มีคนเอื้อมมือไปหยิบหนังสือ แต่กลับถูกม่านกำแพงแก้วขวางไว้ทุกคนไม่เคยเห็นกระจกมาก่อน คิดว่าเย่จิ่งหลานติดตั้งค่ายกล นัยน์ตาฉายแววเคารพศรัทธามากขึ้น เย่จิ่งอวี้หยิบไมโครโฟนขนาดเล็กออกมา ติดไว้บนเสื้อผ้า แล้วพูดช้าๆ “ตราบใดที่พวกเจ้าไม่มีความคิดไม่ซื่อ ข้าเย่จิ่งหลานจะไม่มีวันปฏิบัติต่อพวกเจ้าไม่ดีเด็ดขาด ในวันแห่งชัยชนะ ทุกคนสามารถเลือกตำราเคล็ดวิชาลับได้คนละหนึ่งเล่ม ผู้ที่ทำประโยชน์ในการศึกมากที่สุด ข้าจะมอบหนังสือสวรรค์ไร้อักษรที่ทำจากกระดาษทองนี้ มอบให้เขาเป็นรางวัล”ลำโพงถูกวางไว้ที่มุมทั้งสี่ของห้องประชุม เสียงจึงดังมาจากทุกทิศทุกทาง เอฟเฟกต์เสียงสามมิติสามารถสยบทุกคนได้หมดเย่จิ่งหลานมีกำลังภายในยอดเยี่ยมถึงเพียงนี้ สามารถโคจรพลังชี่ได้ตามต้องการ ทักษะวรยุทธ์ของเขาเทียบได้กับผู้อาวุโสของสำนัก หรือว่าเด็กคนนี้แกล้งเป็นหมูเพื่อหลอกกินเสืองั้นรึอีกสิ่งหนึ่งที่ทำให้พวกเขางุนงงก็คือ ตัวเองมาปรากฏตัวที่นี่ได้อย่างไร เย่จิ่งหลานสามารถสร้างมิติได้ด้วยการโบกมือได้จริงหรือพลังประเภทนี้ แม้แต่เจ้าสำนักของพวกเขาก็ไม่สามารถบรรลุได้ เว้นแต่จะเป็นเทพเจ้าเมื่อเห็นสีหน้าท่าทางที่แตกต่า
มือของเย่จิ่งอวี้รวดเร็วราวกับสายฟ้า นิ้วเรียวยาวของเขาได้จับข้อศอกของอินจ้งแล้ว“ท่านขุนนางไม่ต้องมากพิธี ราชสำนักช่วงนี้เป็นอย่างไรบ้าง”อินจ้งรู้สึกถึงพลังเหมือนภูเขาที่มาจากนิ้วทั้งห้า ไม่สามารถขยับได้เลย แล้วจะคุกเข่าลงได้อย่างไร จึงต้องโค้งตัวลงอีกเล็กน้อยรู้สึกตงิดใจแปลกๆ วรยุทธ์ของฝ่าบาท แข็งแกร่งขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่แต่กลับพูดว่า “ทูลฝ่าบาท ในราชสำนักเรียบร้อยดีทุกอย่าง ฝ่าบาท กุ้ยเฟย เชิญเสด็จเข้าไปดื่มชาสักถ้วย ให้กระหม่อมได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านอย่างดีที่สุด”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า“ก็ได้”เขาถอดหมวกคลุมใบกว้างออก แล้วเดินนำเข้าไปในประตูห้องโถงไปก่อนอินสิงอวิ๋นส่งเป่าเล่อเอ่อร์กลับไปที่เรือนเล็กหลานซิน จากนั้นก็ควบม้าตรงไปที่พระราชวังณ ห้องหนังสือเย่จั้นยืนมองดอกไห่ถังอยู่ข้างหน้าต่าง ในช่วงต้นเดือนห้า อากาศยังไม่ร้อนนัก สายลมเย็นๆ พัดผ่านเป็นครั้งคราว ทำให้รู้สึกสงบและสดชื่นกลีบดอกสีขาวนวลร่วงหล่นตามสายลม ท่วงท่าสง่างามที่ค่อยๆ ตกลงสู่พื้น ทำให้เย่จั้นรู้สึกปลงอนิจจัง อดไม่ได้ที่จะกระซิบ “บุปผาบานหรือร่วงโรยไม่นึกเสียใจ โชคชะตาผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนดั่งกระแสธารา!
อินจ้งยืนขึ้นอย่างรวดเร็ว“กระหม่อมอินจ้ง ถวายพระพรท่านอ๋องพ่ะย่ะค่ะ”“ท่านขุนนางอินตามสบาย”ขณะที่เย่จั้นพูด ดวงตาก็มองไปยังเย่จิ่งอวี้จากไปนานหลายเดือน ฮ่องเต้ผ่ายผอมไปบ้าง แต่ภายในมีความแตกต่างอย่างมากในอดีต เย่จิ่งอวี้เป็นเหมือนกระบี่ที่ไร้ฝัก คมกริบเปิดเผย แต่ตอนนี้กลับเป็นเหมือนกระบี่ที่คมในฝัก รู้สึกเหมือนหวนสู่ความเรียบง่ายบริสุทธิ์เย่จิ่งอวี้ลุกขึ้นจากเก้าอี้ เรียวตาหงส์มองขึ้นลงอย่างพิจารณา “เสด็จอาผ่ายผอมไปมาก ทั้งหมดเป็นเพราะข้าทำให้เดือดร้อน โชคดีที่เสด็จอาเป็นผู้ดูแลเมืองหลวง ข้าจึงสบายใจ”เย่จั้นจับมือหลานชายไว้แน่น ด้วยสายตาที่มีความสุข“เจ้ากับข้าอาหลาน ไยต้องพูดจาห่างเหินด้วยเล่า ฝ่าบาทและกุ้ยเฟยสามารถกลับมาได้อย่างปลอดภัย นับเป็นวาสนาของต้าโจวแล้ว”อินจ้งที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็รู้สึกสับสนฝ่าบาทอยู่ในวังตลอดเวลาไม่ใช่หรือ เหตุใดท่านอ๋องถึงพูดเช่นนี้แต่แน่นอนว่าไม่อาจถามคำถามนี้ได้ รีบบอกให้ซูหมิงหลานไปเตรียมอาหาร“ไม่ต้องแล้ว ข้ายังมีเรื่องต้องหารือกับเสด็จอา จะกลับวังก่อน”หลังจากที่เย่จิ่งอวี้พูดจบก็หันไปหาอินชิงเสวียน พูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “เสวียนเอ
อินจ้งตัวสั่นตัวสั่นเทิ้ม น้ำชาไหลหยดออกมาจากมือ“นาง ตายแล้วจริงๆ หรือ”“ตายแล้ว”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงสงบราบเรียบ “จูอวี้เหยียนก่อกรรมทำชั่ว จิตสำนึกสูญสิ้น ท่านพ่อคงรู้ว่ากู่ในร่างกายพี่ใหญ่เป็นฝีมือของนาง เป่าเล่อเอ่อร์ก็เช่นเดียวกัน ตัวหายนะแบบนี้ ท่านพ่อยังรู้สึกเสียใจเพราะนางอยู่งั้นหรือ”หลังจากถามประโยคสุดท้าย อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าตัวเองทำเกินไปหน่อย เจ้าของร่างเดิมดูแลย่าอย่างดี แต่ตัวเองกลับพูดกับพ่อของนางเช่นนี้ จึงอดรู้สึกผิดไม่ได้ขณะที่กำลังจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อคลี่คลายสถานการณ์ ก็ได้ยินอินสิงอวิ๋นพูดด้วยน้ำเสียงจงเกลียดจงชัง “น้องหญิงใหญ่พูดถูก คนเลวทรามเช่นนาง สมควรตายไปตั้งนานแล้ว ถึงฮ่องเต้จะไม่ลงมือ ข้าก็จะชำระสะสางให้ตระกูลอินเอง”อินจ้งเงียบอยู่นาน จากนั้นถอนหายใจยาว“พ่อมิใช่คนที่ไม่แยกแยะผิดถูก ยังรู้ด้วยว่าจูอวี้เหยียนก่อกรรมทำชั่วมากมาย เอาเถอะ ทั้งหมดนี้เป็นเวรกรรมที่นางก่อขึ้นเอง ในเมื่อนางเป็นคนปลูกต้น ก็สมควรต้องรับผลร้ายที่ตามมา พ่อพยายามเต็มที่แล้ว แม้ว่าต้องไปพบกันในปรโลก ก็ไม่มีอะไรต้องละอายใจ”เมื่อได้ยินสิ่งที่อินจ้งพูด อินชิงเสวียนก
เมื่อได้ยินคำชมของเสด็จอา เย่จิ่งอวี้ก็ยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย“เสวียนเอ๋อร์เคยกล่าวไว้ว่า น้ำสามารถบรรทุกเรือได้แต่ก็สามารถทำให้พลิกคว่ำได้ ถ้าใต้หล้าสงบสุข ราษฎรจะคิดกบฏได้อย่างไร การเดินทางจากเมืองหลวงครั้งนี้ นับว่าข้าได้ออกไปเปิดหูเปิดตาได้เห็นความทุกข์ยากของราษฎรอย่างแท้จริง ต่อจากนี้ไปทุ่มเทแรงกายแรงใจทำงานหนักเพื่อปกครองและสร้างต้าโจวให้เจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง”เมื่อมองย้อนกลับไปถึงสิ่งที่เขาเห็นระหว่างทาง เย่จิ่งอวี้ก็ทอดถอนใจอย่างลึกซึ้งเย่จั้นพยักหน้าและกล่าวว่า “ฝ่าบาททรงพระปรีชาสามารถ ต้องสามารถเปิดศักราชใหม่ได้อย่างแน่นอน ด้วยความช่วยเหลือจากกุ้ยเฟย วันหน้าเมื่อกระหม่อมเดินทางออกจากเมืองหลวง ก็สามารถวางใจได้แล้ว”เย่จิ่งอวี้กล่าวอย่างอบอุ่น “สถานการณ์ในเมืองซุ่ยหานสงบมั่นคง เสด็จอาไม่จำเป็นต้องรีบร้อน ข้าอยากจะใช้เวลาอยู่กับเสด็จอาอีกหลายวัน”ทันใดนั้นเย่จั้นก็ลุกขึ้น ยกเสื้อคลุมและคุกเข่าลงกับพื้นเย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยความตกใจว่า “เสด็จอานี่หมายความว่าอย่างไรหรือ”เย่จั้นโขกศีรษะลงกับพื้น“กระหม่อมอยากพักจากราชการทหารชั่วคราว ออกเดินทางท่องเที่ยวพักผ่อน หวังว่า
สองอาหลานอุตส่าห์ได้เปิดใจกันทั้งที จนกระทั่งไม่มีแรงต้านทานฤทธิ์สุราได้ สุดท้ายจึงนอนด้วยกันอยู่ในตำหนักเฉิงเทียนหลี่เต๋อฝูสั่งให้คนเก็บกวาดงานเลี้ยง คลุมผ้าห่มให้สองอาหลาน แล้วจากไปพร้อมกับกลุ่มขันทีน้อยโชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันหยุด ฝ่าบาทจึงไม่ต้องตื่นมาประชุมเช้า อยากนอนถึงตอนไหนก็นอนได้เต็มที่เมื่อนึกถึงการตรากตรำทำงานทั้งวันทั้งคืนของฮ่องเต้นับตั้งแต่เขาขึ้นครองบัลลังก์ หลี่เต๋อฝูก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ แทบอยากให้เขาจะได้นอนหลับทั้งวันทั้งคืน พักผ่อนร่างกายให้ดีกระซิบเสียงค่อย “ออกไปเฝ้าทางนั้น หากไม่มีรับสั่งจากฝ่าบาท ใครก็ห้ามเข้ามา”“ขอรับ”ขันทีน้อยเชื่อฟังคำสั่งของหลี่เต๋อฝู ต่างถอยออกไปด้วยความนอบน้อมค่ำคืนนี้จึงผ่านไปอย่างเงียบงัน เมื่ออินชิงเสวียนลืมตาขึ้น ดวงตะวันก็ลอยขึ้นสูงแล้วแม้ว่านางจะได้รับการปกป้องจากมิติ ไม่มีใครสามารถเข้าไปได้ แต่ช่วงเวลาที่ที่อยู่ในเป่ยไห่ก็ไม่ค่อยปลอดภัยนักตอนนี้เมื่อกลับมาถึงเมืองหลวง จึงรู้สึกผ่อนคลายทั้งกายใจ รู้สึกว่านอนหลับสบายมากยิ่งนักเสียงหัวเราะใสๆ ประหนึ่งเสียงกระพรวนของอินจื่อลั่วและเสี่ยวหนานเฟิงดังมาจากข้างนอก ท
เสี่ยวหนานเฟิงลืมไปแล้วว่าเสด็จอาเป็นใคร ดวงตาโตราวกับองุ่นสีดำเบิกตากว้าง มองที่อินชิงเสวียนด้วยสีหน้างุนงง“เสด็จอาคือใครน่ะ”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ และพูดว่า “เป็นน้องสาวของเสด็จพ่อเจ้าอย่างไรล่ะ”เสี่ยวหนานเฟิงยังคงไม่เข้าใจ เขาก้มหน้าเล่นมือเล็กจ้อยของตัวเองเสียดื้อๆอินจื่อลั่วดึงชายเสื้อของอินชิงเสวียนอย่างไม่เต็มใจ“พี่หญิงอยู่ต่ออีกสองวันไม่ได้หรือเจ้าคะ”อินปู้อวี่ก็มองดูน้องสาวเช่นกัน เมื่อวานกลัวนางจะเหนื่อยเกิน จึงไม่ได้มารบกวน พวกเขาพี่น้องยังไม่ค่อยได้พูดคุยกันเลย อินชิงเสวียนกลับจะไปแล้วครั้นได้เห็นลูกๆ สามัคคีปรองดองกันเช่นนี้ อินจ้งก็รู้สึกยินดีเป็นอย่างยิ่ง“พี่หญิงเจ้าออกจากวังมานานแล้ว จึงต้องมีเรื่องมากมายต้องจัดการ ห้ามก่อเรื่อง”เมื่อผู้เป็นบิดาเอ่ยปาก สองพี่น้องก็หุบปากทันทีเย่จิ่งอวี้เอื้อมมือออกไปรับลูกชาย แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอบอุ่น “รบกวนท่านขุนนางให้ดูแลเสวียนเอ๋อร์แล้ว วันหน้าเมื่อมีเวลาว่าง ข้าจะพาเสวียนเอ๋อร์ออกจากวังมาร่วงสังสรรค์กับทุกคนอีก”อินจ้งรีบโค้งคำนับและกล่าวว่า “ขอบพระทัยฝ่าบาทที่ทรงเมตตาพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ได้จับมือน้อยของอิน
อินชิงเสวียนนิ่งอึ้งไปชั่วขณะ“หรือว่าฝ่าบาทจะแต่งตั้งข้า?”เย่จิ่งอวี้ยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย แล้วพูดกระเซ้า “แล้วเจ้าชอบผู้ดูแลฝ่ายใน หรือผู้ตรวจการสำนักซ่างหลินมากกว่าล่ะ?”อินชิงเสวียนถ่มน้ำลาย แล้วพูดอย่างงอนๆ “ตอนนี้ข้าไม่ใช่ขันทีสักหน่อย จะอยากได้ตำแหน่งบ้าๆ พวกนั้นไปทำไม”เมื่ออยู่ต่อหน้าคนอื่น อย่างไรก็ต้องปฏิบัติตัวอย่างมีมารยาทตอนนี้มีแค่พวกเขาสองคน ซึ่งไม่ต่างจากคู่รักหนุ่มสาวทั่วไป จะมีการหยอกล้อสัพยอก กระเซ้าเย้าแหย่กันบ้างก็ไม่ถือว่าเสียมารยาทนักเย่จิ่งอวี้จับมืออันอ่อนนุ่มขาวเนียนของนาง แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ดังนั้น ข้าต้องการแต่งตั้งตำแหน่งดีๆ ให้เสวียนเอ๋อร์ เช่น สี่ฮุ่ยฮองเฮา ต่วนเสียนฮองเฮา ซุ่นหว่านฮองเฮา ข้าคิดเรื่องนี้มาสักพักแล้ว แต่ไม่รู้ว่าเสวียนเอ๋อร์ชอบชื่อไหน”อินชิงเสวียนรู้มานานแล้วว่าตัวเองจะถูกแต่งตั้งเป็นฮองเฮา แต่ไม่คาดคิดว่าจะเร็วขนาดนี้ นี่เพิ่งกลับถึงวังเอง เย่จิ่งอวี้ก็แทบรอไม่ไหวแล้ว“เอ่อ...ไม่ต้องรออีกหน่อยหรือ”เย่จิ่งอวี้จากไปนาน คงมีเรื่องให้สะสางมากมายกระมัง!“ไม่จำเป็น ข้าตั้งตารอวันนี้มานานแล้ว ข้าแจ้งให้โหราจารย์หาฤกษ์มงคลเร็วๆ นี