งานเลี้ยงกินเวลาจนถึงยามสาม เมื่อขุนนางทั้งหมดลุกขึ้นขอตัวกลับไปเย่จิ่งอวี้หลุบตาลง แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “เหนื่อยแล้วใช่หรือไม่”อินชิงเสวียนรีบปรับอารมณ์ให้กระฉับกระเฉง แล้วพูดอย่างยิ้มแย้ม “เปล่า ข้านอนเต็มอิ่มแล้ว”เย่จิ่งอวี้เอื้อมมือไปช่วยพยุงอินชิงเสวียนให้ลุกขึ้น แล้วดีดหน้าผากเกลี้ยงเกลาของนางเบาๆ “ดึกป่านนี้แล้ว ปกติเจ้านอนไปนานแล้ว ข้าจะพาเจ้ากลับไปที่ตำหนักจินหวู”“ไม่เอา”อินชิงเสวียนตกใจ รีบปฏิเสธเรียวตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้เลิกขี้น ถามด้วยความประหลาดใจ “มีอะไรรึ”อินชิงเสวียนกัดริมฝีปากล่าง แล้วพูดเบาๆ “ข้า...วันนี้ข้าอยากอยู่ที่ตำหนักเฉิงเทียนกับอาอวี้ ไม่รู้ว่า...จะได้หรือไม่”จู่ๆ เย่จิ่งอวี้ก็ยิ้มออกมาเขารั้งจับเอวคอดของอินชิงเสวียน แล้วพูดด้วยน้ำเสียงรักใคร่ลุ่มหลง “ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ตำหนักในวังหลวงทั้งหมดเป็นของเสวียนเอ๋อร์ เจ้าอยากอยู่ที่ไหนก็อยู่ที่นั่นได้”ขณะมองดูใบหน้าที่หล่อเหลานั้น ขอบตาของอินชิงเสวียนก็เปลี่ยนเป็นสีแดงเรื่อ“ขอบคุณนะ...อาอวี้!”ภายใต้แสงไฟสลัว เย่จิ่งอวี้ยังคงสังเกตเห็นความผิดปกติของอินชิงเสวียน เขาเลิกคิ้วเล็กน้อย“มีอะไรห
เย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนเตียง เรือนผมดำยาวตกลู่ลงบนไหล่ ใบหน้าหล่อเหลานั้นแดงระเรื่อเขามองไปที่อินชิงเสวียนด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม“ทำไมวันนี้เจ้าถึงนึกอยากเล่นดนตรีให้ข้าฟังล่ะ เสวียนเอ๋อร์ไม่เหนื่อยหรือ”อินชิงเสวียนโบกมือหยิบขวดน้ำพุวิญญาณออกมา แล้วดื่มด้วยอากัปกิริยาสง่างาม“แบบนี้ก็ไม่เหนื่อยแล้ว”นางวางขวดน้ำลงด้วยรอยยิ้ม ยกมือขึ้นลูบเรือนผมของเย่จิ่งอวี้ที่คลอเคลียอยู่บนไหล่“อาอวี้เหนื่อยแล้วหรือ”“ไม่เหนื่อย เสวียนเอ๋อร์อุตส่าห์อารมณ์ดีทั้งที ข้าย่อมอยากฟังอยู่แล้ว”เขายกมือขึ้นปลดเสื้อคลุมที่แขวนอยู่ข้างม่านออก แล้วสวมคลุมตัวอย่างง่ายๆ แล้วเดินเท้าเปล่าไปนั่งบนเก้าอี้นุ่มข้างๆเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางตั้งใจอยากฟังของเย่จิ่งอวี้ อินชิงเสวียนก็ไม่รู้ว่าควรดีใจหรือกลุ้มใจดี ทั้งยังไม่แน่ใจด้วย เพลงลืมกลุ้มที่นางเคยบรรเลงเพียงครั้งเดียวนั้น จะได้ผลจริงหรือไม่ตอนนี้ยังไม่รู้อะไรสักอย่าง ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไรนั้น ต้องยกให้เป็นเรื่องของสวรรค์แล้วนางรีบสวมชุดกระโปรง แล้วเอื้อมมือเรียกพิณการเวกออกมาเย่จิ่งอวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย“ทำไมเสวียนเอ๋อร์ถึงใช้พิณตัวนี้”อินชิงเ
