เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง หลี่เต๋อฝูก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกเขาคลานไปข้างหน้า ดึงชายเสื้อของเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดด้วยสีหน้าวิงวอน “ฝ่าบาท เราเข้าไปก่อนเถิด ใกล้ถึงฤดูคิมหันต์แล้ว ตกค่ำยังมียุงแมลงอยู่เยอะ”คำพูดพวกนี้ล้วนเป็นคำที่พระนางฮองเฮาสอนให้เขาพูด หากฝ่าบาทถามขึ้นมาอีก เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่กลางลานสักพัก แล้วจึงเดินเข้าตำหนักไป แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลประการใด สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหัวล้วนมีแต่ภาพการตกแต่งในตำหนักจินหวูหรือว่าวันนี้เหนื่อยมากเกินไป จู่ๆ ถึงได้คิดถึงเสด็จแม่ขึ้นมา?เขานั่งลงบนเก้าอี้ ยกนิ้วเรียวขึ้นนวดคิ้วที่ปวดตึงเล็กน้อยเหล่าขันทีน้อยเดินเรียงแถวเข้ามา ยกอาหารซึ่งเป็นธัญพืชหยาบแบบเดียวกับที่เคยกินเมื่อก่อน เย่จิ่งอวี้ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง โบกมือแล้วพูดว่า “เอาออกไปเถอะ ข้าไม่อยากกิน”หลี่เต๋อฝูที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “ฝ่าบาทจะไม่เสวยได้อย่างไร ต้องรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”“น่ารำคาญ ออกไปซะ!”น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ขรึมลง กระแสเสียงอันเย็นชาทำให้หลี่เต๋อฝูตัวสั่น“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เขาก้าวไปสองก้าว แ
ประตูเมืองรถม้าคันหนึ่งถูกหยุดโดยทหารรักษาเมือง“ใคร”ผู้อาวุโสหันลงจากรถ แล้วพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ข้าต้องการพาลูกสาวคนโตไปรักษาที่เมืองหลินเฉิง หวังว่าเจ้าหน้าที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้วย”เขาหยิบก้อนทองหยวนเป่าออกมาก้อนหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในแขนเสื้อของทหารรักษาเมืองอย่างรวดเร็ว“นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ให้ทั้งสองคนเป็นค่าน้ำชา”เมื่อเห็นเจ้าก้อนสีเหลืองอร่ามนี้ ทหารรักษาเมืองทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันหนึ่งในนั้นถามว่า “คนที่นั่งอยู่ในรถคือใคร”ผู้อาวุโสหันเอื้อมมือออกไปเปิดม่านรถ“เป็นลูกสาวสองคนของข้า ครอบครัวของหลานชายกับหลานสะใภ้ คนที่ป่วยคือลูกสาวคนโตของข้า”เขาชี้ไปยังฉุยอวี้ที่ดวงตาเบิกโพลงทั้งคู่ จากนั้นลดม่านรถลงทหารรักษาเมืองคนที่รับเงินเหลือบมองอย่างไม่สบายใจอีกครั้ง เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรอีก จึงโบกมือ“ไปเถอะ”ผู้อาวุโสหันขอบคุณเขาซ้ำๆ “ขอบคุณทั้งสองคนมาก ขอบคุณทั้งสองคนมากๆ”“หยุดพูดพล่ามได้แล้ว ใกล้จะปิดประตูเมืองแล้ว”“ใช่ๆ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”ผู้อาวุโสหันกระโดดขึ้นรถม้า ทันทีที่ฟาดแส้ลงบนหลังม้า รถม้าก็เผ่นโผนโจทะยานออกไปจากเมือง
เฟิงเอ้อร์เหนียงตื่นตระหนก มองไปที่อินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเริ่มกระวนกระวายใจคนแซ่หันยังจับตามองอยู่ตรงนั้น ตอนนี้นางทำได้เพียงหาโอกาสถามไถ่เรื่องคร่าวๆ ไม่มีเวลามาอืดอาดยืดยาดอยู่นี่“เจ้าบอกมาเร็ว เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น”อินชิงเสวียนพิมพ์อีกครั้งผู้อาวุโสหันมีทักษะวรยุทธ์ยอดเยี่ยม ประสาทการฟังเหนือกว่าคนธรรมดา บางทีทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของคนสองคนอาจจะดังเข้าหูเขาแล้วก็ได้ตอนนี้เสี่ยวหนานเฟิงยังอยู่ในมือของเขา อินชิงเสวียนย่อมไม่กล้าประมาทอยู่แล้วเฟิงเอ้อร์เหนียงเห็นตัวอักษรในโทรศัพท์อย่างชัดเจน ริมฝีปากแห้งผากเม้มแน่นอยู่นาน เป็นน็นเวลาห้าอึดใจเต็มๆ ในที่สุดก็พยักหน้าอินชิงเสวียนใจชื้นขึ้นมาทันที แล้วพิมพ์ถามอีกครั้งว่า “เรื่องแม่ของข้า ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่”เฟิงเอ้อร์เหนียงพยักหน้า จากนั้นส่ายหัวอินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”เฟิงเอ้อร์เหนียงอ้าปาก จากนั้นก็ได้ยินผู้อาวุโสหันตะโกนมาแต่ไกล “ฟ้ามืดแล้ว ตามพื้นหญ้ามีงู แมลง หนู และมดมากมาย พวกเจ้าสองคนอย่าชักช้าอยู่นาน”อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากล่าง แล้วพิมพ์อีกวันนี้พอแค่นี้ก่อน
ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดพักของอินชิงเสวียน กำลังภายในที่มีอยู่ในร่างกายถูกนางหลอมรวมกันเป็นส่วนๆ และถูกย่อยไปแล้วหนึ่งในสามส่วนใช้เวลาอย่างมากไม่เกินสามวัน ก็สามารถแปลงพลังเหล่านี้ให้สำเร็จ ถึงวาระนั้นก็สามารถจดจ่อศึกษาวิทยายุทธ์เหล่านั้นได้เมื่อแสงแรกสาดส่องลงมา ผู้อาวุโสหันก็หยุดรถ“ทุกคนลงมาขยับร่างกายกันหน่อย ถือโอกาสกินอาหารรองท้อง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร วันนี้จะไม่หยุดอีกแล้ว”“ข้าจะไปปลดทุกข์หน่อย”อินชิงเสวียนลงจากรถ แล้วเดินไปที่เนินใกล้เคียงผู้อาวุโสหันพูดทันที “อวิ๋นลี่ เจ้าไปเป็นเพื่อชิงเสวียน”“เจ้าค่ะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงตามไปติดๆคราวนี้อินชิงเสวียนต้องการปลดทุกข์จริงๆ นางรีบทำธุระส่วนตัว แล้วเอาน้ำพุวิญญาณมาล้างมือ จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วถามคนด้านบน “เมื่อวานเจ้าหมายความว่าอย่างไร ตกลงว่าธิดาเทพของพวกเจ้าใช่แม่ของข้าหรือไม่”คราวนี้เฟิงเอ้อร์เหนียงไม่ลังเล พยักหน้าทันทีอินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าเข้าใจได้ไหมว่า ยกเว้นเรื่องนี้ เรื่องอื่นผู้อาวุโสหันเป็นคนสั่งให้เจ้าบอก”เพราะเมื่อวานนี้เฟิงเอ้อร์เ
เสี่ยวหนานเฟิงที่อายุเท่านี้จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร เมื่อเห็นฉางเฮิ่นเทียนยิ้ม ทั้งยั้งเล่นกับตัวเอง เขาก็พยักหน้าอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้นเช่นกันตราบใดที่ยังมีความต้องการก็จัดการได้ง่าย กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ปรารถนาสิ่งใดสักพักอาหารง่ายๆ ก็เตรียมพร้อมเสร็จสรรพอินชิงเสวียนหยิบข้าวถ้วยร้อนสองกล่องส่งให้ฉางเฮิ่นเทียน“ข้าวนี้นุ่มมาก ลูกข้ากินได้ พวกเจ้าสองคนกินกันคนละกล่องนะ ถ้าไม่พอ เจ้าก็กินเสบียงอาหารแห้ง”“ขอบคุณแม่นางอิน”ฉางเฮิ่นเทียนใช้มือหนึ่งอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง แล้วรับอาหารด้วยมืออีกข้างหนึ่งอินชิงเสวียนกินชอบหม้อไฟเล็ก จึงหยิบของตัวเอง ส่วนที่เหลือที่เหลือก็เก็บไว้ให้ผู้อาวุโสหันและเฟิงเอ้อร์เหนียง“เจ้าสำนักฉุยกินอะไรได้หรือไม่ ที่ข้ายังมีนมอยู่นะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงส่ายหัว“ตอนนี้น่าจะไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดพลังงานภายในให้นาง ประคับประคองร่างกายของนางไว้”“อื้ม ถ้าต้องการเจ้าค่อยบอกข้านะ”อินชิงเสวียนเปิดฝากล่อง แล้วนั่งกินอยู่ข้างๆผู้อาวุโสหันอาศัยอยู่บนภูเขามาตลอด ไม่มีความต้องการอาหารมากนัก แต่ยังคงถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กล
ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ไม่ได้ดีไปกว่าเก่อหงยวนมากนัก หลังจากออกจากชายฝั่งแล้ว เย่จิ่งหลานก็จงใจปล่อยพวกเขาออกมาจากมิติทะเลกว้างใหญ่ ลึกล้ำไร้ขอบเขต แม้แต่ยอดฝีมือที่เก่งกาจที่สุด ยังรู้สึกอับจนหนทางฮั่วเทียนเฉิงพวกเขาอาศัยกำลังภายในระดับสูง พยายามฝืนทนมาโดยตลอด ถ้าทนไม่ไหวจริงๆ ก็จะวิ่งไปอาเจียนในมุมลับตาคนเย่จิ่งหลานต้องการกดอารมณ์ฮึกเหิมของพวกเขา จึงไม่สนใจ กินอาหารแบบเดียวกับลูกศิษย์ทั่วไป โชคดีที่ฮั่วเทียนเฉิงและคนอื่นๆ ไม่จู้จี้จุกจิกเรื่องอาหาร ทั้งยังไม่เคยกินอาหารจำพวกข้าวและแป้งหมี่ จึงทำให้พวกเขายิ่งรู้สึกว่าอาหารเอร็ดอร่อยมากแต่ถึงกระนั้น ทุกคนก็กินได้ไม่มาก แต่ละคนต่างเดินตุปัดตุเป๋ ไม่มีพลังอันฮึกเหิมของศิษย์หัวกะทิเลยเดิมทีเย่จิ่งหลานกังวลว่าจะมีอาหารไม่เพียงพอ แต่แบบนี้ก็นับว่าช่วยบรรเทาความต้องการเร่งด่วนได้ชั่วคราวหากหวังซุ่นไม่ได้พูดปด อีกไม่เกินสองสามวันก็สามารถไปถึงตงหลิวได้ ซึ่งเย่จิ่งหลานมีความมั่นใจในการต่อสู้ครั้งนี้มาก ยิ่งพอมีฮั่วเทียนเฉิงพวกเขา ก็ยิ่งเป็นเหมือนเสือติดปีกส่วนเรื่องที่ว่าหลังจากการต่อสู้จบลงแล้วจะไปตำหนักเทพหรือไม่นั้น ก็ขึ้นอยู่
