย์หัวกะทิเลยเดิมทีเย่จิ่งหลานกังวลว่าจะมีอาหารไม่เพียงพอ แต่แบบนี้ก็นับว่าช่วยบรรเทาความต้องการเร่งด่วนได้ชั่วคราวหากหวังซุ่นไม่ได้พูดปด อีกไม่เกินสองสามวันก็สามารถไปถึงตงหลิวได้ ซึ่งเย่จิ่งหลานมีความมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้มาก ยิ่งพอมีฮั่วเทียนเฉิงพวกเขา ก็ยิ่งเป็นเหมือนเสือติดปีกส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากการต่อสู้จบลงแล้วจะไปตำหนักเทพหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่
เย่จิ่งหลานพยักหน้า“ดีมาก ความตั้งใจของเจ้า ข้าเห็นแล้ว ไปแจ้งผู้บังคับเรือ ให้หยุดเรือห่างจากเกาะตงหลิวหนึ่งลี้ หยุดพักผ่อนสักพัก พรุ่งนี้เราจะขึ้นเกาะ”ครึ่งชั่วยามต่อมา เรือขนาดยักษ์ก็หยุดอยู่ในทะเล เสียงคำรามกระหึ่มก็หายไป ทุกคนต่างเริ่มตึงเครียดกันทันทีเก่อหงยวนถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “เย่จิ่งหลาน อย่าบอกนะว่า เรือเส็งเคร็งนี่ของเจ้าพังอีกแล้ว”เย่จิ่งหลานยักไหล่พูดว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว เป็นเพราะสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ ข้าจึงสั่งให้พักผ่อนชั่วคราว”เก่อหงยวนพูดอย่างหมดคำบรรยาย “ข้างหน้าคือเกาะตงหลิวแล้ว เราไปพักผ่อนที่เกาะได้ไหม ตอนนี้ข้าแค่อยากจะสัมผัสถึงความรู้สึกของเท้าที่เหยียบบนพื้นดิน”เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ถ้าบนเกาะเต็มไปด้วยศัตรูที่รออยู่ล่ะ เจ้าจะโยนตัวเองเข้าไปในกับดักงั้นหรือ”“เจ้าดูเกาะโล้นๆ นี้สิ แม้แต่หญ้ายังมีเห็นเห็นหร็อมแหร็ม จะมีศัตรูอยู่ไหนกัน”เก่อหงยวนรู้ดีว่าสิ่งที่เย่จิ่งหลานพูดเป็นเรื่องจริง แต่นางไม่อยากอยู่บนเรือแม้เพียงไม่กี่อึดใจ “ศัตรูจะยังยืนเรียงเป็นแถวบนชายทะเลรอให้เจ้าฆ่าพวกเขางั้นหรือ คุณหนู ข้าขอแนะนำใ
ดวงตาทั้งสองคู่สบกันในอากาศ เย่จิ่งหลานยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินไปหาฮั่วเทียนเฉิง“ไม่ทราบว่าท่านหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ์จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อตำหนักเทพเป็นสำนักใหญ่ที่ถือสันโดษ ก็ควรมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องทุกคน แต่ในการต่อสู้ในเป่ยไห่ครั้งนั้น กลับไม่เห็นคนจากตำหนักเทพเลย ซึ่งเข้าใจได้ยากยิ่งนัก”ฮั่วเทียนเฉิงอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีแม้ว่าเขาจะไปที่เป่ยไห่ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อความสงบสุขของจงหยวน เมื่อคิดว่าสำนักต่างๆ ต่อสู้ในเป่ยไห่ ทว่าตัวเองกลับยืนมองูอยู่ข้างๆ อย่างเห็นแก่ตัว ฮั่วเทียนเฉิงก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้ตอนแรกที่เข้าไปในตำหนักเทพ ก็เพื่อต้องการชำระความชั่วขจัดความเลว นำความสงบสุขมาสู่โลก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่ความคิดนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป ศิษย์ตำหนักเทพทุกคนเหลือเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น และนั่นคือการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์...“แม้ว่าการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์จะมีวรยุทธ์และวิถีแห่งเต๋าที่สุดยอดจริง แล้วจะอย่างไรเล่า ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ หากคนคนหนึ่งทุ่มเทเวลาไปทั้งชีวิต แต่ยังเป็นเพียงทาสของวรยุทธ์ เช่นนั้นการฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความหมายอะไร”