“หลี่กงกง ตามข้ามาที่ห้องโถงด้านข้าง ข้ามีเรื่องจะพูดกับเจ้า”ตอนที่อินชิงเสวียนออกมา แสงจางๆ ก็ปรากฏขึ้นบนขอบฟ้าแล้วนางรู้ว่าเย่จิ่งอวี้จะนอนหลับอีกไม่นาน นางต้องอธิบายทุกอย่างให้ชัดเจนโดยใช้เวลาอันสั้นที่สุดหลี่เต๋อฝูกำลังงีบหลับ เมื่อได้ยินอินชิงเสวียนเรียกตัวเองด้วยน้ำเสียงจริงจัง ก็ตื่นขึ้นทันทีเขาโค้งตัว วิ่งเหยาะๆ ไปจนถึงห้องโถงด้านข้าง“ฮองเฮามีอะไรจะสั่งงานกระหม่อมหรือพ่ะย่ะค่ะ”“ข้ามีเวลาไม่มาก จะขอเล่าสั้นๆ ข้าเชื่อในความสามารถของหลี่กงกง เชื่อว่าหลี่กงกงจริงใจต่อฝ่าบาทอย่างแท้จริง ดังนั้น เจ้าต้องทำตามที่ข้าสั่งให้ได้”อินชิงเสวียนหันหลังให้เขา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่แหบผิดปกติหลี่เต๋อฝูรู้ว่าอินชิงเสวียนไม่ใช่คนประเภทเสแสร้งแกล้งทำ ใช้ตำแหน่งข่มเหงผู้อื่น ที่นางพูดแบบนี้ ต้องมีเรื่องเป็นแน่ เขาจึงรีบเงี่ยหูฟังอินชิงเสวียนสูดจมูกพูดว่า “หลี่กงกงเป็นคนฉลาด เกรงว่าคงสังเกตเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของฝ่าบาทในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมาแล้ว อันที่จริงเจ้าเดาถูก ฝ่าบาทองค์ก่อนหน้าคือเสด็จอาที่ปลอมตัว ฝ่าบาทตัวจริงไปที่เป่ยไห่กับข้า ตอนนี้เสด็จอาออกจากเมืองหลวงแล้ว เมืองหลวงจะอยู่
เมื่อได้ยินเสียงสะอื้นไห้ของหลี่เต๋อฝู อินชิงเสวียนก็กัดริมฝีปากอย่างแรง นางรู้ว่าหลี่เต๋อฝูนั้นจงรักภักดีมาก จะยอมให้นางทำตามความปรารถนาอย่างแน่นอน“ขอบคุณ หวังว่าสักวันหนึ่งเราจะได้พบกันอีก!”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบก็ใช้ความเร็วของมิติ ในชั่วพริบตา ร่างที่สง่างามนั้นก็หายไปในแสงท้องฟ้าสีเงินเนิ่นนาน ในที่สุดหลี่เต๋อฝูก็เงยหน้าขึ้นราวกับตื่นจากความฝันการจะลบล้างการดำรงอยู่ของฮองเฮาโดยสิ้นเชิง ทำให้เขาต้องเปลืองสมองหลายส่วนบรรดาผู้ที่รู้จักฮองเฮา ไม่ได้มีแค่ขันทีและนางกำนัลในตำหนักจินหวูเท่านั้น แต่ยังรวมถึงองค์หญิงไห่ถังที่มีความสัมพันธ์อันดีกับนางด้วย เมื่อเรื่องนี้ถูกเปิดเผย ผลที่ตามมานั้นยากจะคาดเดาเมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ทำได้เพียงพยายามรับมืออย่างเต็มที่หลี่เต๋อฝูอยู่ในวังมาทั้งชีวิต ไม่มีอะไรสามารถซ่อนเร้นจากสายตาของเขาได้ ไม่ว่าเขาจะเป็นคนหรือผี ก็สามารถมองเห็นได้ชัดเจนในพริบตาเขารู้ดีว่าอินชิงเสวียนแตกต่างจากเจ้านายคนอื่น นางไม่เคยเรียกร้องรางวัลใดๆ ไม่เคยทำร้ายใครเพียงเพราะอยากอยู่ในตำแหน่งสูง ความคิดของนางอุทิศให้กับการดำรงชีวิตของราษฎรในต้าโจว และการพัฒน
ตำหนักจินหลวนเย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้มังกร สวมเสื้อคลุมมังกรสีเหลืองสดใส ดวงตาคมกริบจ้องมองไปที่ขุนนางผ่านลูกปัดโมราบนมาลามงกุฎ“ขุนนางทุกท่านมีฎีกาถวายหรือไม่”ขุนนางทุกคนก้มศีรษะลง ไม่มีใครพูดอะไรเย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้ว พูดอย่างไม่พอใจ “พวกเจ้าทุกคนเป็นใบ้หรือ ทำไมไม่พูดล่ะ ฉินไห่ฉิว การขุดบ่อน้ำเป็นอย่างไรบ้าง”เสนาบดีกรมโยธาก้าวไปข้างหน้าด้วยความคิดที่ซับซ้อน“ขุดเสร็จแล้ว กระหม่อม...กระหม่อม...”เขาเอ่ยคำว่ากระหม่อมติดๆ กัน ในที่สุดก็เปลี่ยนคำพูด “ฝ่าบาทโปรดวางพระทัย ปัญหาเรื่องน้ำดื่มของราษฎรได้รับการแก้ไขแล้ว และทุกอย่าง...กำลังฟื้นตัว”คิ้วของเย่จิ่งอวี้ขมวดขึ้นอีกเล็กน้อย“ในเมื่อผลลัพธ์ออกมาดี เหตุใดถึงอึกอักเพียงนี้ หรือยังมีเรื่องปกปิดอะไรอีก?”ฉินไห่ฉิวสะดุ้ง รีบคุกเข่าลงกับพื้นอย่างลนลาน“ไม่มีพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่เมื่อคืนกระหม่อมนอนไม่ค่อยหลับ เวียนหัวนิดหน่อย ขอทรงโปรดยกโทษให้กระหม่อมด้วย”“ลุกขึ้นเถอะ”เย่จิ่งอวี้กวาดสายตามองไปทั่ว ทันใดนั้นก็เห็นกวนฮั่นหลินที่ไม่ได้มาประชุมเช้านานแล้ว จึงอดไม่ได้ที่จะถามกระเซ้าว่า “วันนี้จอมพลเฒ่าแปลกนัก มาประชุมเช้าด้วย อาการ
หลี่เต๋อฝูพลางบ่น พลางพยักหน้าให้กวนฮั่นหลิน เพื่อแสดงว่าตัวเองเข้าใจแล้ว จากนั้นเขาก็ก้มลงและช่วยประคองเย่จิ่งอวี้ออกจากตำหนักจินหลวงคณะขุนนางก็แยกย้ายกันออกจากห้องโถงในตำหนักจินหลวน ทุกคนก็ยืนนิ่งอยู่ที่ทางเข้าประตูจิ้งอันหานสือแทบรอไม่ไหวที่จะถาม “จอมพลเฒ่า เกิดอะไรขึ้นกันแน่ ฮองเฮานาง...ถูกขับไปยังวังเย็นอีกครั้งจริงๆ หรือ”กวนฮั่นหลินพยักหน้าด้วยสีหน้าหนักใจ“เป็นข่าวที่หลี่เต๋อฝูส่งคนมาบอกเมื่อวานนี้ จริงแท้แน่นอน ไม่มีทางเป็นเท็จ ข้ารู้ว่าเจ้าเคารพเลื่อมใสฮองเฮาเป็นอย่างมาก เช่นนั้นจงเก็บความเคารพนี้ไว้ในใจก่อนเถิด อย่าพูดถึงนางต่อหน้าฝ่าบาท”ฉินไห่ฉิวขมวดคิ้วถามว่า “พิธีแต่งตั้งฮองเฮาเพิ่งจัดขึ้นเมื่อวานนี้ เหตุใดเพียงแค่ไม่กี่ชั่วยามก็ถูกส่งกลับวังเย็นแล้วล่ะ ระหว่างฮองเฮากับฮ่องเต้เกิดอะไรขึ้น ฮองเฮาทำเพื่อต้าโจวมากมาย ฮ่องเต้จะบุ่มบ่ามเช่นนี้ได้อย่างไร”เขาอยากจะพูดถึงโครงการผันน้ำจากใต้สู่เหนือหลายครั้งในการประชุม แต่เมื่อนึกถึงจดหมายที่ได้รับจากตระกูลกวนเมื่อเช้านี้ ก็กลืนลงท้องไป แต่ในใจยังรู้สึกไม่พอใจมาก นับหลายพันปีที่ผ่านมา ไม่มีใครคิดวิธีแก้ปัญหาภัยแล้งด้วย
อินสิงอวิ๋นพูดด้วยใบหน้าบิดเบี้ยว “ในเมื่อน้องหญิงใหญ่เลือกที่จะออกจากวังเพียงลำพัง ก็พิสูจน์ได้ว่าศัตรูในครั้งนี้แข็งแกร่งมาก แม้แต่นางยังไม่มั่นใจว่าจะชนะ ขืนเราวิ่งหัวหกก้นขวิดไปมั่วซั่ว จะกลายเป็นว่าโดนคนอื่นจับตัวไป มิทำให้น้องหญิงใหญ่ร้อนใจมากกว่าเดิมหรอกหรือ”อินปู้อวี่กระทืบเท้าด้วยความโกรธ“แล้วเราจะทำอย่างไรดี หรือผู้ชายบ้านเราจะปล่อยให้น้องหญิงใหญ่เสี่ยงอันตรายโดยไม่สนใจ หดหัวอยู่ในเมืองเหมือนเต่าขี้ขลาดงั้นหรือ”อินจ้งหายใจยาว ขยำจดหมายในมือ หยิบตะบันไฟออกมา และเผาจดหมายจนเป็นเถ้าถ่านครั้นนึกถึงคำขอโทษที่ท้ายจดหมาย ดวงตาก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงเมื่อถึงวัยในปัจจุบันของเขา จะยังสนใจเรื่องเป็นขุนนางอยู่อย่างนั้นหรือ สิ่งที่เขาสนใจตอนนี้ คือลูกชายหญิงของเขา บัดนี้ต้าโจวสงบสุขทั้วทั้งแคว้น ทั้งยังมีท่านอาจารย์เป็นที่ปรึกษานั่งอยู่ในเมืองหลวงด้วย แม้ไม่มีตระกูลอิน ก็ไม่สำคัญเรื่องหนทางการเลี้ยงชีพนั้น ยิ่งไม่ต้องกังวล ลำพังแค่ร้านค้านี้ของตระกูลอิน ก็สามารถทำเงินได้หลายแสนตำลึงต่อปี ซึ่งทั้งหมดล้วนเป็นสิ่งที่อินชิงเสวียนมอบให้ หากไม่มีนาง วันนี้ตระกูลอินทั้งตระกูลคงได้ทำ
อินชิงเสวียนรู้สึกประหลาดใจอยู่บ้างเฟิงเอ้อร์เหนียงจะอยู่ที่นี่ก็ไม่มีอะไรผิดปกติ นางเป็นเจ้าของเรือนจุ้ยหงคนปัจจุบัน แต่ทำไมฉุยอวี้ถึงอยู่ที่นี่ด้วยล่ะ“สองคนนี้เป็นศิษย์น้องของแม่เจ้า ถ้าอยากรู้ว่าแม่ของเจ้าตายอย่างไร ก็ให้พวกนางบอกเจ้าเถอะ”หลังจากที่ผู้อาวุโสหันพูดจบก็เหาะชุดปลิวออกไปอินชิงเสวียนตกตะลึงอีกครั้งแม่?ศิษย์น้อง?หรือว่าแม่ของเจ้าของร่างเดิมไม่ใช่ฮูหยินใหญ่ของตระกูลอิน?เกิดอะไรขึ้นกันแน่?เมื่อนึกถึงหยกเย็นที่ฉุยอวี้มอบให้ตัวเอง รวมถึงท่าทีของเฟิงเอ้อร์เหนียงที่เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน อินชิงเสวียนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยอยู่ตงิดๆนางรีบเดินเข้าไปในห้องแล้วถามด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เกิดอะไรขึ้นกันแน่”ฉุยอวี้นอนราบลงบนเตียง เหม่อมองเพดาน ไม่ตอบคำถามของอินชิงเสวียน นางไม่มีการตอบสนองแม่แต่น้อย สีหน้าไร้อารมณ์ความรู้สึกเฟิงเอ้อร์เหนียงเหลือบมองที่ฉุยอวี้ ขอบตาแดงเล็กน้อย นางเม้มริมฝีปากอย่างแรง หลุบตาลงแล้วพูดว่า “สิ่งที่ผู้อาวุโสหันพูดเป็นเรื่องจริง แม่ของเจ้าคือเหมยชิงเกอพี่หญิงใหญ่ของเรา ยังเป็นอดีตธิดาเทพแห่งตำหนักเทพหอทองคำ”“ลมปากไร้หลักฐาน เจ้ามีหลักฐ