เจ้าสำนักเซี่ยวเดินหน้าหนึ่งก้าว และจับชีพจรของเย่จิ่งอวี้ชายชุดดำที่กลับมาก่อนหน้าบอกเขาว่า เย่จิ่งอวี้มีอารมณ์ที่ตื่นเต้นมากเกินไป ทำให้การฝังโลหิตกำเริบขึ้นมา เขาได้สะกดจุดฝังเข็มของเขาไว้ หากฟื้นขึ้นมาก็จะไม่เป็นอะไรเด็กสาวอินกลับมีปัญหาเล็กน้อยเจ้าสำนักเซี่ยวตรวจชีพจรของเย่จิ่งอวี้อีกครั้ง การเต้นของชีพจรยังมีพลัง ลมปราณในร่างกายยังคงหมุนเวียนดี ซึ่งไม่มีสิ่งใดน่าเป็นเป็นห่วงแล้วจากนั้นก็ยื่นมือไปตรวจอินชิงเสวียนทันทีกำลังภายในเข้าไปในร่างกายของอินชิงเสวียนตามปลายนิ้ว ราวกับก้อนหินที่จมลงในทะเลโดยไม่มีคลื่นใดๆนี่มันคืออะไรกัน? อินชิงเสวียนได้ฝึกฝนกำลังภายในแล้ว ไม่ควรมีผลลัพธ์เช่นนี้เจ้าสำนักเซี่ยวพยายามเคลื่อนกำลังภายใน เพื่อส่งเข้าไปในร่างกายของอินชิงเสวียน ผมของทั้งคู่ถูกปลุกเร้าด้วยพลังอันแข็งแกร่ง เพียงครู่หนึ่ง ก็กลับสู่สภาวะนิ่งเงียบไม่ตอบสนองโลกภายนอกอีกครั้งเจ้าสำนักเซี่ยวชักมือกลับ คิ้วขาวโพลนขมวดเข้าด้วยกันผู้คุมตราเซี่ยวรีบถามว่า “ท่านพ่อ พวกเขาเป็นอย่างไรบ้างเจ้าคะ?” เจ้าสำนักเซี่ยวพูดเสียงเข้มว่า “อาอวี้ไม่เป็นไร เสวียนเอ๋อร์กลับมีควา
“อวี้เอ๋อร์!”ผู้คุมตราเซี่ยวตกใจมาก และกอดลูกชายไว้ในอ้อมอก“อาอวี้!”เจ้าสำนักเซี่ยวก็เดินไปที่เตียงด้วยความรวดเร็ว ยื่นนิ้วไปจิ้มจุดฝังเข็มสำคัญของเย่จิ่งอวี้อย่างนับไม่ถ้วนอินสิงอวิ๋นรีบถาม“เจ้าสำนักเซี่ยว คุณชายเย่และน้องใหญ่... เป็นอย่างไรบ้างขอรับ?” เจ้าสำนักเซี่ยววางเย่จิ่งอวี้ลงบนเตียง ขมวดคิ้วแล้วพูดว่า “อาอวี้ไม่เป็นอะไร ข้าจะหาหนทางอื่นในการรักษาเสวียนเอ๋อร์ พวกเจ้าไม่ต้องร้อนใจไป ออกไปก่อนเถอะ”ทันทีที่พูดจบ ประตูก็ถูกเปิดออกมาเสียงดังปัง เย่จิ่งหลานวิ่งหายใจหอบมาจากด้านนอก“ข้ายังพอมีน้ำพุยาอยู่บ้าง ให้พวกเขาทั้งสองดื่มอีกหน่อยเถอะ”ผู้คุมตราเซี่ยวรีบพยักหน้า“ได้สิ จิ่งหลาน เจ้าบาดเจ็บหรือไม่?” “ขอบพระทัยไท่เฟยที่เป็นห่วง จิ่งหลานสบายดี”เดิมทีเย่จิ่งหลานควรกลับมาพร้อมกับเจ้าสำนักเซี่ยว ระหว่างทางกลับพบกับพวกผีแคระที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง เย่จิ่งหลานจัดการพวกเขาเหล่านั้นเสร็จก็รีบกลับมาด้วยความร้อนใจทันทีตอนแรกเขาคิดว่าจะเห็นภาพพวกเขาทั้งสองคนฟื้นขึ้นมาแล้ว ตอนนี้จึรู้สึกหดหู่ใจมากผู้คุมตราเซี่ยวสูดจมูกแล้วพูดว่า “อวี้เอ๋อร์ไม่เป็นอะไรมา
เมื่อความคิดนี้ผุดขึ้นมา ก็ไม่อาจลบล้างได้ลงอินชิงเสวียนจ้องมองเด็กสาวที่อยู่ตรงหน้าด้วยความสงสัย เมื่อทั้งสองกินข้าวเสร็จ อินชิงเสวียนก็ตามสาวน้อยผมเปียหางม้ามายังป้ายรถเมล์ขณะนั้นเอง หนุ่มหล่อขี่รถมอเตอร์ไซต์ไฟฟ้า สวมชุดคนส่งอาหารเดลิเวอรี่สีเหลืองมาหยุดที่ป้ายรถเมล์และทักทายเธอด้วยรอยยิ้ม“จะไปทำงานใช่ไหม? ผมไปส่งคุณเอง”“ไม่เป็นไรค่ะ ขอบคุณมาก”สาวน้อยปฏิเสธด้วยท่าทางเงียบสงบเมื่อมอเห็นใบหน้าของชายหนุ่มอย่างชัดเจน อินชิงเสวียนก็ต้องตกใจอีกครั้งนางรู้จักผู้ชายคนนี้ เขาคือเฉียวฉู่ฉือ คุณชายสามของบริษัทจงฮุ่ยประจำเมืองนี้ ตอนที่นางสัมภาษณ์งานครั้งแรก นางไปที่บริษัทนี้พอดีตอนนั้นผู้สัมภาษณ์คือเฉียวฉู่ฉือ อินชิงเสวียนไม่มีวันลืมชุดสูทและเนคไทของเขา ด้วยท่าทางที่เย็นชาและเคร่งขรึมบนใบหน้าของเขา ราวกับว่าการปรากฏตัวของเขา ทำให้ความกดอากาศรอบตัวเขาลดลงเล็กน้อยด้วยความคาดไม่ถึง เพราะอินชิงเสวียนที่ยังไม่มีประสบการณ์การทำงาน จึงถูกไล่ปัดทิ้งทันที ตอนที่ออกมายังพูดแขวะเฉียวฉู่ฉือว่าเขาหน้าตาเหมือนคนอมทุกข์ กล้ามเนื้อใบหน้าต้องเป็นเนื้อตายหมดแน่ๆวันนี้กลับเห็นเขาเผย
เมื่อเดินวนดูทีละห้อง ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ได้รู้ว่าที่นี่คือฐานปฏิบัติการของนักไลฟ์ งานของสาวน้อยไม่ได้แย่ แต่ยังเคร่งขรึมและสง่างามมากเธอสวมชุดสไตล์โบราณสีชมพู เธอปัดคิ้วจางๆ มีลูกปัดเล็กๆ ปักบนมวยผมสวยของเธอ การเคลื่อนไหวของเธอเต็มไปด้วยเสน่ห์แบบโบราณเสียงเพลงพิณดังออกมาจากปลายนิ้วเรียว ของขวัญบนหน้าจอก็ขึ้นอยู่ทุกหนทุกแห่งในทันที และจรวดและเรือก็บินไปด้วยกัน มันบ้าไปแล้วจริงๆอินชิงเสวียนรู้สึกอิจฉาเล็กน้อย แต่ก็ยิ่งมั่นใจขึ้นว่า วิญญาณที่อยู่ในร่างนี้ก็คือเจ้าของร่างเดิมเทวดาให้พวกเธอข้ามมิติสลับร่างกัน! เมื่อนึกถึงความเศร้าโศกของเจ้าของร่างเดิมท่ามกลางวังเย็น อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ การมีชีวิตอยู่ในโลกใบนี้ บางทีอาจเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธอเธอยังอายุไม่มาก หากตกใจกลัวจนขวัญหนีดีฝ่อจริงๆ เช่นนั้นคงน่าเสียดายอย่างแท้จริงเพียงแต่จะสื่อสารกันอย่างไร? สัมผัสเธอก็ไม่ตอบสนอง เรียกเธอก็ไม่ได้ยิน เมื่อคิดอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็ตัดสินใจกลับบ้านไปดูคุณย่านอนหลับไปแล้ว บนเก้าอี้มีกระโปรงดอกไม้แสนสวยวางอยู่ตัวหนึ่ง และยังมีป้ายใหม่แขวนอยู่ คงเป็นกระโปรงที่สาว