เย่จิ่งหลานพยักหน้า“ดีมาก ความตั้งใจของเจ้า ข้าเห็นแล้ว ไปแจ้งผู้บังคับเรือ ให้หยุดเรือห่างจากเกาะตงหลิวหนึ่งลี้ หยุดพักผ่อนสักพัก พรุ่งนี้เราจะขึ้นเกาะ”ครึ่งชั่วยามต่อมา เรือขนาดยักษ์ก็หยุดอยู่ในทะเล เสียงคำรามกระหึ่มก็หายไป ทุกคนต่างเริ่มตึงเครียดกันทันทีเก่อหงยวนถามด้วยสีหน้าหวาดหวั่น “เย่จิ่งหลาน อย่าบอกนะว่า เรือเส็งเคร็งนี่ของเจ้าพังอีกแล้ว”เย่จิ่งหลานยักไหล่พูดว่า “ไม่ใช่อยู่แล้ว เป็นเพราะสถานการณ์ปัจจุบันของพวกเจ้าไม่สามารถต่อสู้ได้ ข้าจึงสั่งให้พักผ่อนชั่วคราว”เก่อหงยวนพูดอย่างหมดคำบรรยาย “ข้างหน้าคือเกาะตงหลิวแล้ว เราไปพักผ่อนที่เกาะได้ไหม ตอนนี้ข้าแค่อยากจะสัมผัสถึงความรู้สึกของเท้าที่เหยียบบนพื้นดิน”เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่อินังขังขอบ “ถ้าบนเกาะเต็มไปด้วยศัตรูที่รออยู่ล่ะ เจ้าจะโยนตัวเองเข้าไปในกับดักงั้นหรือ”“เจ้าดูเกาะโล้นๆ นี้สิ แม้แต่หญ้ายังมีเห็นเห็นหร็อมแหร็ม จะมีศัตรูอยู่ไหนกัน”เก่อหงยวนรู้ดีว่าสิ่งที่เย่จิ่งหลานพูดเป็นเรื่องจริง แต่นางไม่อยากอยู่บนเรือแม้เพียงไม่กี่อึดใจ “ศัตรูจะยังยืนเรียงเป็นแถวบนชายทะเลรอให้เจ้าฆ่าพวกเขางั้นหรือ คุณหนู ข้าขอแนะนำใ
ดวงตาทั้งสองคู่สบกันในอากาศ เย่จิ่งหลานยิ้มเล็กน้อย แล้วเดินไปหาฮั่วเทียนเฉิง“ไม่ทราบว่าท่านหมกมุ่นอยู่กับวิทยายุทธ์จะมีประโยชน์อันใด ในเมื่อตำหนักเทพเป็นสำนักใหญ่ที่ถือสันโดษ ก็ควรมีหน้าที่ที่จะต้องปกป้องทุกคน แต่ในการต่อสู้ในเป่ยไห่ครั้งนั้น กลับไม่เห็นคนจากตำหนักเทพเลย ซึ่งเข้าใจได้ยากยิ่งนัก”ฮั่วเทียนเฉิงอึ้งไปชั่วขณะ ตอนนั้นไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไรดีแม้ว่าเขาจะไปที่เป่ยไห่ แต่ก็ไม่ใช่เพื่อความสงบสุขของจงหยวน เมื่อคิดว่าสำนักต่างๆ ต่อสู้ในเป่ยไห่ ทว่าตัวเองกลับยืนมองูอยู่ข้างๆ อย่างเห็นแก่ตัว ฮั่วเทียนเฉิงก็อดขมวดคิ้วเสียมิได้ตอนแรกที่เข้าไปในตำหนักเทพ ก็เพื่อต้องการชำระความชั่วขจัดความเลว นำความสงบสุขมาสู่โลก แต่ไม่รู้ว่าเมื่อใด แต่ความคิดนี้ค่อยๆ เปลี่ยนไป ศิษย์ตำหนักเทพทุกคนเหลือเพียงจุดประสงค์เดียวเท่านั้น และนั่นคือการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์...“แม้ว่าการไต่ขึ้นสู่วิถีแห่งสวรรค์จะมีวรยุทธ์และวิถีแห่งเต๋าที่สุดยอดจริง แล้วจะอย่างไรเล่า ทุกคนจะสามารถเรียนรู้ได้หรือไม่ หากคนคนหนึ่งทุ่มเทเวลาไปทั้งชีวิต แต่ยังเป็นเพียงทาสของวรยุทธ์ เช่นนั้นการฝึกฝนวรยุทธ์จะมีความหมายอะไร”
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