เมื่อเห็นว่าเสี่ยวหนานเฟิงไม่มีอะไรผิดปกติ ใบหน้าของอินชิงเสวียนก็อ่อนโยนลงทันที“จ้าวเอ๋อร์อย่ากลัว เสด็จแม่กับท่านปู่คนนี้จะพาเจ้าไปเที่ยวข้างนอกไม่กี่วัน แล้วเราค่อยกลับมาใหม่”ทันใดนั้นเสี่ยวหนานเฟิงก็ลืมตาดำขลับคู่โต มือเล็กป้อมชี้ไปที่ผู้อาวุโสหัน แล้วพูดว่า “เขาไม่ใช่ท่านปู่ เขาเป็นคนเลว”ผู้อาวุโสหันสุขุมเยือกเย็น ยังคงมีรอยยิ้มระบายอยู่ทั่วใบหน้า“เด็กน้อย เจ้าเข้าใจผิดแล้ว ต่อไปนี้เจ้าต้องไปกับอาฉางไป เขาจะเล่นกับเจ้าอย่างดี”เสี่ยวหนานเฟิงไม่ติดกับดัก เตะฉางเฮิ่นเทียนทันที เสียงเล็กไร้เดียงสาเต็มไปด้วยความไม่พอใจ“ไม่เอา ปล่อยข้านะ ข้าอยากไปหาเสด็จแม่”อินชิงเสวียนมองลูกด้วยความทุกข์ใจ แล้วพูดอย่างอ่อนโยน “จ้าวเอ๋อร์เด็กดี แม่มีธุระต้องทำ ช่วงนี้เจ้าก็เล่นกับอาคนนี้ไปก่อน แม่เสร็จธุระแล้วค่อยมาเล่นกับเจ้านะ”ฉางเฮิ่นเทียนหยิบกลองป๋องแป๋งที่ซื้อจากตลาดออกมาอย่างทันที แล้วเขย่าต่อหน้าเสี่ยวหนานเฟิงเสี่ยวหนานเฟิงไม่ชอบของสิ่งนี้เลย แต่เขาก็พอจะเข้าใจอยู่บ้าง เสด็จแม่ติดธุระ ไม่สามารถอยู่กับตัวเองได้จริงๆ ไม่ว่าจะอยู่ในวังหรือในเป่ยไห่ เสด็จแม่กับเสด็จพ่อก็ยุ่งมาก ปก
เฟิงเอ้อร์เหนียงได้จูงม้ามาทั้งหมดสี่ตัว ขณะที่ผู้อาวุโสหันกำลังจะขึ้นม้า จู่ๆ อินชิงเสวียนก็พูดว่า “ไม่ได้ จ้าวเอ๋อร์ยังเด็กเกินไป ทนรับแรงกระแทกระยะเวลานานไม่ได้ ผู้อาวุโสโปรดใจกว้าง จ้างวานรถม้าด้วยเถิด”เฟิงเอ้อร์เหนียงมองนางด้วยความรู้สึกขอบคุณทันทีผู้อาวุโสหันพูดอย่างอบอุ่น “เรื่องนี้เจ้าวางใจได้ ข้าอุ้มเขาอยู่ รับรองว่าเขาจะรู้สึกราวกับเดินบนพื้นราบ”อินชิงเสวียนพูดเสียงแข็ง “แบบนั้นก็ไม่ได้ผล เด็กยังต้องนอน ยังต้องเล่น อยู่บนหลังม้าไม่มีพื้นที่ว่างจริงๆ ถ้าผู้อาวุโสยืนกรานที่จะปฏิเสธ เช่นนั้นผู้เยาว์ก็จะไม่ไป น้ำนี้ เกรงว่าผู้อาวุโสจะไม่ได้ดื่มอีกแล้ว”ผู้อาวุโสหันพูดด้วยสีหน้าจนปัญญา “ชิงเสวียน เจ้าเป็นถึงฮองเฮาแห่งแคว้น ควรรู้ว่าทุกอย่างต้องเห็นแก่สถานการณ์โดยรวม เหตุผลที่เรามาที่นี่อย่างเร่งรีบขนาดนี้ ก็เพราะตำหนักเทพกำลังเดือดร้อน เราต้องรีบกลับโดยเร็วที่สุด”“นั่นเป็นเรื่องของผู้อาวุโส ไม่เกี่ยวข้องกับผู้เยาว์ ผู้เยาว์เพียงต้องการรับรองความปลอดภัยของลูก หากผู้อาวุโสยืนกรานที่จะปฏิเสธ เช่นนั้นผู้เยาว์ต้องล่วงเกินแล้ว”อินชิงเสวียนยกมือขึ้นเรียกพิณการเวก เฟิงเอ้อร์เหน