“เป็นอะไรไหมชิงเสวียน?” คุณย่าได้ยินเสียงกรีดร้อง จึงรีบวิ่งเข้ามาสาวน้อยรีบปิดสมุดบันทึกในทันที“ไม่มีอะไรค่ะคุณย่า จู่ๆ หนูก็เห็นว่าตัวเองอ้วนเกินไป เลยตกใจนิดหน่อยค่ะ”คุณย่าพูดด้วยใบหน้าที่รักใคร่เอ็นดูว่า “อ้วนสิถึงจะดูดี ดูมีราศี ปากแหลมแก้มตอบเหมือนลิงไม่สวยหรอกนะ”สาวน้อยพยักหน้าด้วยความน่ารัก“ทราบแล้วค่ะคุณย่า หนูเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนนะคะ”“ได้สิ เดี๋ยวย่าไปเตรียมอาหารให้หลานก่อนนะ”เมื่อคุณย่าออกไปแล้ว สาวน้อยก็รีบปิดประตูทันทีเธอหยิบสมุดบันทึกขึ้นมาดูซ้ำอีกครั้ง ลายมือนี้ไม่เหมือนลายมือตัวเองจริงด้วยเมื่อครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เธอก็หยิบหนังสือบันทึกของเจ้าของร่างเดิมขึ้นมา หลังจากเทีบยดูแล้วก็ต้องตกใจอย่างอดไม่ได้! ตัวเองเจอผีงั้นเหรอ? จึงมองไปรอบๆ อย่างไม่อาจห้ามใจได้อินชิงเสวียนก็ยืนมองอยู่ข้างๆจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าสาวน้อยคนนี้เฉลียวฉลาดมาก ท่าทางก็น่ารักมากด้วยหากพูดในสิ่งที่นางทำผิด นั่นก็คือการตกหลุมรักผู้ชายสารเลวอย่างเย่จิ่งเย่าหวังว่าการอยู่ในยุคปัจจุบันเธอจะได้พบกับคนที่รักเธอด้วยใจจริง และคนที่ปกป้องเธอในระหว่างที่ครุ่นคิด ก
จากบทสนทนาผ่านปากกา อินชิงเสวียนก็ได้รับรู้เรื่องที่สาวน้อยต้องเผชิญเมื่อมาถึงที่นี่ตอนที่เธอฟื้นขึ้นมา เธออยู่ที่โรงพยาบาล ตำรวจแจ้งให้คุณย่าทราบจากเบอร์โทรที่อยู่ในโทรศัพท์ของเธอเมื่อเห็นหญิงชราที่แปลกหน้าคนนี้ สาวน้อยจึงรู้ว่าวิญญาณของตัวเองมาสิงในร่างใหม่แล้วคนขับที่ชนเธอมอบเงินค่าชดเชยเป็นจำนวนมาก แต่ไม่เคยโผล่หน้ามาเลย ตามความเข้าใจของสาวน้อย เมื่อเธอทราบว่าเงินที่ได้รับนั้นเท่ากับเงินหนึ่งหมื่นตำลึงในสมัยของเธอ อีกทั้งตัวเองไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัสอะไรนัก จึงออกจากโรงพยาบาลทันทีหลังจากนั้นสองย่าหลานก็กลับบ้านเกิด สาวน้อยจึงค่อยๆ ยอมรับความจริงที่ทะลุมิติมา และค่อยๆ ตกหลุมรักกับยุคสมัยที่เต็มไปด้วยอิสรภาพนี้ ตอนนี้เธอพอใจกับงานของตัวเอง และสามารถรักษาสภาพที่เป็นอยู่ได้สำหรับเรื่องความรัก สาวน้อยบอกว่าตัวเองยังไม่อยากคิดเรื่องนี้ความผูกพันกับเย่จิ่งเย่าทำให้เธอเจ็บปวดไปหมด แม้รู้ว่าคนสารเลวนั่นตายไปแล้ว แต่ยังไร้หนทางที่จะไม่ผูกใจเจ็บเธอบอกว่าตอนนี้ตัวเองคิดเพียงจะอยู่ดูแลคุณย่าให้ดี ส่วนเรื่องอื่นๆ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปเรื่องแบบนี้ อินชิงเสวียนก็ไม่รู้ว่าควรปลอ
