“เป็นจริงดังนั้น”เย่จิ่งหลานน้ำเสียงอ่อนเยาว์ จึงฟังอารมณ์ในน้ำเสียงไม่ออก แต่หัวใจกลับเต้นแรงไม่หยุด กลัวว่าจะได้ยินข่าวไม่ดีเกี่ยวกับอินชิงเสวียนในใจก็ปลอบตัวเองอยู่ตลอดเวลา นางมีมิติ นางจะต้องไม่เป็นอะไรแน่นอน ไม่แน่ว่านางอาจจะเข้าไปหลบในมิติก็ได้เจ้าสำนักเซี่ยวพยักหน้าและพูดเสียงเข้มว่า “สิ่งที่ผู้เยาว์ทั้งพูดก็มีเหตุผล เทียบกับการนั่งรอความตายอยู่เช่นนี้ ออกสู้ดูสักตั้งคงดีกว่า”“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็เข้าไปในเข้าค่ายกลเลย จำไว้ว่า ห้ามกระทำการใดๆ โดยบุ่มบ่าม ค่ายกลแปดทิศส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ การเปลี่ยนแปลงไม่อาจคาดเดาได้ หากพลาดเพียงก้าวเดียว ก็จะพลาดไปทั้งหมด”เฮ่ออวิ๋นทงไม่เข้าใจค่ายกลแปดทิศอย่างแท้จริง นี่เป็นเพียงทางออกเดียวเท่านั้นทันทีที่พูดจบ จู่ๆ ตำแหน่งบึงที่อยู่ด้านหน้าก็มีช่องว่างเปิดออก“เหล่าเซี่ยว เข้าค่ายกล”ทุกคนตะโกนพร้อมกันและบินเข้าไปในค่ายกลเมื่อเห็นผีแคระตงหลิวหน้าตาอัปลักษณ์เหล่านั้น ความโกรธของเย่จิ่งอวี้ก็พุ่งทะยานมากขึ้นอย่างอดไม่ได้ เขายกดาบขึ้นแล้วทิ้งมันลง หมอกเปื้อนเลือดก็ลอยหายไป บนพื้นมีผีไร้หัวเพิ่มขึ้นอีกมากมาย
ร่างอันหล่อเหลานั้นรวดเร็วราวกับสายฟ้า เพียงพริบตาเดียวก็ตีแตกรูปแบบค่ายกลของตำแหน่งฟ้าดังคำกล่าวที่ว่าดึงจุดเดียวกันก็สั่นสะเทือนไปทั้งหมด การถูกตีพ่ายของตำแหน่งฟ้ามีผลกระทบไปยังตำแหน่งค่ายกลอื่นๆ การส่งผลกระทบกันเป็นทอดๆ ของค่ายกล ทำให้มันสูญหายไปในทันทีเจ้าสำนักเซี่ยวและคนอื่นๆ รู้สึกเห็นภาพตรงหน้าชัดเจนขึ้น ภาพมายาตรงหน้าก็หายไปด้วยเช่นกันระหว่างที่ตกตะลึง ชายชุดดำที่ปิดบังหน้าตาก็เดินเข้ามาใกล้“ตามข้ามา ข้าจะพาพวกท่านไปตามหาหัวใจค่ายกล”เสียงของผู้พูดเบามาก และเป็นการยากที่จะบอกอายุของเขาได้เวลาอันสั้น แต่มั่นใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้ชายเจ้าสำนักเซี่ยวรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา ประสานมือคำนับแล้วพูดว่า “ขอบคุณท่านอัศวิน หากชนะสงครามในครั้งนี้ ข้าจะจัดงานเลี้ยงสุราที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ และดื่มกับท่านอัศวินให้สาแก่ใจเลย”“ไม่ต้องพูดจาเกรงใจหรอกขอรับ รีบทำลายค่ายกลเถอะ”ก้าวเดินของชายคนนั้นเป็นอิสระและสง่างาม และท่าทางของเขาแข็งแกร่งราวกับมังกรแหวกว่ายเจ้าสำนักเซี่ยวนำคนตามไป ตรงไปยังสองแห่งของหัวใจค่ายกลภาพมายาทางด้านของเย่จิ่งอวี้ก็หายไปเช่นกัน ยังนึกว่าวิธีการ