ห้องหนังสือหลังจากจุดโคมไฟได้ระยะหนึ่ง ในที่สุดเย่จิ่งอวี้ก็วางพู่กันในมือลงครั้นเงยหน้าขึ้น ก็สบตากับดวงตาเล็กตี่เท่าเม็ดถั่วเขียวของหลี่เต๋อฝู“เจ้ามองข้าแบบนั้นทำไมรึ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว ดวงตาสีเข้มแสดงความไม่พอใจหลี่เต๋อฝูหัวเราะแห้งๆ “กระหม่อมเคารพฝ่าบาทดุจ...”ยังพูดไม่จบประโยค หลี่เต๋อฝูก็เปลี่ยนคำพูด“กระหม่อมเอ่อ...กระหม่อมถูกสะกดด้วยพระสิริโฉมอันงดงามของฝ่าบาท จึงตกตะลึงไปชั่วขณะ”เย่จิ่งอวี้ตอบอืมเบาๆ แล้วพูดว่า “คงมิใช่ว่าดื่มน้ำผึ้งมาหรอกนะ วันนี้ถึงได้พูดเก่งขนาดนี้”เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เย่จิ่งอวี้ก็อึ้งไปเล็กน้อยคลับคล้ายคลับว่าจะมีคนพูดกับเขาเช่นนี้ รวมถึงคำพูดที่ว่าเคารพดุจอะไรนั่นของหลี่เต๋อฝู ทำให้เขารู้สึกเหมือนพูดไม่ได้อธิบายไม่ถูกพิกลเมื่อเห็นเรียวตายาวของฮ่องเต้หรี่ลงเล็กน้อย หลี่เต๋อฝูก็อยากจะตบปากตัวเองสองครั้ง รีบค้อมกายพูดว่า “ฝ่าบาท ได้เวลาเสวยพระกระยาหารแล้วพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า“ส่งอาหารเย็นไปที่ตำหนักจินหวู”หลี่เต๋อฝูสะดุ้งทันที แล้วพูดอย่างระมัดระวัง “เหตุใดจู่ๆ ฝ่าบาทถึงคิดที่จะไปที่ตำหนักจินหวูเล่า ที่นั่น...ไม่มีคนอยู่
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ยืนนิ่งไม่ไหวติง หลี่เต๋อฝูก็รู้สึกประหม่าขึ้นมาอีกเขาคลานไปข้างหน้า ดึงชายเสื้อของเย่จิ่งอวี้ แล้วพูดด้วยสีหน้าวิงวอน “ฝ่าบาท เราเข้าไปก่อนเถิด ใกล้ถึงฤดูคิมหันต์แล้ว ตกค่ำยังมียุงแมลงอยู่เยอะ”คำพูดพวกนี้ล้วนเป็นคำที่พระนางฮองเฮาสอนให้เขาพูด หากฝ่าบาทถามขึ้นมาอีก เขาก็ไม่รู้จะตอบอย่างไรเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่กลางลานสักพัก แล้วจึงเดินเข้าตำหนักไป แต่ไม่ทราบว่าด้วยเหตุผลประการใด สิ่งที่ปรากฏอยู่ในหัวล้วนมีแต่ภาพการตกแต่งในตำหนักจินหวูหรือว่าวันนี้เหนื่อยมากเกินไป จู่ๆ ถึงได้คิดถึงเสด็จแม่ขึ้นมา?เขานั่งลงบนเก้าอี้ ยกนิ้วเรียวขึ้นนวดคิ้วที่ปวดตึงเล็กน้อยเหล่าขันทีน้อยเดินเรียงแถวเข้ามา ยกอาหารซึ่งเป็นธัญพืชหยาบแบบเดียวกับที่เคยกินเมื่อก่อน เย่จิ่งอวี้ไม่แม้แต่จะเหลือบมอง โบกมือแล้วพูดว่า “เอาออกไปเถอะ ข้าไม่อยากกิน”หลี่เต๋อฝูที่ยืนอยู่ข้างๆ พูดเกลี้ยกล่อมเสียงนุ่ม “ฝ่าบาทจะไม่เสวยได้อย่างไร ต้องรักษาพระวรกายนะพ่ะย่ะค่ะ!”“น่ารำคาญ ออกไปซะ!”น้ำเสียงของเย่จิ่งอวี้ก็ขรึมลง กระแสเสียงอันเย็นชาทำให้หลี่เต๋อฝูตัวสั่น“พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมทูลลา”เขาก้าวไปสองก้าว แ
ประตูเมืองรถม้าคันหนึ่งถูกหยุดโดยทหารรักษาเมือง“ใคร”ผู้อาวุโสหันลงจากรถ แล้วพูดด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ข้าต้องการพาลูกสาวคนโตไปรักษาที่เมืองหลินเฉิง หวังว่าเจ้าหน้าที่จะช่วยอำนวยความสะดวกด้วย”เขาหยิบก้อนทองหยวนเป่าออกมาก้อนหนึ่ง แล้วยัดเข้าไปในแขนเสื้อของทหารรักษาเมืองอย่างรวดเร็ว“นี่เป็นน้ำใจเล็กน้อยจากข้า ให้ทั้งสองคนเป็นค่าน้ำชา”เมื่อเห็นเจ้าก้อนสีเหลืองอร่ามนี้ ทหารรักษาเมืองทั้งสองก็อดไม่ได้ที่จะมองหน้ากันหนึ่งในนั้นถามว่า “คนที่นั่งอยู่ในรถคือใคร”ผู้อาวุโสหันเอื้อมมือออกไปเปิดม่านรถ“เป็นลูกสาวสองคนของข้า ครอบครัวของหลานชายกับหลานสะใภ้ คนที่ป่วยคือลูกสาวคนโตของข้า”เขาชี้ไปยังฉุยอวี้ที่ดวงตาเบิกโพลงทั้งคู่ จากนั้นลดม่านรถลงทหารรักษาเมืองคนที่รับเงินเหลือบมองอย่างไม่สบายใจอีกครั้ง เมื่อตรวจดูจนแน่ใจแล้วว่าไม่มีอะไรอีก จึงโบกมือ“ไปเถอะ”ผู้อาวุโสหันขอบคุณเขาซ้ำๆ “ขอบคุณทั้งสองคนมาก ขอบคุณทั้งสองคนมากๆ”“หยุดพูดพล่ามได้แล้ว ใกล้จะปิดประตูเมืองแล้ว”“ใช่ๆ ข้าจะออกไปเดี๋ยวนี้”ผู้อาวุโสหันกระโดดขึ้นรถม้า ทันทีที่ฟาดแส้ลงบนหลังม้า รถม้าก็เผ่นโผนโจทะยานออกไปจากเมือง
เฟิงเอ้อร์เหนียงตื่นตระหนก มองไปที่อินชิงเสวียนอินชิงเสวียนเริ่มกระวนกระวายใจคนแซ่หันยังจับตามองอยู่ตรงนั้น ตอนนี้นางทำได้เพียงหาโอกาสถามไถ่เรื่องคร่าวๆ ไม่มีเวลามาอืดอาดยืดยาดอยู่นี่“เจ้าบอกมาเร็ว เราไม่มีเวลามากขนาดนั้น”อินชิงเสวียนพิมพ์อีกครั้งผู้อาวุโสหันมีทักษะวรยุทธ์ยอดเยี่ยม ประสาทการฟังเหนือกว่าคนธรรมดา บางทีทุกอากัปกิริยาการเคลื่อนไหวของคนสองคนอาจจะดังเข้าหูเขาแล้วก็ได้ตอนนี้เสี่ยวหนานเฟิงยังอยู่ในมือของเขา อินชิงเสวียนย่อมไม่กล้าประมาทอยู่แล้วเฟิงเอ้อร์เหนียงเห็นตัวอักษรในโทรศัพท์อย่างชัดเจน ริมฝีปากแห้งผากเม้มแน่นอยู่นาน เป็นน็นเวลาห้าอึดใจเต็มๆ ในที่สุดก็พยักหน้าอินชิงเสวียนใจชื้นขึ้นมาทันที แล้วพิมพ์ถามอีกครั้งว่า “เรื่องแม่ของข้า ทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่”เฟิงเอ้อร์เหนียงพยักหน้า จากนั้นส่ายหัวอินชิงเสวียนขมวดคิ้ว ถามว่า “เจ้าหมายความว่าอย่างไร”เฟิงเอ้อร์เหนียงอ้าปาก จากนั้นก็ได้ยินผู้อาวุโสหันตะโกนมาแต่ไกล “ฟ้ามืดแล้ว ตามพื้นหญ้ามีงู แมลง หนู และมดมากมาย พวกเจ้าสองคนอย่าชักช้าอยู่นาน”อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากล่าง แล้วพิมพ์อีกวันนี้พอแค่นี้ก่อน
ค่ำคืนผ่านไปอย่างรวดเร็วด้วยความพยายามอย่างไม่หยุดพักของอินชิงเสวียน กำลังภายในที่มีอยู่ในร่างกายถูกนางหลอมรวมกันเป็นส่วนๆ และถูกย่อยไปแล้วหนึ่งในสามส่วนใช้เวลาอย่างมากไม่เกินสามวัน ก็สามารถแปลงพลังเหล่านี้ให้สำเร็จ ถึงวาระนั้นก็สามารถจดจ่อศึกษาวิทยายุทธ์เหล่านั้นได้เมื่อแสงแรกสาดส่องลงมา ผู้อาวุโสหันก็หยุดรถ“ทุกคนลงมาขยับร่างกายกันหน่อย ถือโอกาสกินอาหารรองท้อง หากไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไร วันนี้จะไม่หยุดอีกแล้ว”“ข้าจะไปปลดทุกข์หน่อย”อินชิงเสวียนลงจากรถ แล้วเดินไปที่เนินใกล้เคียงผู้อาวุโสหันพูดทันที “อวิ๋นลี่ เจ้าไปเป็นเพื่อชิงเสวียน”“เจ้าค่ะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงตามไปติดๆคราวนี้อินชิงเสวียนต้องการปลดทุกข์จริงๆ นางรีบทำธุระส่วนตัว แล้วเอาน้ำพุวิญญาณมาล้างมือ จากนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วถามคนด้านบน “เมื่อวานเจ้าหมายความว่าอย่างไร ตกลงว่าธิดาเทพของพวกเจ้าใช่แม่ของข้าหรือไม่”คราวนี้เฟิงเอ้อร์เหนียงไม่ลังเล พยักหน้าทันทีอินชิงเสวียนคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วถามว่า “ข้าเข้าใจได้ไหมว่า ยกเว้นเรื่องนี้ เรื่องอื่นผู้อาวุโสหันเป็นคนสั่งให้เจ้าบอก”เพราะเมื่อวานนี้เฟิงเอ้อร์เ
เสี่ยวหนานเฟิงที่อายุเท่านี้จะแยกแยะดีชั่วได้อย่างไร เมื่อเห็นฉางเฮิ่นเทียนยิ้ม ทั้งยั้งเล่นกับตัวเอง เขาก็พยักหน้าอย่างมีความสุขอินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้นเช่นกันตราบใดที่ยังมีความต้องการก็จัดการได้ง่าย กลัวแต่ว่าเขาจะไม่ปรารถนาสิ่งใดสักพักอาหารง่ายๆ ก็เตรียมพร้อมเสร็จสรรพอินชิงเสวียนหยิบข้าวถ้วยร้อนสองกล่องส่งให้ฉางเฮิ่นเทียน“ข้าวนี้นุ่มมาก ลูกข้ากินได้ พวกเจ้าสองคนกินกันคนละกล่องนะ ถ้าไม่พอ เจ้าก็กินเสบียงอาหารแห้ง”“ขอบคุณแม่นางอิน”ฉางเฮิ่นเทียนใช้มือหนึ่งอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง แล้วรับอาหารด้วยมืออีกข้างหนึ่งอินชิงเสวียนกินชอบหม้อไฟเล็ก จึงหยิบของตัวเอง ส่วนที่เหลือที่เหลือก็เก็บไว้ให้ผู้อาวุโสหันและเฟิงเอ้อร์เหนียง“เจ้าสำนักฉุยกินอะไรได้หรือไม่ ที่ข้ายังมีนมอยู่นะ”เฟิงเอ้อร์เหนียงส่ายหัว“ตอนนี้น่าจะไม่ได้ ประเดี๋ยวข้าจะถ่ายทอดพลังงานภายในให้นาง ประคับประคองร่างกายของนางไว้”“อื้ม ถ้าต้องการเจ้าค่อยบอกข้านะ”อินชิงเสวียนเปิดฝากล่อง แล้วนั่งกินอยู่ข้างๆผู้อาวุโสหันอาศัยอยู่บนภูเขามาตลอด ไม่มีความต้องการอาหารมากนัก แต่ยังคงถูกดึงดูดความสนใจด้วยกลิ่นหอมที่ไม่เคยได้กล