ณ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เย่จิ่งอวี้ได้ฟื้นขึ้นแล้ว เมื่อเห็นอินชิงเสวียนที่อยู่ข้างกาย จึงถามขึ้นด้วยเสียงที่สั่นเทา “เสวียนเอ๋อร์ เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง ทำไมเจ้าไม่พูดอะไรเลย เจ้าง่วงนอนใช่หรือไม่?” เซี่ยวอิ๋นหวนพยายามกลั้นน้ำตาและพูดว่า “ท่านตาของเจ้าได้ไปตามผู้อาวุโสสวีแล้ว อวี้เอ๋อร์อย่าตื่นตกใจไปเลยนะ เสวียนเอ๋อร์มีบุญวาสนามาก ต้องแปลงเหตุร้ายให้กลายเป็นดีได้แน่นอน”เย่จิ่งอวี้ได้ฟังก็เหมือนไม่ได้ยิน เขากอดอินชิงเสวียนเบาๆ ไว้ในอ้อมอก หยิบผ้าที่อยู่ด้านในเสื้อออกมาและเช็ดคราบเลือดบนใบหน้าของนางอย่างพิถีพิถัน ปากก็พูดพึมพำว่า “เสวียนเอ๋อร์ เจ้าเคยรับปากข้าแล้วว่าจะอยู่ด้วยกันไปจนแก่เฒ่า เจ้าโกหกข้าไม่ได้นะ ข้ารู้ว่าเจ้าไม่เคยพูดโกหก หากเจ้าง่วงนอนจริงๆ ข้าจะเล่านิทานให้เจ้าฟัง”เมื่อเห็นท่าทางเช่นนั้นของลูกชาย เซี่ยวอิ๋นหวนก็น้ำตาไหลออกมาอย่างอดไม่ได้พูดด้วยเสียงสะอื้นว่า “นางจะต้องไม่เป็นอะไร เจ้าอย่าคิดมากเลยนะ”เย่จิ่งอวี้เหมือนไม่ได้ยินอะไรทั้งนั้น เขาแกว่งอินชิงเสวียนเบาๆ ราวกับกำลังกล่อมลูก ปากก็พูดเสียงเบาว่า “นานมาแล้ว มีขันทีน้อยผู้หนึ่งนามว่าเสี่
เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้ใบหน้าซีดขาวและวิตกกังวลเล็กน้อย อินชิงเสวียนก็รู้สึกเสมือนอยู่อีกโลกหนึ่งนางยื่นมือออกมาโดยไม่รู้ตัว และสัมผัสไปยังแก้มที่ผอมซูบอย่างเห็นได้ชัด“อาอวี้...”“ข้าเอง!”เย่จิ่งอวี้จับมือเล็กที่ขาวผ่องของอินชิงเสวียน และนำมาวางไว้ที่ข้างริมฝีปากอย่างตื่นเต้น พร้อมกับจูบลงไปเบาๆความสุขที่ได้คืนกลับมาเช่นนี้ ช่างดียิ่งกว่าการที่เขาขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้มากทีเดียว“อินชิงเสวียน ในที่สุดเจ้าก็ฟื้นเสียที ข้าตกใจแทบแย่... หมายถึงพวกเราทุกคนตกใจแทบแย่”เย่จิ่งหลานวิ่งมาที่ข้างเตียง สีหน้าบนใบหน้าเล็กๆ ของเขาดูซับซ้อนและเสียใจเล็กน้อยอินชิงเสวียนไม่คิดว่ายังมีคนอื่นอยู่ในห้องด้วย จึงรีบชักมือกลับมา ใบหน้าแดงระเรื่อเล็กน้อยปากกลับพูดอย่างสบายๆ ว่า “วางใจเถอะ ยมบาลไม่ต้องการตัวข้า ข้าต้องกลับมาแน่นอน”เซี่ยวอิ๋นหวนรีบพูดว่า “อย่าได้พูดมั่วไป พวกเราไม่ยอมไปพบยมบาลหรอกนะ”เมื่อเห็นว่าเซี่ยวอิ๋นหวนก็อยู่ที่นี่ด้วย อินชิงเสวียนก็ยิ่งเขินอายและรีบผลักเย่จิ่งอวี้ออกไป“ท่านแม่ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าไม่เป็นไรแล้วเจ้าค่ะ”นอกจากความอ่อนเพลียเล็กน้อย อินชิงเสว