เพื่อไม่ให้เขาเห็นเลือดมากเกินไปจนไม่อาจควบคุมสติได้ ชายชุดดำจึงตะโกนขึ้นทันที“อยากตามหาอินชิงเสวียนก็ตามข้ามา”เมื่อได้ยินคำว่า “อินชิงเสวียน” สีหน้าของเย่จิ่งอวี้ก็สดใสขึ้นเล็กน้อยถามเสียงแข็งว่า “ท่านคือผู้ใด?” “ผู้ที่พาพวกเจ้าไปทำลายค่ายกล หากเข้าเชื่อข้าก็ตามมา”ชายชุดดำพูดจบก็เดินต่อไปอย่างไม่รีรอ เย่จิ่งอวี้จึงถือดาบตามไปทันทีทั้งสองต่อสู้กับศัตรูตลอดทาง แต่ยังไม่เห็นแม้แต่เงาของอินชิงเสวียนความตื่นตระหนกทำให้เย่จิ่งอวี้กระสับกระส่ายในหัวใจ ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายสีแดงอีกครั้งสายตาของชายชุดดำก็กังวลมากยิ่งขึ้น เมื่อเย่จิ่งอวี้สูญเสียการควบคุม ก็จะทำให้ถูกการฝังโลหิตควบคุมโดยสิ้นเชิง และตกอยู่ในภาวะบ้าคลั่งเพียงแต่น่าเสียดายที่เป็นอาคมต้องห้ามของเพียวเหมี่ยวอิ๋นเฉิง แม้ว่าเฮ่อฉางเฟิงเป็นพ่อลูกกับเจ้าเมือง แต่ก็ไม่สามารถแก้อาคมนี้ได้“รักษาจิตใจให้สงบ รักษาจิตวิญญาณให้เข้มแข็ง หากเจ้ากลายเป็นคนเสียสติ เจ้าจะไม่รู้จักกับภรรยาของเจ้าอีกเลย”เสียงที่ทุ้มต่ำราวกับน้ำวิสุทธิ์ ทำให้จิตใจของเย่จิ่งอวี้สดใสขึ้นทันทีเมื่อเห็นคราบเลือดบนร่างกาย เขาก็รู้สึกคล
เสียงอยู่ใกล้มาก ทำให้โมริตะคาวาสึบาเมะเปลี่ยนสีหน้าทันทีหากมีคนเข้ามาช่วยเหลือ ตัวเองต้องตายอย่างไม่ต้องสงสัยต้องรีบหนีออกไปจากที่นี่เขาพยายามรวบรวมกำลังภายในแล้วกลิ้งตัวคลานเข้าไปในโขดหินที่อยู่ข้างๆเสียงของเย่จิ่งอวี้มาถึงตรงหน้าเขาแล้ว“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่ใด?” ขณะที่เขากำลังจะออกไปจากที่นี่ ทันใดนั้นเขาก็เห็นเสื้อผ้าสีชมพูชิ้นหนึ่งโผล่มาจากด้านหลังก้อนหินขนาดใหญ่เขารู้ว่าอินชิงเสวียนสวมชุดกระโปรงพับกลีบสีขาว ต้องเป็นลูกศิษย์ของสำนักอื่นที่ถูกทำร้ายแน่นอนพวกนางเดินทางหลายพันลี้เพื่อมาที่นี่ จึงไม่สามารถทิ้งร่างไว้ข้างนอกได้เขาจึงจึงรีบเดินไปด้านหลังหินก้อนใหญ่ทันที เย่จิ่งอวี้รีบเร่งฝีเท้า เวลาเพียงไม่นานเขาก็มายืนอยู่ด้านหน้าก้อนหินขนาดใหญ่เมื่อเห็นหญิงสาวที่นอนสยายผมอยู่บนพื้น เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกว่าหัวใจถูกโจมตีอย่างรุนแรง สองขาอ่อนแรงลง และคุกเข่าลงบนพื้นเขายื่นมือที่สั่นเทิ้มออกไป และกอดหญิงสาวที่ไร้ซึ่งชีวิตชีวาไว้ในอ้อมอกเขาตะโกนร้องออกมาอย่างไม่เชื่อ “เสวียนเอ๋อร์ นี่เจ้าใช่ไหม?” สิ่งที่ตอบเขาเป็นเพียงเสียงลมที่ดังก้องอยู่ในหูอินช
วินาทีที่ฝาขวดถูกเปิดออก เฮ่อฉางเฟิงรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง จึงเหลือบมองเย่จิ่งหลานอย่างอดไม่ได้หรือว่าพวกเขาสามารถดื่มน้ำชนิดนี้ได้หมดทุกคน?ระหว่างที่ครุ่นคิด เย่จิ่งหลานได้จับใต้คางของอินชิงเสวียน และพยายามป้อนให้นางดื่มลงไปปากของพูดราวกับกำลังโกรธว่า “อินชิงเสวียน เจ้าจะกลับไปเช่นนี้งั้นหรือ ข้าจะเกลียดเจ้าไปทั้งชาติ ไม่สิ สิบชาติเลย!”อินชิงเสวียนขบฟันไว้แน่น น้ำส่วนใหญ่รั่วไหลออกมา เย่จิ่งหลานจึงร้อนใจอย่างอดไม่ได้“อินชิงเสวียน เจ้ายอมแพ้ไม่ได้นะ”เขาใช้ความพยายามเพิ่มขึ้นอีกเล็กน้อยและในที่สุดก็ดื่มไปได้บางส่วนจากนั้นก็เปิดอีกขวดหนึ่ง และป้อนให้เย่จิ่งอวี้ด้วยวิธีที่คล้ายกันขณะเดียวกันนั้นเอง เสียงที่รีบร้อนก็ดังขึ้นด้านหลัง“น้องใหญ่!”อินสิงอวิ๋นรีบวิ่งเข้ามาแต่ไกลเมื่อรู้ว่าชาวตงหลิวเหยียบเข้ามาบนเกาะ อินสิงอวิ๋นก็รีบรุดเข้าฝั่งเพื่อให้ความช่วยเหลือ น่าเสียดายที่มีชาวตงหลิวมากเกินไปในสนามรบ จึงไม่ได้มารวมตัวกับอินชิงเสวียนตั้งแต่แรกคิดในใจว่าทุกที่ล้วนเต็มไปด้วยศัตรู จึงอยู่ด้านนอกวงล้อมกับลูกศิษย์สำนักอื่นๆเมื่อชาวตงหลิวเหล่านั้นถูกฆ่าตายไ
ขุนศึกถามอีกว่า “พวกเราไม่ตามหาท่านอ๋องน้อยแล้วหรือ?” ทันใดนั้นท่านอ๋องโมริตะก็นึกขึ้นได้ว่า โมริตะคาวาสึบาเมะบอกว่าเขาเป็นบรรพบุรุษของตัวเอง ยังสั่งให้เขาทำตามคำสั่งทุกอย่าง แววตาจึงเยือกเย็นลงทันที“ไม่ต้องตามหาหรอก เขามีวิทยายุทธ์สูงส่ง เจ้าปัญญา จะต้องหาทางหลีกหนีจากอันตรายได้แน่นอน”ทุกคนต่างพยักหน้าในทันที“ขอรับ”โมริตะคาวาสึบาเมะเหลือบมองดูผิวน้ำทะเลที่วาบวับและพูดเสียงเข้มว่า “เราคงใช้เส้นทางทางน้ำไม่ได้แล้ว พวกเราจะใช้เส้นทางเมืองเติงหลง”“คิดหนี ฝันไปเถอะ”เสียงของผู้อาวุโสสวีลอยมาเหนือศีรษะ ท่านอ๋องโมริตะรู้สึกถึงแสงเย็นๆ วูบวาบบนหัว และเส้นผมก็ตั้งขึ้นทันทีเขาก้าวไปด้านข้างโดยไม่ได้คาดคิดว่าดาบยาวของผู้อาวุโสสวีจะผ่าลงบนก้อนหิน ได้ยินเพียงแครกดังลั่น ก้อนหินถูกแยกออกเป็นสองชิ้นจากนั้นก็มีลูกศิษย์ของสำนักตามมาอีกยี่สิบกว่าคน ล้อมรอบท่านอ๋องโมริตะและขุนศึกทั้งสี่เอาไว้เมื่อเห็นว่าสถานการณ์เป็นเช่นนี้ ท่านอ๋องโมริตะก็รู้สึกกลัวอย่างอดไม่ได้ สงครามครั้งนี้นอกจากคนชราเด็กและผู้หญิง ชาวตงหลิวก็ออกมาทำสงครามกันแทบทั้งหมด หากไม่สามารถยึดกุมเป่ยไห่ได้ เช่นนั
เจ้าสำนักเซี่ยวเดินหน้าหนึ่งก้าว และจับชีพจรของเย่จิ่งอวี้ชายชุดดำที่กลับมาก่อนหน้าบอกเขาว่า เย่จิ่งอวี้มีอารมณ์ที่ตื่นเต้นมากเกินไป ทำให้การฝังโลหิตกำเริบขึ้นมา เขาได้สะกดจุดฝังเข็มของเขาไว้ หากฟื้นขึ้นมาก็จะไม่เป็นอะไรเด็กสาวอินกลับมีปัญหาเล็กน้อยเจ้าสำนักเซี่ยวตรวจชีพจรของเย่จิ่งอวี้อีกครั้ง การเต้นของชีพจรยังมีพลัง ลมปราณในร่างกายยังคงหมุนเวียนดี ซึ่งไม่มีสิ่งใดน่าเป็นเป็นห่วงแล้วจากนั้นก็ยื่นมือไปตรวจอินชิงเสวียนทันทีกำลังภายในเข้าไปในร่างกายของอินชิงเสวียนตามปลายนิ้ว ราวกับก้อนหินที่จมลงในทะเลโดยไม่มีคลื่นใดๆนี่มันคืออะไรกัน? อินชิงเสวียนได้ฝึกฝนกำลังภายในแล้ว ไม่ควรมีผลลัพธ์เช่นนี้เจ้าสำนักเซี่ยวพยายามเคลื่อนกำลังภายใน เพื่อส่งเข้าไปในร่างกายของอินชิงเสวียน ผมของทั้งคู่ถูกปลุกเร้าด้วยพลังอันแข็งแกร่ง เพียงครู่หนึ่ง ก็กลับสู่สภาวะนิ่งเงียบไม่ตอบสนองโลกภายนอกอีกครั้งเจ้าสำนักเซี่ยวชักมือกลับ คิ้วขาวโพลนขมวดเข้าด้วยกันผู้คุมตราเซี่ยวรีบถามว่า “ท่านพ่อ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเข้มว่า “อาอวี้ไม่เป็นไร เสวียนเอ๋อร์กลับมีควา
“อวี้เอ๋อร์!”ผู้คุมตราเซี่ยวตกใจมาก และกอดลูกชายไว้ในอ้อมอก“อาอวี้!”เจ้าสำนักเซี่ยวก็เดินไปที่เตียงด้วยความรวดเร็ว ยื่นนิ้วไปจิ้มจุดฝังเข็มสำคัญของเย่จิ่งอวี้อย่างนับไม่ถ้วนอินสิงอวิ๋นรีบถาม“เจ้าสำนักเซี่ยว คุณชายเย่และน้องใหญ่... เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” เจ้าสำนักเซี่ยววางเย่จิ่งอวี้ลงบนเตียง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อาอวี้ไม่เป็นอะไร ข้าจะหาหนทางอื่นในการรักษาเสวียนเอ๋อร์ พวกเจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ออกไปก่อนเถอะ”ทันทีที่พูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออกมาเสียงดังปัง เย่จิ่งหลานวิ่งหายใจหอบมาจากด้านนอก“ข้ายังพอมีน้ำพุยาอยู่บ้าง ให้พวกเขาทั้งสองดื่มอีกหน่อยเถอะ”ผู้คุมตราเซี่ยวรีบพยักหน้า“ได้สิ จิ่งหลาน เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” “ขอบพระทัยไท่เฟยที่เป็นห่วง จิ่งหลานสบายดี”เดิมทีเย่จิ่งหลานควรกลับมาพร้อมกับเจ้าสำนักเซี่ยว ระหว่างทางกลับพบกับพวกผีแคระที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เย่จิ่งหลานจัดการพวกเขาเหล่านั้นเสร็จก็รีบกลับมาด้วยความร้อนใจทันทีตอนแรกเขาคิดว่าจะเห็นภาพพวกเขาทั้งสองคนฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้จึรู้สึกหดหู่ใจมากผู้คุมตราเซี่ยวสูดจมูกแล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรมา
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี