เมื่อได้ยินคำชมของเสด็จอา เย่จิ่งอวี้ก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์เคยกล่าวไว้ว่า น้ำสามารถบรรทุกเรือได้แต่ก็สามารถทำให้พลิกคว่ำได้ ถ้าใต้หล้าสงบสุข ราษฎรจะคิดกบฏได้อย่างไร การเดินทางจากเมืองหลวงครั้งนี้ นับว่าข้าได้ออกไปเปิดหูเปิดตาได้เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ไปทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานหนักเพื่อปกครองและสร้างต้าโจวให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง”เมื่อมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาเห็นระหว่างทาง เย่จิ่งอวี้ก็ทอดถอนใจอย่างลึกซึ้งเย่จั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ต้องสามารถเปิดศักราชใหม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยความช่วยเหลือจากกุ้ยเฟย วันหน้าเมื่อกระหม่อมเดินทางออกจากเมืองหลวง ก็สามารถวางใจได้แล้ว”เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างอบอุ่น “สถานการณ์ในเมืองซุ่ยหานสงบมั่นคง เสด็จอาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าอยากจะใช้เวลาอยู่กับเสด็จอาอีกหลายวัน”ทันใดนั้นเย่จั้นก็ลุกขึ้น ยกเสื้อคลุมและคุกเข่าลงกับพื้นเย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยความตกใจว่า “เสด็จอานี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”เย่จั้นโขกศีรษะลงกับพื้น“กระหม่อมอยากพักจากราชการทหารชั่วคราว ออกเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน หวังว่า
สองอาหลานอุตส่าห์ได้เปิดใจกันทั้งที จนกระทั่งไม่มีแรงต้านทานฤทธิ์สุราได้ สุดท้ายจึงนอนด้วยกันอยู่ในตำหนักเฉิงเทียนหลี่เต๋อฝูสั่งให้คนเก็บกวาดงานเลี้ยง คลุมผ้าห่มให้สองอาหลาน แล้วจากไปพร้อมกับกลุ่มขันทีน้อยโชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ฝ่าบาทจึงไม่ต้องตื่นมาประชุมเช้า อยากนอนถึงตอนไหนก็นอนได้เต็มที่เมื่อนึกถึงการตรากตรำทำงานทั้งวันทั้งคืนของฮ่องเต้นับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ หลี่เต๋อฝูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ แทบอยากให้เขาจะได้นอนหลับทั้งวันทั้งคืน พักผ่อนร่างกายให้ดีกระซิบเสียงค่อย “ออกไปเฝ้าทางนั้น หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท ใครก็ห้ามเข้ามา”“ขอรับ”ขันทีน้อยเชื่อฟังคำสั่งของหลี่เต๋อฝู ต่างถอยออกไปด้วยความนอบน้อมค่ำคืนนี้จึงผ่านไปอย่างเงียบงัน เมื่ออินชิงเสวียนลืมตาขึ้น ดวงตะวันก็ลอยขึ้นสูงแล้วแม้ว่านางจะได้รับการปกป้องจากมิติ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แต่ช่วงเวลาที่ที่อยู่ในเป่ยไห่ก็ไม่ค่อยปลอดภัยนักตอนนี้เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง จึงรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายใจ รู้สึกว่านอนหลับสบายมากยิ่งนักเสียงหัวเราะใสๆ ประหนึ่งเสียงกระพรวนของอินจื่อลั่วและเสี่ยวหนานเฟิงดังมาจากข้างนอก ท
เสี่ยวหนานเฟิงลืมไปแล้วว่าเสด็จอาเป็นใคร ดวงตาโตราวกับองุ่นสีดำเบิกตากว้าง มองที่อินชิงเสวียนด้วยสีหน้างุนงง“เสด็จอาคือใครน่ะ”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป็นน้องสาวของเสด็จพ่อเจ้าอย่างไรล่ะ”เสี่ยวหนานเฟิงยังคงไม่เข้าใจ เขาก้มหน้าเล่นมือเล็กจ้อยของตัวเองเสียดื้อๆอินจื่อลั่วดึงชายเสื้อของอินชิงเสวียนอย่างไม่เต็มใจ“พี่หญิงอยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือเจ้าคะ”อินปู้อวี่ก็มองดูน้องสาวเช่นกัน เมื่อวานกลัวนางจะเหนื่อยเกิน จึงไม่ได้มารบกวน พวกเขาพี่น้องยังไม่ค่อยได้พูดคุยกันเลย อินชิงเสวียนกลับจะไปแล้วครั้นได้เห็นลูกๆ สามัคคีปรองดองกันเช่นนี้ อินจ้งก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง“พี่หญิงเจ้าออกจากวังมานานแล้ว จึงต้องมีเรื่องมากมายต้องจัดการ ห้ามก่อเรื่อง”เมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยปาก สองพี่น้องก็หุบปากทันทีเย่จิ่งอวี้เอื้อมมือออกไปรับลูกชาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “รบกวนท่านขุนนางให้ดูแลเสวียนเอ๋อร์แล้ว วันหน้าเมื่อมีเวลาว่าง ข้าจะพาเสวียนเอ๋อร์ออกจากวังมาร่วงสังสรรค์กับทุกคนอีก”อินจ้งรีบโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ได้จับมือน้อยของอิน
อินชิงเสวียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ“หรือว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งข้า?”เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดกระเซ้า “แล้วเจ้าชอบผู้ดูแลฝ่ายใน หรือผู้ตรวจการสำนักซ่างหลินมากกว่าล่ะ?”อินชิงเสวียนถ่มน้ำลาย แล้วพูดอย่างงอนๆ “ตอนนี้ข้าไม่ใช่ขันทีสักหน่อย จะอยากได้ตำแหน่งบ้าๆ พวกนั้นไปทำไม”เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคน ซึ่งไม่ต่างจากคู่รักหนุ่มสาวทั่วไป จะมีการหยอกล้อสัพยอก กระเซ้าเย้าแหย่กันบ้างก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทนักเย่จิ่งอวี้จับมืออันอ่อนนุ่มขาวเนียนของนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ข้าต้องการแต่งตั้งตำแหน่งดีๆ ให้เสวียนเอ๋อร์ เช่น สี่ฮุ่ยฮองเฮา ต่วนเสียนฮองเฮา ซุ่นหว่านฮองเฮา ข้าคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสวียนเอ๋อร์ชอบชื่อไหน”อินชิงเสวียนรู้มานานแล้วว่าตัวเองจะถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่ไม่คาดคิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งกลับถึงวังเอง เย่จิ่งอวี้ก็แทบรอไม่ไหวแล้ว“เอ่อ...ไม่ต้องรออีกหน่อยหรือ”เย่จิ่งอวี้จากไปนาน คงมีเรื่องให้สะสางมากมายกระมัง!“ไม่จำเป็น ข้าตั้งตารอวันนี้มานานแล้ว ข้าแจ้งให้โหราจารย์หาฤกษ์มงคลเร็วๆ นี
ณ หอฉงฮวาซูฉ่ายเวยทราบข่าวการกลับมาของอินชิงเสวียนแล้ว คิดว่านางเดินทางไกลยากลำบาก จะต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่สักหลายๆ วัน เดิมทีคิดว่าอีกสองวันค่อยไปขอเข้าพบ ไม่นึกว่าอินชิงเสวียนจะเป็นคนมาเสียเอง “ถวายพระพรกุ้ยเฟยเพคะ!”เมื่อเห็นอินชิงเสวียนอีกครั้ง ซูฉ่ายเวยก็รู้สึกประหลาดใจระคนยินดีชั่วพริบตาก็ผ่านไปครึ่งปีแล้ว ของที่อินชิงเสวียนให้นางก็ถูกขายไปเกือบหมดแล้ว ตอนนี้ได้พบเทพเจ้าแห่งความมั่งคั่ง จะไม่มีความสุขได้อย่างไร“เราต่างเป็นพี่น้องกัน เจ้ากับข้าไม่ต้องเกรงใจขนาดนั้น”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปช่วยพยุงซูฉ่ายเวยขึ้น และนั่งบนเก้าอี้นวมยาวกับนางซึ่งแน่นอนว่าเมื่อได้ทำตามใจซึ่งกันและกัน ปล่อยวางเรื่องคดเคี้ยวเลี้ยวลดเหล่านั้น ซูฉ่ายเวยในตอนนี้ยิ่งสง่าผ่าเผยบุคลิกดีมากขึ้น อินชิงเสวียนพูดจากใจจริง “ในช่วงเวลาที่ข้าไม่อยู่นี้ หลิงเฟยได้ทำงานหนักแทนข้า ช่วยจัดการวังหลัง ลำบากแล้วจริงๆ”ซูฉ่ายเวยพูดด้วยรอยยิ้ม “กุ้ยเฟยยกย่องเกินไปแล้ว ข้าแค่ทำหน้าที่ของข้า ตอนนี้พวกนางเล็กๆ เหล่านั้นทำตัวสงบเสงี่ยมขึ้นมาก คิดว่าคงยอมแพ้แล้ว ไม่มีอะไรต้องกังวล”อินชิงเสวียนพยักหน้า พูดด้วยน้ำเ
“กุ้ยเฟยทรงเกรงใจมากเกินไปแล้ว”ซูฉ่ายเวยมองสิ่งเหล่านั้น ด้วยดวงตาเป็นประกาย“คิดเสียว่านี่คือน้ำใจของข้าที่มีต่อเจ้า รับไว้เถอะ สิ่งเหล่านี้ข้าเหลือไม่มากแล้ว เกรงว่าต่อไปถึงอยากเอาออกมาให้เจ้าก็ไม่สามารถเอาออกมาได้อีก อย่าได้เกรงใจเลย”คะแนนสะสมเกือบทั้งหมดในมือของอินชิงเสวียนถูกเย่จิ่งหลานใช้คนเกลี้ยง เหลืออีกไม่มากจริงๆ ในมิติไม่ได้รับรางวัลใหญ่เลย แถมนางยังไม่รู้ว่าจะทำให้เกิดขึ้นอย่างไร ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการแจ้งเตือนใดๆ เกรงว่าอนาคตตัวเองต้องกลับไปสู่ช่วงคำนวณคะแนนที่ยากลำบากแล้วโชคดีที่ตอนนี้นางไม่อยู่ในวังเย็นอีก จึงไม่ต้องกังวลเรื่องของกินของใช้ซูฉ่ายเวยลังเลแล้วพูดว่า “งั้น...งั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว”ทันใดนั้นก็เปิดหีบเล็กข้างๆ ออก แล้วหยิบตั๋วเงินออกมาปึกหนึ่ง“นี่คือเงินส่วนแบ่งของสินค้าที่ขายได้ กุ้ยเฟยโปรดรับไว้ด้วย”อินชิงเสวียนผลักกลับ พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ตอนนี้ข้าไม่ต้องการเงินแล้ว พ่อของเจ้าจากไปเร็ว เจ้ายังมีแม่และน้องชายที่ต้องดูแล การแต่งงานของน้องชายในอนาคตและเงินสินเดิมของตัวเอง ยังต้องใช้เงินอีก เก็บไว้ให้ตัวเองเถอะ พูดจริงๆ แล้ว เป็นข้ากับอาอวี้ท
อินชิงเสวียนก้าวไปรับลูกชาย แล้วถามด้วยรอยยิ้ม “ฝ่าบาทสะสางงานราชกิจเสร็จแล้วหรือ”“เสด็จอาไม่เหลือฎีกาไว้ให้ข้ามากนัก ข้าแค่ไปพอเป็นพิธีเท่านั้น”เย่จิ่งอวี้นั่งลงที่โต๊ะ แล้วจิบชาเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงแค่ครู่เดียว ก็ทำให้เขาเหงื่อออกแล้ว เรียกว่าเหนื่อยยิ่งกว่าการฆ่าคนในสนามรบเสียอีก“ได้ยินจากอวิ๋นฉ่ายว่า เสวียนเอ๋อร์ไปที่หอฉงฮวามา ซูฉ่ายเวยคงจะรู้เรื่องนี้แล้ว?”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลง แล้วถามด้วยรอยยิ้มอินชิงเสวียนพยักหน้าตอบว่า “อื้ม นางก็ถือว่าช่วยข้าได้มาก ข้าคิดว่าจำเป็นต้องบอกนางหน่อย หากส่งนางออกไปด้วยราชโองการหนึ่งฉบับ เกรงว่าจะใจร้ายเกินไป”เย่จิ่งอวี้ไม่ได้คัดค้านเรื่องนี้“จากนี้ไปเสวียนเอ๋อร์จะเป็นเจ้าของวังหลังแห่งนี้ เรื่องในวังหลัง เสวียนเอ๋อร์สามารถตัดสินใจได้ทุกอย่าง ต่อไปถึงแม้จะไม่มีสนมหรือนายหญิง แต่ก็ยังมีไท่เฟยที่ยังมีชีวิตอยู่อีกมาก ถ้าเสวียนเอ๋อร์รู้สึกเบื่อ ก็สามารถเดินเล่นไปเยี่ยมเยียนพวกนางได้”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ ว่า “มีจ้าวเอ๋อร์อยู่ด้วย ข้ายังจะเบื่ออีกงั้นหรือ”“เจ้าเด็กนี่ นับวันยิ่งซนมากขึ้นเรื่อยๆ”เย่จิ่งอวี้มองดูลูกชายด้วยสีหน้ารักใคร
เมื่ออินชิงเสวียนตื่นขึ้นมา เย่จิ่งอวี้กำลังนั่งสมาธิข้างน้ำพุวิญญาณเขาสวมกางเกงขายาวตัวในสีขาว เปลือยอกท่อนบน กระดูกไหปลาร้าและกล้ามเนื้อหน้าท้องปรากฏให้เห็นรางๆ ให้ความรู้สึกที่เป็นเอกลักษณ์แห่งบุรุษเพศอินชิงเสวียนค่อยๆ เดินไปอย่างเงียบๆ เย่จิ่งอวี้ก็หันกลับมา“ตื่นแล้ว?”น้ำเสียงของเขาแจ่มชัด ดวงตาสุกใสราวกับกระจก คนทั้งคนให้ความรู้สึกชัดเจนอย่างอธิบายไม่ได้อินชิงเสวียนยิ้ม คุกเข่าลงข้างๆ เขา เหลือบมองแล้วถามว่า “อาอวี้ได้อะไรบ้างไหม”“ไม่ได้ แค่รู้สึกสมองปลอดโปร่ง หูตาแจ่มชัด รู้สึกดีมากจริงๆ”เขาเอื้อมมือออกมา แล้วเกาสันจมูกของอินชิงเสวียนเบาๆ “หรือว่าเสวียนเอ๋อร์ยังกังวลเรื่องฝังโลหิตอยู่”อินชิงเสวียนพยักหน้า“อาอวี้สูญเสียการควบคุมเพราะช่วยข้า ข้าย่อมกังวลอยู่แล้ว ท่านตาได้กำชับเป็นพิเศษ ว่าให้สังเกตสภาพจิตใจของท่านตลอดเวลา เมื่อใดที่ถูกการฝังโลหิตควบคุมโดยสิ้นเชิง เกรงว่าอาอวี้จะจำข้ากับจ้าวเอ๋อร์ไม่ได้อีกแล้ว”“ข้ารู้แล้ว”เย่จิ่งอวี้ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “เสวียนเอ๋อร์ไม่ต้องกังวล ที่นี่คือเมืองหลวง ข้าคงไม่นำทัพทหารไปต่อสู้แน่ ย่อมไม่เห็นการนองเลือดมาก ฝังโลหิต