หยวนเป่าคิดในใจ คนที่ไม่ใช่ตัวเองเสียหน่อย แต่เป็นคุณชายเองชัดๆ ที่ไม่อยากเข้าประตูในขณะที่คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เฮ่อฉางเฟิงได้เข้าไปในป่าหมอกพิษขาวแล้วสองนายบ่าวเดินอย่างเร่งรีบ ไม่กล้าล่าช้า หลังจากผ่านไปสามสิบนาที ในที่สุดพวกเขาก็เดินออกจากป่าม่านพลังที่ซ่อนห้าธาตุแปดทิศอยู่ข้างในหากก้าวผิดพลาดเพียงครั้งเดียว กลไกนับไม่ถ้วนจะถูกกระตุ้นให้ทำงาน ไม่ต้องพูดถึงว่ายังมีค่ายกลเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว แม้แต่ยอดฝีมืออย่างเฮ่อฉางเฟิงก็ไม่กล้าประมาทหลังจากออกจากป่าทึบ อาคารที่มีคานไม้แกะสลักอันวิจิตรงดงามตาก็ดึงดูดสายตาของทั้งคู่ ประหนึ่งเป็นแคว้นเล็กๆ เพียวเมี่ยวอิ๋นเฉิงค่อนข้างแตกต่างจากสำนักวรยุทธ์ทั่วไป ไม่เหมือนสำนักอื่นๆ ที่ทุกวันต้องบำเพ็ญเพียรอย่างยากลำบาก ในทางกลับกัน ในขณะที่ผู้คนฝึกฝนวรยุทธ์ พวกเขาก็ใช้ชีวิตเหมือนคนธรรมดาทั่วไปในเมืองมีตลาด มีพื้นที่เพาะปลูก ผู้คนอยู่ดีมีสุข ราวกับอยู่บนสรวงสวรรค์เฮ่อฉางเฟิงเดินกลับไปที่จวนเจ้าเมืองพร้อมกับหยวนเป่า ทันทีที่เข้าไปในเรือน ก็ได้ยินเสียงทุ้มลึกพูดว่า “ไปไหนกันมา”สีหน้าท่าทางของเฮ่อฉางเฟิงเปลี่ยนไปทันที ท่านพ่อออกจากการบำเพ็
ครั้นได้ยินดังนี้ เจ้าเมืองเฮ่อก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ทุกคนในอิ๋นเฉิงล้วนเคยไปสู่วิถีแห่งสวรรค์ แต่ท้ายที่สุดก็ยังคงไม่สามารถเข้าใจความลับนี้ได้ บางทีอิ๋นเฉิงอาจไม่มีวาสนาต่อวิถีแห่งสวรรค์นี้ก็ได้”ผู้อาวุโสฉางที่อยู่ข้างๆ เขาก็ถอนหายใจเช่นกันวิถีแห่งสวรรค์ไม่ใช่มีแค่คนระดับสูงของอิ๋นเฉิงเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ แต่คนในอิ๋นเฉิงทุกคนสามารถเข้าไปได้ และสามารถบรรลุได้ แต่ไม่มีใครสามารถเปิดประตูสวรรค์ทั้งสองบานได้เมื่อเวลาผ่านไป คนในอิ๋นเฉิงก็ไม่สนใจวิถีแห่งสวรรค์อีกต่อไป ต่างก็ใช้ชีวิตอย่างที่ควรจะเป็นถ้าไม่ใช่เพราะความคับข้องใจเก่าๆ กับตำหนักเทพ เฮ่อยวนก็ยินดีที่จะบรรลุร่วมกับพวกเขา“นั่นอาจไม่เป็นเช่นนั้น ข้าดูดาวในตอนกลางคืน คำนวณได้ว่าจะมีการพลิกกลับครั้งใหญ่ในครั้งนี้ หากอิ๋นเฉิงสามารถไปถึงวิถีแห่งสวรรค์ได้ บางทีเราอาจจะเปิดประตูทั้งสองบานนั้นได้จริงๆ”“จะเปิดได้หรือไม่นั้นสำคัญมากเพียงนั้นเชียวหรือ ตราบใดที่อิ๋นเฉิงของเรามีความสามัคคีและสวยงาม อยู่ดีมีสุข เป็นเรื่องที่ดีกว่าอะไรทั้งหมดไม่ใช่หรือ”เสียงของสตรีคนหนึ่งดังมาจากห้องข้างๆ ทั้งสองหันกลับมาพร้อมกัน ก็เห็นสตรีลักษณ
ณ ตำหนักเทพหอทองคำฮั่วเทียนเฉิงคลายจุดที่ถูกจี้สกัดให้กับฉางเฮิ่นเทียนก่อนที่ฉางเฮิ่นเทียนจะสามารถตอบสนองได้ ฮั่วเทียนเฉิงใช้นิ้วที่เหมือนสายฟ้า จี้สกัดจุดสำคัญๆ ตามตัวของเขาฉางเฮิ่นเทียนยิ้มอย่างขมขื่น“ทักษะวรยุทธ์ของข้าต่ำต้อย เหตุใดผู้อาวุโสต้องทำถึงขนาดนี้”ฮั่วเทียนเฉิงกล่าวอย่างใจเย็น “นี่คือเคล็ดวิชาลับของสำนักของเราวิชาสะกดเส้นลมปราณพันเคล็ด ในเมื่อเจ้ามาจากอิ๋นเฉิง คงเคยได้ยินมาก่อนแน่ ตราบใดที่เจ้าเชื่อฟังข้าแต่โดยดี ข้ารับรองว่าเจ้าจะไม่ตาย ถ้าเจ้ามีความแค้นต่ออิ๋นเฉิง ตำหนักเทพเราจะช่วยให้เจ้าสำเร็จเอง มิฉะนั้นเส้นลมปราณของเจ้าจะถูกปิดกั้นและตายไป”ฉางเฮิ่นเทียนคุกเข่าลงบนพื้นด้วยความเคารพ โขกศีรษะกล่าวว่า “ผู้เยาว์อยู่ที่นี่ไร้ที่พึ่งพิง ยังต้องการการดูแลจากผู้อาวุโส ไม่กล้าพูดจาเหลวไหลแน่นอน จะทำตามผู้อาวุโสทุกอย่าง”ฮั่วเทียนเฉิงพยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“นับว่าเจ้าเป็นผู้รู้สถานการณ์ดีมาก ลุกขึ้นเถิด ข้าไม่ได้เรียกร้องอะไรจากเจ้ามากหรอก เมื่อได้พบกับเจ้าตำหนักในภายหลังห้ามพูดถึงฉุยอวี้ของสำนักเซียวเหยา และเฟิงเอ้อร์เหนียงเด็ดขาด”ฉางเฮิ่นเทียนพูดอย่างเชื่อฟัง
“พูดแบบนี้หมายความว่าอย่างไร”ผู้อาวุโสหันยืนห่างจากพวกเขาทั้งสองสิบก้าว น้ำเสียงสงบราบเรียบ ไม่มีอำนาจคุกคามแต่อย่างใดทว่าฉางเฮิ่นเทียนยังคงเหงื่อแตกพลั่กเฉกเช่นกับคำที่ว่ามรรคอันยิ่งใหญ่เรียบง่ายที่สุด หวนสู่ความเรียบง่ายบริสุทธิ์ด้วยร่างกายปัจจุบันของเขา เกรงว่าเพียงแค่ชายชราขยับปลายก้อย อาจจะบดขยี้เขาจนตายได้ฮั่วเทียนเฉิงยังไม่กล้าเงยหน้าขึ้น มองดูพื้นตรงหน้าแล้วพูดว่า “ศิษย์เห็นฉุยอวี้จริง แต่นางกับเฟิงเอ้อร์เหนียงร่วมกันวางแผน ตอนนี้ทั้งสองได้หนีจากเป่ยไห่แล้ว ศิษย์ไม่รู้ว่าควรติดตามต่อดีหรือไม่ จึงกลับสำนักมาขอคำชี้แนะ”เขาหยุดชั่วคราวแล้วพูดว่า “ส่วนเรื่องพลังวิญญาณ ศิษย์ได้สืบทราบแล้ว ของสิ่งนี้มาจากสตรีที่มีนามว่าอินชิงเสวียน ซึ่งเป็นหลานสะใภ้ของเซี่ยวติ่งเทียนเจ้าสำนักของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ เดิมทีศิษย์ต้องการพานางกลับมาที่ตำหนักเทพ แต่ไม่คาดคิด ว่าแม่หนูนั่นจะมีพลังมหัศจรรย์ สามารถหลบหนีไปจากสายตาของศิษย์ได้ ตอนนี้นางน่าจะกลับไปที่ภูเขาอวิ๋นฉีแล้ว”“โอ้?”ผู้อาวุโสหันเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาสีเข้ม ถามว่า “แม่หนูนั่นมีพลังมหัศจรรย์อย่างไร”ฮั่วเทียนเฉิงจัดระเบ
ผู้อาวุโสหันไม่เห็นฉางเฮิ่นเทียนอยู่ในสายตาเลย เขาได้เดินไปที่ประตูตำหนักแล้วฉางเฮิ่นเทียนเงยหน้าขึ้น แล้วก้มหน้าลงในเมื่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธิดาเทพเหมยเชียนหลิ่ว ทำให้ตำหนักเทพหอทองคำมีความไม่พอใจอย่างมากต่อเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง หากเขาเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะตู้เยี่ยน ไม่แน่ว่าอาจถูกฝ่ามือเขาจนตายในคราวเดียวก็ได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้เดือดร้อนเพราะเฮ่อยวน แต่ก็จะถูกบีบบังคับแน่นอน ถึงอย่างไรตัวเองก็เคยเป็นรองเจ้าเมือง สามารถเข้าออกจากคลังแสงของเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงได้อย่างอิสระ...เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉางเฮิ่นเทียนก็เก็บงำความคิดมากมายอีกครั้งตราบใดที่สามารถอยู่ในตำหนักเทพได้ การฟื้นฟูวรยุทธ์ให้เป็นเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสทุกอย่างไม่รีบ...ในเวลานี้ โลกภายนอกกลับตาลปัตร ชาวยุทธ์จำนวนมากได้รวมกลุ่มกันเดินทางไปที่เทือกเขาเชื่อมเมฆา ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ผู้คุ้มกัน และแม้กระทั่งขอทานที่ต้องการไปร่วมสนุกเมื่อเทียบกับตำนานหนังสือสวรรค์ไร้อักษรแล้ว ชัยชนะของเป่ยไห่เพียงครู่เดียวก็จางหายไปมากแม้ว่าอินชิงเสวียนและคนอื่นๆ จะไม่มีความคิดที่จะออกไปตรวจสอบ แต่ก็ยัง
มีคนเอื้อมมือไปหยิบหนังสือ แต่กลับถูกม่านกำแพงแก้วขวางไว้ทุกคนไม่เคยเห็นกระจกมาก่อน คิดว่าเย่จิ่งหลานติดตั้งค่ายกล นัยน์ตาฉายแววเคารพศรัทธามากขึ้น เย่จิ่งอวี้หยิบไมโครโฟนขนาดเล็กออกมา ติดไว้บนเสื้อผ้า แล้วพูดช้าๆ “ตราบใดที่พวกเจ้าไม่มีความคิดไม่ซื่อ ข้าเย่จิ่งหลานจะไม่มีวันปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีเด็ดขาด ในวันแห่งชัยชนะ ทุกคนสามารถเลือกตำราเคล็ดวิชาลับได้คนละหนึ่งเล่ม ผู้ที่ทำประโยชน์ในการศึกมากที่สุด ข้าจะมอบหนังสือสวรรค์ไร้อักษรที่ทำจากกระดาษทองนี้ มอบให้เขาเป็นรางวัล”ลำโพงถูกวางไว้ที่มุมทั้งสี่ของห้องประชุม เสียงจึงดังมาจากทุกทิศทุกทาง เอฟเฟกต์เสียงสามมิติสามารถสยบทุกคนได้หมดเย่จิ่งหลานมีกำลังภายในยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ สามารถโคจรพลังชี่ได้ตามต้องการ ทักษะวรยุทธ์ของเขาเทียบได้กับผู้อาวุโสของสำนัก หรือว่าเด็กคนนี้แกล้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสืองั้นรึอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขางุนงงก็คือ ตัวเองมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร เย่จิ่งหลานสามารถสร้างมิติได้ด้วยการโบกมือได้จริงหรือพลังประเภทนี้ แม้แต่เจ้าสำนักของพวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุได้ เว้นแต่จะเป็นเทพเจ้าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่แตกต่า
มือของเย่จิ่งอวี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า นิ้วเรียวยาวของเขาได้จับข้อศอกของอินจ้งแล้ว“ท่านขุนนางไม่ต้องมากพิธี ราชสำนักช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”อินจ้งรู้สึกถึงพลังเหมือนภูเขาที่มาจากนิ้วทั้งห้า ไม่สามารถขยับได้เลย แล้วจะคุกเข่าลงได้อย่างไร จึงต้องโค้งตัวลงอีกเล็กน้อยรู้สึกตงิดใจแปลกๆ วรยุทธ์ของฝ่าบาท แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่กลับพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ในราชสำนักเรียบร้อยดีทุกอย่าง ฝ่าบาท กุ้ยเฟย เชิญเสด็จเข้าไปดื่มชาสักถ้วย ให้กระหม่อมได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดีที่สุด”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า“ก็ได้”เขาถอดหมวกคลุมใบกว้างออก แล้วเดินนำเข้าไปในประตูห้องโถงไปก่อนอินสิงอวิ๋นส่งเป่าเล่อเอ่อร์กลับไปที่เรือนเล็กหลานซิน จากนั้นก็ควบม้าตรงไปที่พระราชวังณ ห้องหนังสือเย่จั้นยืนมองดอกไห่ถังอยู่ข้างหน้าต่าง ในช่วงต้นเดือนห้า อากาศยังไม่ร้อนนัก สายลมเย็นๆ พัดผ่านเป็นครั้งคราว ทำให้รู้สึกสงบและสดชื่นกลีบดอกสีขาวนวลร่วงหล่นตามสายลม ท่วงท่าสง่างามที่ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น ทำให้เย่จั้นรู้สึกปลงอนิจจัง อดไม่ได้ที่จะกระซิบ “บุปผาบานหรือร่วงโรยไม่นึกเสียใจ โชคชะตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนดั่งกระแสธารา!
อินจ้งยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว“กระหม่อมอินจ้ง ถวายพระพรท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านขุนนางอินตามสบาย”ขณะที่เย่จั้นพูด ดวงตาก็มองไปยังเย่จิ่งอวี้จากไปนานหลายเดือน ฮ่องเต้ผ่ายผอมไปบ้าง แต่ภายในมีความแตกต่างอย่างมากในอดีต เย่จิ่งอวี้เป็นเหมือนกระบี่ที่ไร้ฝัก คมกริบเปิดเผย แต่ตอนนี้กลับเป็นเหมือนกระบี่ที่คมในฝัก รู้สึกเหมือนหวนสู่ความเรียบง่ายบริสุทธิ์เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เรียวตาหงส์มองขึ้นลงอย่างพิจารณา “เสด็จอาผ่ายผอมไปมาก ทั้งหมดเป็นเพราะข้าทำให้เดือดร้อน โชคดีที่เสด็จอาเป็นผู้ดูแลเมืองหลวง ข้าจึงสบายใจ”เย่จั้นจับมือหลานชายไว้แน่น ด้วยสายตาที่มีความสุข“เจ้ากับข้าอาหลาน ไยต้องพูดจาห่างเหินด้วยเล่า ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นับเป็นวาสนาของต้าโจวแล้ว”อินจ้งที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสับสนฝ่าบาทอยู่ในวังตลอดเวลาไม่ใช่หรือ เหตุใดท่านอ๋องถึงพูดเช่นนี้แต่แน่นอนว่าไม่อาจถามคำถามนี้ได้ รีบบอกให้ซูหมิงหลานไปเตรียมอาหาร“ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องหารือกับเสด็จอา จะกลับวังก่อน”หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบก็หันไปหาอินชิงเสวียน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสวียนเอ