ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดพักของอินชิงเสวียน กำลังภายในที่มีอยู่ในร่างกายถูกนางหลอมรวมกันเป็นส่วนๆ และถูกย่อยไปแล้วหนึ่งในสามส่วนใช้เวลาอย่างมากไม่เกินสามวัน ก็สามารถแปลงพลังเหล่านี้ให้สำเร็จ ถึงวาระนั้นก็สามารถจดจ่อศึกษาวิทยายุทธ์เหล่านั้นได้เมื่อแสงแรกสาดส่องลงมา ผู้อาวุโสหันก็หยุดรถ“ทุกคนลงมาขยับร่างกายกันหน่อย ถือโอกาสกินอาหารรองท้อง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร วันนี้จะไม่หยุดอีกแล้ว”“ข้าจะไปปลดทุกข์หน่อย”อินชิงเสวียนลงจากรถ แล้วเดินไปที่เนินใกล้เคียงผู้อาวุโสหันพูดทันที “อวิ๋นลี่ เจ้าไปเป็นเพื่อชิงเสวียน”“เจ้าค่ะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงตามไปติดๆคราวนี้อินชิงเสวียนต้องการปลดทุกข์จริงๆ นางรีบทำธุระส่วนตัว แล้วเอาน้ำพุวิญญาณมาล้างมือ จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วถามคนด้านบน “เมื่อวานเจ้าหมายความว่าอย่างไร ตกลงว่าธิดาเทพของพวกเจ้าใช่แม่ของข้าหรือไม่”คราวนี้เฟิงเอ้อร์เหนียงไม่ลังเล พยักหน้าทันทีอินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าเข้าใจได้ไหมว่า ยกเว้นเรื่องนี้ เรื่องอื่นผู้อาวุโสหันเป็นคนสั่งให้เจ้าบอก”เพราะเมื่อวานนี้เฟิงเอ้อร์เ
เสี่ยวหนานเฟิงที่อายุเท่านี้จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร เมื่อเห็นฉางเฮิ่นเทียนยิ้ม ทั้งยั้งเล่นกับตัวเอง เขาก็พยักหน้าอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้นเช่นกันตราบใดที่ยังมีความต้องการก็จัดการได้ง่าย กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ปรารถนาสิ่งใดสักพักอาหารง่ายๆ ก็เตรียมพร้อมเสร็จสรรพอินชิงเสวียนหยิบข้าวถ้วยร้อนสองกล่องส่งให้ฉางเฮิ่นเทียน“ข้าวนี้นุ่มมาก ลูกข้ากินได้ พวกเจ้าสองคนกินกันคนละกล่องนะ ถ้าไม่พอ เจ้าก็กินเสบียงอาหารแห้ง”“ขอบคุณแม่นางอิน”ฉางเฮิ่นเทียนใช้มือหนึ่งอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง แล้วรับอาหารด้วยมืออีกข้างหนึ่งอินชิงเสวียนกินชอบหม้อไฟเล็ก จึงหยิบของตัวเอง ส่วนที่เหลือที่เหลือก็เก็บไว้ให้ผู้อาวุโสหันและเฟิงเอ้อร์เหนียง“เจ้าสำนักฉุยกินอะไรได้หรือไม่ ที่ข้ายังมีนมอยู่นะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงส่ายหัว“ตอนนี้น่าจะไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดพลังงานภายในให้นาง ประคับประคองร่างกายของนางไว้”“อื้ม ถ้าต้องการเจ้าค่อยบอกข้านะ”อินชิงเสวียนเปิดฝากล่อง แล้วนั่งกินอยู่ข้างๆผู้อาวุโสหันอาศัยอยู่บนภูเขามาตลอด ไม่มีความต้องการอาหารมากนัก แต่ยังคงถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กล
ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ไม่ได้ดีไปกว่าเก่อหงยวนมากนัก หลังจากออกจากชายฝั่งแล้ว เย่จิ่งหลานก็จงใจปล่อยพวกเขาออกมาจากมิติทะเลกว้างใหญ่ ลึกล้ำไร้ขอบเขต แม้แต่ยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุด ยังรู้สึกอับจนหนทางฮั่วเทียนเฉิงพวกเขาอาศัยกำลังภายในระดับสูง พยายามฝืนทนมาโดยตลอด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะวิ่งไปอาเจียนในมุมลับตาคนเย่จิ่งหลานต้องการกดอารมณ์ฮึกเหิมของพวกเขา จึงไม่สนใจ กินอาหารแบบเดียวกับลูกศิษย์ทั่วไป โชคดีที่ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ทั้งยังไม่เคยกินอาหารจำพวกข้าวและแป้งหมี่ จึงทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าอาหารเอร็ดอร่อยมากแต่ถึงกระนั้น ทุกคนก็กินได้ไม่มาก แต่ละคนต่างเดินตุปัดตุเป๋ ไม่มีพลังอันฮึกเหิมของศิษย์หัวกะทิเลยเดิมทีเย่จิ่งหลานกังวลว่าจะมีอาหารไม่เพียงพอ แต่แบบนี้ก็นับว่าช่วยบรรเทาความต้องการเร่งด่วนได้ชั่วคราวหากหวังซุ่นไม่ได้พูดปด อีกไม่เกินสองสามวันก็สามารถไปถึงตงหลิวได้ ซึ่งเย่จิ่งหลานมีความมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้มาก ยิ่งพอมีฮั่วเทียนเฉิงพวกเขา ก็ยิ่งเป็นเหมือนเสือติดปีกส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากการต่อสู้จบลงแล้วจะไปตำหนักเทพหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่
เย่จิ่งหลานพยักหน้า“ดีมาก ความตั้งใจของเจ้า ข้าเห็นแล้ว ไปแจ้งผู้บังคับเรือ ให้หยุดเรือห่างจากเกาะตงหลิวหนึ่งลี้ หยุดพักผ่อนสักพัก พรุ่งนี้เราจะขึ้นเกาะ”ครึ่งชั่วยามต่อมา เรือขนาดยักษ์ก็หยุดอยู่ในทะเล เสียงคำรามกระหึ่มก็หายไป ทุกคนต่างเริ่มตึงเครียดกันทันทีเก่อหงยวนถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “เย่จิ่งหลาน อย่าบอกนะว่า เรือเส็งเคร็งนี่ของเจ้าพังอีกแล้ว”เย่จิ่งหลานยักไหล่พูดว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว เป็นเพราะสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ ข้าจึงสั่งให้พักผ่อนชั่วคราว”เก่อหงยวนพูดอย่างหมดคำบรรยาย “ข้างหน้าคือเกาะตงหลิวแล้ว เราไปพักผ่อนที่เกาะได้ไหม ตอนนี้ข้าแค่อยากจะสัมผัสถึงความรู้สึกของเท้าที่เหยียบบนพื้นดิน”เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ถ้าบนเกาะเต็มไปด้วยศัตรูที่รออยู่ล่ะ เจ้าจะโยนตัวเองเข้าไปในกับดักงั้นหรือ”“เจ้าดูเกาะโล้นๆ นี้สิ แม้แต่หญ้ายังมีเห็นเห็นหร็อมแหร็ม จะมีศัตรูอยู่ไหนกัน”เก่อหงยวนรู้ดีว่าสิ่งที่เย่จิ่งหลานพูดเป็นเรื่องจริง แต่นางไม่อยากอยู่บนเรือแม้เพียงไม่กี่อึดใจ “ศัตรูจะยังยืนเรียงเป็นแถวบนชายทะเลรอให้เจ้าฆ่าพวกเขางั้นหรือ คุณหนู ข้าขอแนะนำใ
ดวงตาทั้งสองคู่สบกันในอากาศ เย่จิ่งหลานยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินไปหาฮั่วเทียนเฉิง“ไม่ทราบว่าท่านหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ์จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อตำหนักเทพเป็นสำนักใหญ่ที่ถือสันโดษ ก็ควรมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องทุกคน แต่ในการต่อสู้ในเป่ยไห่ครั้งนั้น กลับไม่เห็นคนจากตำหนักเทพเลย ซึ่งเข้าใจได้ยากยิ่งนัก”ฮั่วเทียนเฉิงอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีแม้ว่าเขาจะไปที่เป่ยไห่ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อความสงบสุขของจงหยวน เมื่อคิดว่าสำนักต่างๆ ต่อสู้ในเป่ยไห่ ทว่าตัวเองกลับยืนมองูอยู่ข้างๆ อย่างเห็นแก่ตัว ฮั่วเทียนเฉิงก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้ตอนแรกที่เข้าไปในตำหนักเทพ ก็เพื่อต้องการชำระความชั่วขจัดความเลว นำความสงบสุขมาสู่โลก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่ความคิดนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป ศิษย์ตำหนักเทพทุกคนเหลือเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น และนั่นคือการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์...“แม้ว่าการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์จะมีวรยุทธ์และวิถีแห่งเต๋าที่สุดยอดจริง แล้วจะอย่างไรเล่า ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ หากคนคนหนึ่งทุ่มเทเวลาไปทั้งชีวิต แต่ยังเป็นเพียงทาสของวรยุทธ์ เช่นนั้นการฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความหมายอะไร”
เย่จิ่งหลานเหลือบมอง แล้วยกมุมปากขึ้นน้อยๆ“การเป็นวีรบุรุษมีคุณธรรมนั้นไม่ใช่แค่คำพูด ผู้ที่เอาตัวเองออกหน้าดิ้นรนสุดชีวิตอย่างเจ้าสำนักเซี่ยว ถึงจะเรียกว่าเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เมื่อเปรียบเทียบกับพวกเขาแล้ว ตำหนักเทพก็ไม่ควรค่าแก่การกล่าวถึงจริงๆ”ฮั่วเทียนเฉิงก็เคารพชื่นชมเจ้าสำนักเซี่ยวเป็นอย่างมาก แต่เขาไม่อนุญาตให้เย่จิ่งหลานทำลายชื่อเสียงสำนักตัวเองเช่นนี้เขาพูดอย่างไม่พอใจ “การต่อสู้ที่เป่ยไห่ใช่ว่าจะไม่สามารถควบคุมได้ หากเรื่องราวบานปลายไปจนถึงจุดที่ควบคุมไม่ได้ ตำหนักเทพคงไม่นิ่งดูดายโดยไม่ทำอะไรอย่างแน่นอน”“แล้วอะไรที่เรียกว่าควบคุมไม่ได้?”เย่จิ่งหลานพูดอย่างเหน็บแนม “ท่านทราบไหม ว่ามีศิษย์เสียชีวิตหรือบาดเจ็บในการต่อสู้ครั้งนี้ไปเท่าใด มีราษฎรกี่คนที่เป่ยไห่ต้องพลัดถิ่นและสูญเสียคนที่พวกเขารัก......ในสายตาของท่าน บางทีสิ่งเหล่านี้อาจเป็นเพียงตัวเลขเฉยๆ แต่ท่านเคยคิดไหมว่า เบื้องหลังของชีวิตผู้คนเหล่านี้ ต้องเกี่ยวข้องกับครอบครัวที่ผู้บริสุทธิ์อีกเท่าใด ทุกครอบครัวมีพ่อแม่และลูก บางคนอาจสูญเสียหัวหน้าครอบครัวที่ต้องแบกรับภาระในการดำรงชีวิตไป บางคนอาจสูญเสียคนหาเลี
เย่จิ่งหลานกลับมาที่ดาดฟ้า มองดูทุกคนกินขาแพะ ดื่มสุรา แล้วก็ยิ้มเล็กน้อย ถามเสียงดัง “ทำไมพวกเจ้าถึงอยากติดตามข้า หากต้องเผชิญกับการบาดเจ็บล้มตาย จะกลัวหรือไม่”เก่อหงยวนกำลังกัดขาแพะตุ้ยๆ ตอนนี้เรือหยุดแล้ว นางรู้สึกว่านางฟื้นตัวขึ้นมากแล้ว พรุ่งนี้ก็จะขึ้นฝั่งแล้ว ถ้าไม่มีแรงจะได้อย่างไรเมื่อได้ยินคำถามของเย่จิ่งหลาน นางก็ร้องชิ แล้วพูดว่า “นี่เจ้าพูดไร้สาระอยู่หรือ ที่เราออกทะเลมากับเจ้า ย่อมเป็น็นเพราะต้องการกำจัดรังตงหลิวให้หมดสิ้น กำจัดหายนะนี้เพื่อชาวประชา แม้ว่าข้าจะเป็นสตรี แต่ก็ไม่ใช่สาวน้อยบอบบางที่รอแต่งงานในห้องหอ เมื่อถืออาวุธ ย่อมมีการบาดเจ็บล้มตาย แต่สิบปีนับตากนี้ ข้าก็จะกลายเป็นผู้กล้า”ชายหน้าตาท่าทางนักเลงอีกคนพูดว่า “แม่นางเก่อพูดถูก หัวหลุดก็เป็นแผลใหญ่ไม่เท่าชาม น่ากลัวตรงไหน ในเมื่อเรากล้ามา ก็ไม่คำนึงถึงเรื่องแบบนี้”“ถูกต้อง หากเราสามารถแลกชีวิตเพื่อความสงบสุขชั่วนิรันดร์ของคนในเป่ยไห่ ก็นับว่าตายคุ้มค่าแล้ว ชื่อเสียงจะดำรงอยู่ตลอดไป”ศิษย์หนุ่มคนหนึ่งถามด้วยรอยยิ้ม “คุณชายน้อยเย่ คงไม่ใช่ว่าเจ้าเริ่มกลัวแล้วหรอกนะ”เย่จิ่งหลานหัวเราะลั่น พูดอย่างองอาจ
หญิงชราคนหนึ่งพูดว่า “หรือว่าอ๋องโมริตะกลับมาแล้ว?”หลายคนมองหน้ากัน อดไม่ได้ที่จะแสดงสีหน้ายินดีตอนนี้จักรพรรดิสิ้นแล้ว คนที่เหลืออยู่บนเกาะก็มีแค่คนแก่อ่อนแอและพิการ อาหารหมดไปนานแล้ว หวังเพียงว่าอ๋องโมริตะจะกลับมาโดยเร็ว มารับผิดชอบสถานการณ์โดยรวม พาพวกนางออกจากเกาะอันแห้งแล้งแห่งนี้เด็กที่อยู่ข้างๆ ถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ถ้าเป็นท่านอ๋องจริง แล้วทำไมพวกเขาไม่กลับมาที่เกาะล่ะ? แล้วเจ้าสิ่งใหญ่โตมโหฬารนั่นมันอะไร”ทุกคนตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง มองดูวัตถุใหญ่ยักษ์สีดำนั่นอีกครั้งใช่ ถ้าอ๋องโมริตะกลับมา เขาต้องกลับเข้ามาในเกาะโดยเร็วที่สุดอย่างแน่นอน จะจอดอยู่ในทะเลได้อย่างไรชั่วขณะหนึ่ง ทุกคนรู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีในใจ“เรากลับกันก่อน ไปถามหัวหน้าก่อนว่านั่นคืออะไรกันแน่”ทุกคนรีบปีนออกจากพุ่มไม้อย่างรวดเร็วหลังจากนั้นไม่นาน คนสูงอายุหลายคนก็มาที่ชายฝั่ง แต่ไม่มีใครเข้าใจว่านั่นคืออะไรคนที่มีทักษะทางน้ำที่ดีต่างก็ไปเป่ยไห่กันหมดแล้ว ที่เหลือก็ไม่ค่อยเก่งกาจด้านวรยุทธ์ จึงไม่มีใครกล้าออกไปตรวจสอบ ในใจรู้สึกถึงเงามืดอึมครึมอยู่มิวายวัตถุนี้โตนี้ อาจไม่ใช่สัญญาณที่ดีนัก