เย่จิ่งหลานเหลือบมอง แล้วยกมุมปากขึ้นน้อยๆ“การเป็นวีรบุรุษมีคุณธรรมนั้นไม่ใช่แค่คำพูด ผู้ที่เอาตัวเองออกหน้าดิ้นรนสุดชีวิตอย่างเจ้าสำนักเซี่ยว ถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว ตำหนักเทพก็ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงจริงๆ”ฮั่วเทียนเฉิงก็เคารพชื่นชมเจ้าสำนักเซี่ยวเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่อนุญาตให้เย่จิ่งหลานทำลายชื่อเสียงสำนักตัวเองเช่นนี้เขาพูดอย่างไม่พอใจ “การต่อสู้ที่เป่ยไห่ใช่ว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ หากเรื่องราวบานปลายไปจนถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้ ตำหนักเทพคงไม่นิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน”“แล้วอะไรที่เรียกว่าควบคุมไม่ได้?”เย่จิ่งหลานพูดอย่างเหน็บแนม “ท่านทราบไหม ว่ามีศิษย์เสียชีวิตหรือบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งนี้ไปเท่าใด มีราษฎรกี่คนที่เป่ยไห่ต้องพลัดถิ่นและสูญเสียคนที่พวกเขารัก......ในสายตาของท่าน บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงตัวเลขเฉยๆ แต่ท่านเคยคิดไหมว่า เบื้องหลังของชีวิตผู้คนเหล่านี้ ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัวที่ผู้บริสุทธิ์อีกเท่าใด ทุกครอบครัวมีพ่อแม่และลูก บางคนอาจสูญเสียหัวหน้าครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระในการดำรงชีวิตไป บางคนอาจสูญเสียคนหาเลี
เย่จิ่งหลานกลับมาที่ดาดฟ้า มองดูทุกคนกินขาแพะ ดื่มสุรา แล้วก็ยิ้มเล็กน้อย ถามเสียงดัง “ทำไมพวกเจ้าถึงอยากติดตามข้า หากต้องเผชิญกับการบาดเจ็บล้มตาย จะกลัวหรือไม่”เก่อหงยวนกำลังกัดขาแพะตุ้ยๆ ตอนนี้เรือหยุดแล้ว นางรู้สึกว่านางฟื้นตัวขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้ก็จะขึ้นฝั่งแล้ว ถ้าไม่มีแรงจะได้อย่างไรเมื่อได้ยินคำถามของเย่จิ่งหลาน นางก็ร้องชิ แล้วพูดว่า “นี่เจ้าพูดไร้สาระอยู่หรือ ที่เราออกทะเลมากับเจ้า ย่อมเป็น็นเพราะต้องการกำจัดรังตงหลิวให้หมดสิ้น กำจัดหายนะนี้เพื่อชาวประชา แม้ว่าข้าจะเป็นสตรี แต่ก็ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่รอแต่งงานในห้องหอ เมื่อถืออาวุธ ย่อมมีการบาดเจ็บล้มตาย แต่สิบปีนับตากนี้ ข้าก็จะกลายเป็นผู้กล้า”ชายหน้าตาท่าทางนักเลงอีกคนพูดว่า “แม่นางเก่อพูดถูก หัวหลุดก็เป็นแผลใหญ่ไม่เท่าชาม น่ากลัวตรงไหน ในเมื่อเรากล้ามา ก็ไม่คำนึงถึงเรื่องแบบนี้”“ถูกต้อง หากเราสามารถแลกชีวิตเพื่อความสงบสุขชั่วนิรันดร์ของคนในเป่ยไห่ ก็นับว่าตายคุ้มค่าแล้ว ชื่อเสียงจะดำรงอยู่ตลอดไป”ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยเย่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าเริ่มกลัวแล้วหรอกนะ”เย่จิ่งหลานหัวเราะลั่น พูดอย่างองอาจ
หญิงชราคนหนึ่งพูดว่า “หรือว่าอ๋องโมริตะกลับมาแล้ว?”หลายคนมองหน้ากัน อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ายินดีตอนนี้จักรพรรดิสิ้นแล้ว คนที่เหลืออยู่บนเกาะก็มีแค่คนแก่อ่อนแอและพิการ อาหารหมดไปนานแล้ว หวังเพียงว่าอ๋องโมริตะจะกลับมาโดยเร็ว มารับผิดชอบสถานการณ์โดยรวม พาพวกนางออกจากเกาะอันแห้งแล้งแห่งนี้เด็กที่อยู่ข้างๆ ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าเป็นท่านอ๋องจริง แล้วทำไมพวกเขาไม่กลับมาที่เกาะล่ะ? แล้วเจ้าสิ่งใหญ่โตมโหฬารนั่นมันอะไร”ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูวัตถุใหญ่ยักษ์สีดำนั่นอีกครั้งใช่ ถ้าอ๋องโมริตะกลับมา เขาต้องกลับเข้ามาในเกาะโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน จะจอดอยู่ในทะเลได้อย่างไรชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ“เรากลับกันก่อน ไปถามหัวหน้าก่อนว่านั่นคืออะไรกันแน่”ทุกคนรีบปีนออกจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน คนสูงอายุหลายคนก็มาที่ชายฝั่ง แต่ไม่มีใครเข้าใจว่านั่นคืออะไรคนที่มีทักษะทางน้ำที่ดีต่างก็ไปเป่ยไห่กันหมดแล้ว ที่เหลือก็ไม่ค่อยเก่งกาจด้านวรยุทธ์ จึงไม่มีใครกล้าออกไปตรวจสอบ ในใจรู้สึกถึงเงามืดอึมครึมอยู่มิวายวัตถุนี้โตนี้ อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี