เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ไม่อาจลบล้างได้ลงอินชิงเสวียนจ้องมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อทั้งสองกินข้าวเสร็จ อินชิงเสวียนก็ตามสาวน้อยผมเปียหางม้ามายังป้ายรถเมล์ขณะนั้นเอง หนุ่มหล่อขี่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า สวมชุดคนส่งอาหารเดลิเวอรี่สีเหลืองมาหยุดที่ป้ายรถเมล์และทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม“จะไปทำงานใช่ไหม? ผมไปส่งคุณเอง”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”สาวน้อยปฏิเสธด้วยท่าทางเงียบสงบเมื่อมอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจน อินชิงเสวียนก็ต้องตกใจอีกครั้งนางรู้จักผู้ชายคนนี้ เขาคือเฉียวฉู่ฉือ คุณชายสามของบริษัทจงฮุ่ยประจำเมืองนี้ ตอนที่นางสัมภาษณ์งานครั้งแรก นางไปที่บริษัทนี้พอดีตอนนั้นผู้สัมภาษณ์คือเฉียวฉู่ฉือ อินชิงเสวียนไม่มีวันลืมชุดสูทและเนคไทของเขา ด้วยท่าทางที่เย็นชาและเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขา ราวกับว่าการปรากฏตัวของเขา ทำให้ความกดอากาศรอบตัวเขาลดลงเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง เพราะอินชิงเสวียนที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน จึงถูกไล่ปัดทิ้งทันที ตอนที่ออกมายังพูดแขวะเฉียวฉู่ฉือว่าเขาหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์ กล้ามเนื้อใบหน้าต้องเป็นเนื้อตายหมดแน่ๆวันนี้กลับเห็นเขาเผย
เมื่อเดินวนดูทีละห้อง ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ได้รู้ว่าที่นี่คือฐานปฏิบัติการของนักไลฟ์ งานของสาวน้อยไม่ได้แย่ แต่ยังเคร่งขรึมและสง่างามมากเธอสวมชุดสไตล์โบราณสีชมพู เธอปัดคิ้วจางๆ มีลูกปัดเล็กๆ ปักบนมวยผมสวยของเธอ การเคลื่อนไหวของเธอเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบโบราณเสียงเพลงพิณดังออกมาจากปลายนิ้วเรียว ของขวัญบนหน้าจอก็ขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่งในทันที และจรวดและเรือก็บินไปด้วยกัน มันบ้าไปแล้วจริงๆอินชิงเสวียนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย แต่ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นว่า วิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ก็คือเจ้าของร่างเดิมเทวดาให้พวกเธอข้ามมิติสลับร่างกัน! เมื่อนึกถึงความเศร้าโศกของเจ้าของร่างเดิมท่ามกลางวังเย็น อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธอเธอยังอายุไม่มาก หากตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อจริงๆ เช่นนั้นคงน่าเสียดายอย่างแท้จริงเพียงแต่จะสื่อสารกันอย่างไร? สัมผัสเธอก็ไม่ตอบสนอง เรียกเธอก็ไม่ได้ยิน เมื่อคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับบ้านไปดูคุณย่านอนหลับไปแล้ว บนเก้าอี้มีกระโปรงดอกไม้แสนสวยวางอยู่ตัวหนึ่ง และยังมีป้ายใหม่แขวนอยู่ คงเป็นกระโปรงที่สาว
“เป็นอะไรไหมชิงเสวียน?” คุณย่าได้ยินเสียงกรีดร้อง จึงรีบวิ่งเข้ามาสาวน้อยรีบปิดสมุดบันทึกในทันที“ไม่มีอะไรค่ะคุณย่า จู่ๆ หนูก็เห็นว่าตัวเองอ้วนเกินไป เลยตกใจนิดหน่อยค่ะ”คุณย่าพูดด้วยใบหน้าที่รักใคร่เอ็นดูว่า “อ้วนสิถึงจะดูดี ดูมีราศี ปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิงไม่สวยหรอกนะ”สาวน้อยพยักหน้าด้วยความน่ารัก“ทราบแล้วค่ะคุณย่า หนูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”“ได้สิ เดี๋ยวย่าไปเตรียมอาหารให้หลานก่อนนะ”เมื่อคุณย่าออกไปแล้ว สาวน้อยก็รีบปิดประตูทันทีเธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาดูซ้ำอีกครั้ง ลายมือนี้ไม่เหมือนลายมือตัวเองจริงด้วยเมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบหนังสือบันทึกของเจ้าของร่างเดิมขึ้นมา หลังจากเทีบยดูแล้วก็ต้องตกใจอย่างอดไม่ได้! ตัวเองเจอผีงั้นเหรอ? จึงมองไปรอบๆ อย่างไม่อาจห้ามใจได้อินชิงเสวียนก็ยืนมองอยู่ข้างๆจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้เฉลียวฉลาดมาก ท่าทางก็น่ารักมากด้วยหากพูดในสิ่งที่นางทำผิด นั่นก็คือการตกหลุมรักผู้ชายสารเลวอย่างเย่จิ่งเย่าหวังว่าการอยู่ในยุคปัจจุบันเธอจะได้พบกับคนที่รักเธอด้วยใจจริง และคนที่ปกป้องเธอในระหว่างที่ครุ่นคิด ก
จากบทสนทนาผ่านปากกา อินชิงเสวียนก็ได้รับรู้เรื่องที่สาวน้อยต้องเผชิญเมื่อมาถึงที่นี่ตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา เธออยู่ที่โรงพยาบาล ตำรวจแจ้งให้คุณย่าทราบจากเบอร์โทรที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอเมื่อเห็นหญิงชราที่แปลกหน้าคนนี้ สาวน้อยจึงรู้ว่าวิญญาณของตัวเองมาสิงในร่างใหม่แล้วคนขับที่ชนเธอมอบเงินค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย ตามความเข้าใจของสาวน้อย เมื่อเธอทราบว่าเงินที่ได้รับนั้นเท่ากับเงินหนึ่งหมื่นตำลึงในสมัยของเธอ อีกทั้งตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรนัก จึงออกจากโรงพยาบาลทันทีหลังจากนั้นสองย่าหลานก็กลับบ้านเกิด สาวน้อยจึงค่อยๆ ยอมรับความจริงที่ทะลุมิติมา และค่อยๆ ตกหลุมรักกับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยอิสรภาพนี้ ตอนนี้เธอพอใจกับงานของตัวเอง และสามารถรักษาสภาพที่เป็นอยู่ได้สำหรับเรื่องความรัก สาวน้อยบอกว่าตัวเองยังไม่อยากคิดเรื่องนี้ความผูกพันกับเย่จิ่งเย่าทำให้เธอเจ็บปวดไปหมด แม้รู้ว่าคนสารเลวนั่นตายไปแล้ว แต่ยังไร้หนทางที่จะไม่ผูกใจเจ็บเธอบอกว่าตอนนี้ตัวเองคิดเพียงจะอยู่ดูแลคุณย่าให้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปเรื่องแบบนี้ อินชิงเสวียนก็ไม่รู้ว่าควรปลอ
ณ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เย่จิ่งอวี้ได้ฟื้นขึ้นแล้ว เมื่อเห็นอินชิงเสวียนที่อยู่ข้างกาย จึงถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทา “เสวียนเอ๋อร์ เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลย เจ้าง่วงนอนใช่หรือไม่?” เซี่ยวอิ๋นหวนพยายามกลั้นน้ำตาและพูดว่า “ท่านตาของเจ้าได้ไปตามผู้อาวุโสสวีแล้ว อวี้เอ๋อร์อย่าตื่นตกใจไปเลยนะ เสวียนเอ๋อร์มีบุญวาสนามาก ต้องแปลงเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้แน่นอน”เย่จิ่งอวี้ได้ฟังก็เหมือนไม่ได้ยิน เขากอดอินชิงเสวียนเบาๆ ไว้ในอ้อมอก หยิบผ้าที่อยู่ด้านในเสื้อออกมาและเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของนางอย่างพิถีพิถัน ปากก็พูดพึมพำว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเคยรับปากข้าแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า เจ้าโกหกข้าไม่ได้นะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยพูดโกหก หากเจ้าง่วงนอนจริงๆ ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง”เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของลูกชาย เซี่ยวอิ๋นหวนก็น้ำตาไหลออกมาอย่างอดไม่ได้พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “นางจะต้องไม่เป็นอะไร เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ”เย่จิ่งอวี้เหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เขาแกว่งอินชิงเสวียนเบาๆ ราวกับกำลังกล่อมลูก ปากก็พูดเสียงเบาว่า “นานมาแล้ว มีขันทีน้อยผู้หนึ่งนามว่าเสี่
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ใบหน้าซีดขาวและวิตกกังวลเล็กน้อย อินชิงเสวียนก็รู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่งนางยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ตัว และสัมผัสไปยังแก้มที่ผอมซูบอย่างเห็นได้ชัด“อาอวี้...”“ข้าเอง!”เย่จิ่งอวี้จับมือเล็กที่ขาวผ่องของอินชิงเสวียน และนำมาวางไว้ที่ข้างริมฝีปากอย่างตื่นเต้น พร้อมกับจูบลงไปเบาๆความสุขที่ได้คืนกลับมาเช่นนี้ ช่างดียิ่งกว่าการที่เขาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้มากทีเดียว“อินชิงเสวียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที ข้าตกใจแทบแย่... หมายถึงพวกเราทุกคนตกใจแทบแย่”เย่จิ่งหลานวิ่งมาที่ข้างเตียง สีหน้าบนใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูซับซ้อนและเสียใจเล็กน้อยอินชิงเสวียนไม่คิดว่ายังมีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย จึงรีบชักมือกลับมา ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยปากกลับพูดอย่างสบายๆ ว่า “วางใจเถอะ ยมบาลไม่ต้องการตัวข้า ข้าต้องกลับมาแน่นอน”เซี่ยวอิ๋นหวนรีบพูดว่า “อย่าได้พูดมั่วไป พวกเราไม่ยอมไปพบยมบาลหรอกนะ”เมื่อเห็นว่าเซี่ยวอิ๋นหวนก็อยู่ที่นี่ด้วย อินชิงเสวียนก็ยิ่งเขินอายและรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออกไป“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”นอกจากความอ่อนเพลียเล็กน้อย อินชิงเสว
อินชิงเสวียนรีบน้อมตัว“คารวะท่านตา คารวะผู้อาวุโสสวี ทำให้ผู้อาวุโสทั้งสองต้องเป็นกังวลแล้ว”เมื่อเห็นสาวน้อยมีชีวิตชีวาและมีพละกำลัง คิ้วที่ขมวดแน่นของเจ้าสำนักเซี่ยวของคลายออกในชั่วพริบตาดูเหมือนว่านี่จะเป็นผลลัพธ์ของน้ำพุวิญญาณ เด็กสาวคนนี้มีคุณสมบัติล้ำค่า เกรงว่ายมบาลก็ไม่กล้านำตัวไปผู้อาวุโสสวีลูบเครา หัวเราะเหอะๆ แล้วพูดว่า “เจ้าเป็นถึงกำลังหลักในสงครามครั้งนี้ หากไร้ซึ่งการเข้าสกัดของพิณการเวก พวกเราคงไม่สามารถกวาดล้างชาวตงหลิวทั้งหมดเหล่านั้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ สงครามครั้งนี้ได้รับชัยชนะอันยิ่งใหญ่ นับจากนี้ไปอีกหลายสิบปี คงไม่ต้องเป็นกังวลว่าพวกเขาจะมาก่อความวุ่นวายที่เป่ยไห่อีกแล้วล่ะ”“ผู้อาวุโสสวีชมข้าเกินไปแล้วเจ้าค่ะ ข้าไม่ได้ช่วยอะไรมากนัก และยังบุกเข้าไปในค่ายกลโดยไม่ได้ตั้งใจ ทำให้ทุกคนต้องเป็นห่วง”อินชิงเสวียนพูดจบก็ถามอีกว่า “ชาวตงหลิวเหล่านั้นตายหมดแล้วจริงๆ หรือเจ้าคะ?” เจ้าสำนักเซี่ยวพูดด้วยจิตใจที่อิ่มเอิบว่า “ตอนนี้ไม่เหลือผู้รอดชีวิตเลย เพียงแค่ศพก็กองรวมกันเป็นภูเขาลูกเล็กแล้ว ครั้งนี้พวกเขาคงไม่มีเรี่ยวแรงจะโจมตีกลับแล้วล่ะ”เย่จิ่งหล
ทุกคนต่างพากันออกจากห้อง เหลือเพียงเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนเมื่อมองลำคอของเขาที่ยังห้อยหยกเย็นพันปีชิ้นนั้นอยู่ อินชิงเสวียนก็รู้สึกพึงพอใจมาก“อาอวี้ก็ไม่เป็นอะไร ช่างดีจริงๆ เลยนะ”เย่จิ่งอวี้โอบกอดอินชิงเสวียนไว้ และซุกหน้าลงบนผมของนางที่ตกอยู่บนไหล่“เสวียนเอ๋อร์ก็เช่นกัน หากเจ้าเป็นอะไรไป ข้าไม่รู้จะอยู่ไปอย่างไรจริงๆ”อินชิงเสวียนหันหน้ามาพูดว่า “ชีวิตมนุษย์ทุกคนมีค่าและมาเพียงครั้งเดียวเท่านั้น อาอวี้พูดจาไร้ความรับผิดชอบเช่นนี้ได้อย่างไร แม้ว่ามีวันหนึ่งที่ข้าไม่อยู่แล้วจริงๆ ข้าก็หวังให้อาอวี้สามารถที่จะ...”ยังไม่ทันพูดจบ ก็ถูกประกบปิดด้วยริมฝีปากที่เย็นเล็กน้อยสักพักหนึ่ง ริมฝีปากก็แยกออกจากกันเย่จิ่งอวี้เสยปอยผมที่อยู่ข้างแก้มของอินชิงเสวียน และพูดเสียงเบาว่า “อย่าพูดไร้สาระ ในเมื่อเจ้ามายังโลกใบนี้ เป็นภรรยาของข้า ดังนั้นไม่ควรไปจากข้าโดยไม่ได้รับอนุญาต”เมื่อมองดวงตาคู่นั้นที่ลึกราวกับทะเล จู่ๆ ในใจของอินชิงเสวียนก็เต้นแรงอย่างควบคุมไม่ได้กลับจงใจพูดว่า “มนุษย์ย่อมมีการเกิดแก่เจ็บตาย หากข้ามีชีวิตอยู่ถึงพันหรือหมื่นปี ข้าคงเป็นปีศาจเฒ่าแล้วล่ะ?”
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