ผู้อาวุโสหันไม่เห็นฉางเฮิ่นเทียนอยู่ในสายตาเลย เขาได้เดินไปที่ประตูตำหนักแล้วฉางเฮิ่นเทียนเงยหน้าขึ้น แล้วก้มหน้าลงในเมื่อเหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับธิดาเทพเหมยเชียนหลิ่ว ทำให้ตำหนักเทพหอทองคำมีความไม่พอใจอย่างมากต่อเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง หากเขาเปิดเผยตัวตนของเขาในฐานะตู้เยี่ยน ไม่แน่ว่าอาจถูกฝ่ามือเขาจนตายในคราวเดียวก็ได้แม้ว่าเขาจะไม่ได้เดือดร้อนเพราะเฮ่อยวน แต่ก็จะถูกบีบบังคับแน่นอน ถึงอย่างไรตัวเองก็เคยเป็นรองเจ้าเมือง สามารถเข้าออกจากคลังแสงของเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิงได้อย่างอิสระ...เมื่อคิดถึงสิ่งนี้ ฉางเฮิ่นเทียนก็เก็บงำความคิดมากมายอีกครั้งตราบใดที่สามารถอยู่ในตำหนักเทพได้ การฟื้นฟูวรยุทธ์ให้เป็นเหมือนเดิม ย่อมมีโอกาสทุกอย่างไม่รีบ...ในเวลานี้ โลกภายนอกกลับตาลปัตร ชาวยุทธ์จำนวนมากได้รวมกลุ่มกันเดินทางไปที่เทือกเขาเชื่อมเมฆา ในบรรดาคนเหล่านั้นยังมีเหล่าพ่อค้าแม่ค้า ผู้คุ้มกัน และแม้กระทั่งขอทานที่ต้องการไปร่วมสนุกเมื่อเทียบกับตำนานหนังสือสวรรค์ไร้อักษรแล้ว ชัยชนะของเป่ยไห่เพียงครู่เดียวก็จางหายไปมากแม้ว่าอินชิงเสวียนและคนอื่นๆ จะไม่มีความคิดที่จะออกไปตรวจสอบ แต่ก็ยัง
มีคนเอื้อมมือไปหยิบหนังสือ แต่กลับถูกม่านกำแพงแก้วขวางไว้ทุกคนไม่เคยเห็นกระจกมาก่อน คิดว่าเย่จิ่งหลานติดตั้งค่ายกล นัยน์ตาฉายแววเคารพศรัทธามากขึ้น เย่จิ่งอวี้หยิบไมโครโฟนขนาดเล็กออกมา ติดไว้บนเสื้อผ้า แล้วพูดช้าๆ “ตราบใดที่พวกเจ้าไม่มีความคิดไม่ซื่อ ข้าเย่จิ่งหลานจะไม่มีวันปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีเด็ดขาด ในวันแห่งชัยชนะ ทุกคนสามารถเลือกตำราเคล็ดวิชาลับได้คนละหนึ่งเล่ม ผู้ที่ทำประโยชน์ในการศึกมากที่สุด ข้าจะมอบหนังสือสวรรค์ไร้อักษรที่ทำจากกระดาษทองนี้ มอบให้เขาเป็นรางวัล”ลำโพงถูกวางไว้ที่มุมทั้งสี่ของห้องประชุม เสียงจึงดังมาจากทุกทิศทุกทาง เอฟเฟกต์เสียงสามมิติสามารถสยบทุกคนได้หมดเย่จิ่งหลานมีกำลังภายในยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ สามารถโคจรพลังชี่ได้ตามต้องการ ทักษะวรยุทธ์ของเขาเทียบได้กับผู้อาวุโสของสำนัก หรือว่าเด็กคนนี้แกล้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสืองั้นรึอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขางุนงงก็คือ ตัวเองมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร เย่จิ่งหลานสามารถสร้างมิติได้ด้วยการโบกมือได้จริงหรือพลังประเภทนี้ แม้แต่เจ้าสำนักของพวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุได้ เว้นแต่จะเป็นเทพเจ้าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่แตกต่า
มือของเย่จิ่งอวี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า นิ้วเรียวยาวของเขาได้จับข้อศอกของอินจ้งแล้ว“ท่านขุนนางไม่ต้องมากพิธี ราชสำนักช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”อินจ้งรู้สึกถึงพลังเหมือนภูเขาที่มาจากนิ้วทั้งห้า ไม่สามารถขยับได้เลย แล้วจะคุกเข่าลงได้อย่างไร จึงต้องโค้งตัวลงอีกเล็กน้อยรู้สึกตงิดใจแปลกๆ วรยุทธ์ของฝ่าบาท แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่กลับพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ในราชสำนักเรียบร้อยดีทุกอย่าง ฝ่าบาท กุ้ยเฟย เชิญเสด็จเข้าไปดื่มชาสักถ้วย ให้กระหม่อมได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดีที่สุด”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า“ก็ได้”เขาถอดหมวกคลุมใบกว้างออก แล้วเดินนำเข้าไปในประตูห้องโถงไปก่อนอินสิงอวิ๋นส่งเป่าเล่อเอ่อร์กลับไปที่เรือนเล็กหลานซิน จากนั้นก็ควบม้าตรงไปที่พระราชวังณ ห้องหนังสือเย่จั้นยืนมองดอกไห่ถังอยู่ข้างหน้าต่าง ในช่วงต้นเดือนห้า อากาศยังไม่ร้อนนัก สายลมเย็นๆ พัดผ่านเป็นครั้งคราว ทำให้รู้สึกสงบและสดชื่นกลีบดอกสีขาวนวลร่วงหล่นตามสายลม ท่วงท่าสง่างามที่ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น ทำให้เย่จั้นรู้สึกปลงอนิจจัง อดไม่ได้ที่จะกระซิบ “บุปผาบานหรือร่วงโรยไม่นึกเสียใจ โชคชะตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนดั่งกระแสธารา!
อินจ้งยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว“กระหม่อมอินจ้ง ถวายพระพรท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านขุนนางอินตามสบาย”ขณะที่เย่จั้นพูด ดวงตาก็มองไปยังเย่จิ่งอวี้จากไปนานหลายเดือน ฮ่องเต้ผ่ายผอมไปบ้าง แต่ภายในมีความแตกต่างอย่างมากในอดีต เย่จิ่งอวี้เป็นเหมือนกระบี่ที่ไร้ฝัก คมกริบเปิดเผย แต่ตอนนี้กลับเป็นเหมือนกระบี่ที่คมในฝัก รู้สึกเหมือนหวนสู่ความเรียบง่ายบริสุทธิ์เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เรียวตาหงส์มองขึ้นลงอย่างพิจารณา “เสด็จอาผ่ายผอมไปมาก ทั้งหมดเป็นเพราะข้าทำให้เดือดร้อน โชคดีที่เสด็จอาเป็นผู้ดูแลเมืองหลวง ข้าจึงสบายใจ”เย่จั้นจับมือหลานชายไว้แน่น ด้วยสายตาที่มีความสุข“เจ้ากับข้าอาหลาน ไยต้องพูดจาห่างเหินด้วยเล่า ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นับเป็นวาสนาของต้าโจวแล้ว”อินจ้งที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสับสนฝ่าบาทอยู่ในวังตลอดเวลาไม่ใช่หรือ เหตุใดท่านอ๋องถึงพูดเช่นนี้แต่แน่นอนว่าไม่อาจถามคำถามนี้ได้ รีบบอกให้ซูหมิงหลานไปเตรียมอาหาร“ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องหารือกับเสด็จอา จะกลับวังก่อน”หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบก็หันไปหาอินชิงเสวียน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสวียนเอ
อินจ้งตัวสั่นตัวสั่นเทิ้ม น้ำชาไหลหยดออกมาจากมือ“นาง ตายแล้วจริงๆ หรือ”“ตายแล้ว”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “จูอวี้เหยียนก่อกรรมทำชั่ว จิตสำนึกสูญสิ้น ท่านพ่อคงรู้ว่ากู่ในร่างกายพี่ใหญ่เป็นฝีมือของนาง เป่าเล่อเอ่อร์ก็เช่นเดียวกัน ตัวหายนะแบบนี้ ท่านพ่อยังรู้สึกเสียใจเพราะนางอยู่งั้นหรือ”หลังจากถามประโยคสุดท้าย อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย เจ้าของร่างเดิมดูแลย่าอย่างดี แต่ตัวเองกลับพูดกับพ่อของนางเช่นนี้ จึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ก็ได้ยินอินสิงอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง “น้องหญิงใหญ่พูดถูก คนเลวทรามเช่นนาง สมควรตายไปตั้งนานแล้ว ถึงฮ่องเต้จะไม่ลงมือ ข้าก็จะชำระสะสางให้ตระกูลอินเอง”อินจ้งเงียบอยู่นาน จากนั้นถอนหายใจยาว“พ่อมิใช่คนที่ไม่แยกแยะผิดถูก ยังรู้ด้วยว่าจูอวี้เหยียนก่อกรรมทำชั่วมากมาย เอาเถอะ ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมที่นางก่อขึ้นเอง ในเมื่อนางเป็นคนปลูกต้น ก็สมควรต้องรับผลร้ายที่ตามมา พ่อพยายามเต็มที่แล้ว แม้ว่าต้องไปพบกันในปรโลก ก็ไม่มีอะไรต้องละอายใจ”เมื่อได้ยินสิ่งที่อินจ้งพูด อินชิงเสวียนก
เมื่อได้ยินคำชมของเสด็จอา เย่จิ่งอวี้ก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์เคยกล่าวไว้ว่า น้ำสามารถบรรทุกเรือได้แต่ก็สามารถทำให้พลิกคว่ำได้ ถ้าใต้หล้าสงบสุข ราษฎรจะคิดกบฏได้อย่างไร การเดินทางจากเมืองหลวงครั้งนี้ นับว่าข้าได้ออกไปเปิดหูเปิดตาได้เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ไปทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานหนักเพื่อปกครองและสร้างต้าโจวให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง”เมื่อมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาเห็นระหว่างทาง เย่จิ่งอวี้ก็ทอดถอนใจอย่างลึกซึ้งเย่จั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ต้องสามารถเปิดศักราชใหม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยความช่วยเหลือจากกุ้ยเฟย วันหน้าเมื่อกระหม่อมเดินทางออกจากเมืองหลวง ก็สามารถวางใจได้แล้ว”เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างอบอุ่น “สถานการณ์ในเมืองซุ่ยหานสงบมั่นคง เสด็จอาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าอยากจะใช้เวลาอยู่กับเสด็จอาอีกหลายวัน”ทันใดนั้นเย่จั้นก็ลุกขึ้น ยกเสื้อคลุมและคุกเข่าลงกับพื้นเย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยความตกใจว่า “เสด็จอานี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”เย่จั้นโขกศีรษะลงกับพื้น“กระหม่อมอยากพักจากราชการทหารชั่วคราว ออกเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน หวังว่า
สองอาหลานอุตส่าห์ได้เปิดใจกันทั้งที จนกระทั่งไม่มีแรงต้านทานฤทธิ์สุราได้ สุดท้ายจึงนอนด้วยกันอยู่ในตำหนักเฉิงเทียนหลี่เต๋อฝูสั่งให้คนเก็บกวาดงานเลี้ยง คลุมผ้าห่มให้สองอาหลาน แล้วจากไปพร้อมกับกลุ่มขันทีน้อยโชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ฝ่าบาทจึงไม่ต้องตื่นมาประชุมเช้า อยากนอนถึงตอนไหนก็นอนได้เต็มที่เมื่อนึกถึงการตรากตรำทำงานทั้งวันทั้งคืนของฮ่องเต้นับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ หลี่เต๋อฝูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ แทบอยากให้เขาจะได้นอนหลับทั้งวันทั้งคืน พักผ่อนร่างกายให้ดีกระซิบเสียงค่อย “ออกไปเฝ้าทางนั้น หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท ใครก็ห้ามเข้ามา”“ขอรับ”ขันทีน้อยเชื่อฟังคำสั่งของหลี่เต๋อฝู ต่างถอยออกไปด้วยความนอบน้อมค่ำคืนนี้จึงผ่านไปอย่างเงียบงัน เมื่ออินชิงเสวียนลืมตาขึ้น ดวงตะวันก็ลอยขึ้นสูงแล้วแม้ว่านางจะได้รับการปกป้องจากมิติ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แต่ช่วงเวลาที่ที่อยู่ในเป่ยไห่ก็ไม่ค่อยปลอดภัยนักตอนนี้เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง จึงรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายใจ รู้สึกว่านอนหลับสบายมากยิ่งนักเสียงหัวเราะใสๆ ประหนึ่งเสียงกระพรวนของอินจื่อลั่วและเสี่ยวหนานเฟิงดังมาจากข้างนอก ท
เสี่ยวหนานเฟิงลืมไปแล้วว่าเสด็จอาเป็นใคร ดวงตาโตราวกับองุ่นสีดำเบิกตากว้าง มองที่อินชิงเสวียนด้วยสีหน้างุนงง“เสด็จอาคือใครน่ะ”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป็นน้องสาวของเสด็จพ่อเจ้าอย่างไรล่ะ”เสี่ยวหนานเฟิงยังคงไม่เข้าใจ เขาก้มหน้าเล่นมือเล็กจ้อยของตัวเองเสียดื้อๆอินจื่อลั่วดึงชายเสื้อของอินชิงเสวียนอย่างไม่เต็มใจ“พี่หญิงอยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือเจ้าคะ”อินปู้อวี่ก็มองดูน้องสาวเช่นกัน เมื่อวานกลัวนางจะเหนื่อยเกิน จึงไม่ได้มารบกวน พวกเขาพี่น้องยังไม่ค่อยได้พูดคุยกันเลย อินชิงเสวียนกลับจะไปแล้วครั้นได้เห็นลูกๆ สามัคคีปรองดองกันเช่นนี้ อินจ้งก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง“พี่หญิงเจ้าออกจากวังมานานแล้ว จึงต้องมีเรื่องมากมายต้องจัดการ ห้ามก่อเรื่อง”เมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยปาก สองพี่น้องก็หุบปากทันทีเย่จิ่งอวี้เอื้อมมือออกไปรับลูกชาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “รบกวนท่านขุนนางให้ดูแลเสวียนเอ๋อร์แล้ว วันหน้าเมื่อมีเวลาว่าง ข้าจะพาเสวียนเอ๋อร์ออกจากวังมาร่วงสังสรรค์กับทุกคนอีก”อินจ้งรีบโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ได้จับมือน้อยของอิน
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี