ฟางรั่วรับน้ำพุวิญญาณมาอย่างไม่ลังเล และดื่มหมดในครั้งเดียวจากนั้นก็ลุกขึ้นพูดว่า “ข้าน้อยจะไปปฏิบัติภารกิจเดี๋ยวนี้”นางเปิดประตูด้วยฝีเท้าที่โซเซ เดินออกไปอย่างล้มลุกคลุกคลานเย่จิ่งอวี้เหลือบมองอินชิงเสวียนและถามว่า “ท่าทางของนางจะไหวหรือไม่?”อินชิงเสวียนพูดอย่างราบเรียบว่า “นี่คือทางที่นางเลือกด้วยตัวเอง แม้ต้องร้องไห้ก็เดินให้ถึง”นี่ถือเป็นการฝึกฝนฟางรั่วในอีกรูปแบบหนึ่ง ผู้ที่กระทำการใหญ่ต้องเริ่มจากลำบากกายาเคี่ยวเข็ญถึงเอ็นกระดูก ให้อดทนอดอยากอาหาร นี่คือคำพูดที่โด่งดังชั่วกาลเส้นทางเมื่อวัยเยาว์ ฟางรั่วไม่มีสิทธิ์ได้เลือก วันนี้นางเติบโตเป็นผู้ใหญ่แล้ว นางควรจะรับผิดชอบต่อการตัดสินใจของตัวเองเย่จิ่งอวี้เลิกคิ้ว รู้สึกราวกับว่าภาวะจิตใจของเด็กสาวคนนี้เปลี่ยนไปอีกแล้ว นางมีพลังอำนาจมากยิ่งขึ้น ดวงตาที่เหมือนพระจันทร์เสี้ยวนั้นมั่นคงและกล้าหาญ ถือเป็นสตรีผู้ไม่ยอมเป็นรองบุรุษอย่างแท้จริงอินชิงเสวียนหันหน้ามา เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งอวี้ยิ้มตาหยีและมองมาที่ตัวเอง ก็ถามขึ้นด้วยรอยยิ้มอย่างอดไม่ได้ “เหตุใดท่านจึงมองข้าเช่นนี้?”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความจริงใจว่า “ข้า
“พ่ะย่ะค่ะ”ท่านอ๋องโมริตะหมอบกราบลงบนพื้นทันที ร่างกายที่อวบอ้วนราวกับลูกบอลหนังขนาดใหญ่ น่าขันเป็นอย่างมากจักรพรรดิลุกขึ้นยืนด้วยใบหน้าอึมครึม และพูดเสียงเยือกเย็นว่า “นี่เป็นโอกาสครั้งสุดท้าย หากพวกเรายังทำได้ไม่ดี ข้าจะสังหารชาวตงหลิวกลุ่มแรกก่อน เพื่อลดแรงกดดันด้านอาหารที่น้อยลง ข้าจะเริ่มจากขุนนางอย่างพวกเจ้าก่อน และปฏิบัติต่อทุกคนอย่างเท่าเทียมกัน!”เมื่อพูดจบ จักรพรรดิก็เดินเข้าไปในห้องโมริตะและคนอื่นๆ ต่างมองหน้าซึ่งกันและกัน ทำได้เพียงเดินออกไปจากวังหลวงเมื่อมาถึงด้านนอก ทั้งสามก็พูดเรื่องน่าเบื่อหน่าย“ไม่ใช่ว่าใช้ทางอ้อมไม่ได้ แต่การเดินทางทางทะเลในระยะไกล จำเป็นต้องใช้กำลังทหารจำนวนมากอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้”“แต่ยังดีกว่าการที่พวกเราถูกเชือด”ท่านอ๋องโมริตะลูบเคราบางของเขา และพูดเสียงโหดเหี้ยมว่า “ครั้งนี้ไมจำเป็นต้องใช้กองทหารขนาดใหญ่ ตามหาทหารที่เชี่ยวชาญทางน้ำ และคัดเลือกชาวตงหลิวที่มีรูปร่างคล้ายชาวดินแดนจงหยวนเพื่อลักลอบเข้าไป เป้าหมายของพวกเราคือพิณการเวก ตราบใดที่สามารถทำลายพิณนี้ได้ สงครามครั้งนี้ก็มีความเป็นไปได้อย่างมากที่จะได้รับชัยชนะ”ขณะนั
ในขณะที่เฟิงเอ้อร์เหนียงจากไป อินสิงอวิ๋นก็พาหัวหน้าหมอหลวงเหลียงเร่งรุดกลับมายังจวนแม่ทัพสิบห้านาทีก่อนหน้า จู่ๆ เป่าเล่อเอ่อร์ก็ปวดท้องอย่างรุนแรง อินปู้อวี่ไปตามหมอถึงสองคน และทั้งสองก็บอกว่ามีภาวะแท้งคุกคาม ทำให้ซูหมิงหลานลนลานจนมือไม้พันกันไปหมดนี่เป็นหลานคนแรกของตระกูลอิน ไม่ว่าอย่างไรก็ห้ามเป็นอะไรเด็ดขาด จึงให้อินสิงอวิ๋นไปหาหมอหลวงเหลียงโดยรวดเร็วเมื่อเห็นใบหน้าของเป่าเล่อเอ่อร์ที่ซีดลงด้วยความเจ็บปวด อินสิงอวิ๋นก็เร่งร้อนขี่ม้าเข้าไปในวังหลวงทันทีหลังจากที่เย่จั้นทราบเรื่อง ก็ให้หมอหลวงเหลียงออกจากวังไปตรวจรักษาทันที ทั้งสองจึงเร่งรุดจนมาถึงตระกูลอิน ในขณะที่เป่าเล่อเอ่อร์ก็เกือบจะเป็นลมหมดสติหมอหลวงเหลียงรีบหยิบกล่องยาออกมา แล้วตรวจชีพจรมีภาวะแท้งคุกคามจริงๆ แต่กลับดูไม่เหมือนภาวะแท้งธรรมดาชีพจรของเป่าเล่อเอ่อร์ไม่ลอย อีกทั้งเลือดและลมปราณยังไม่ทรุดโทรม ร่างกายแข็งแรงมาก ภายใต้ถานการณ์เช่นนี้ เป็นไปไม่ได้ที่จะมีอาการแท้ง นี่เป็นเพราะสาเหตุใดกันแน่“หมอหลวงเหลียง เป่าเล่อเอ่อร์เป็นอย่างไรบ้าง”อินสิงอวิ๋นถามอย่างเร่งร้อนก่อนหน้านี้ยังปกติดี ไม่มีสัญญาณใดๆ มา
อินสิงอวิ๋นควบม้าเร็วเข้าวังหลวงอีกครั้งหมอหลวงเหลียงกำลังเดินเตร่อยู่ในสำนักหมอหลวงเขาชอบที่จะศึกษาค้นคว้าทักษะทางการแพทย์มากที่สุดในชีวิต เมื่อใดก็ตามที่เขาเผชิญกับโรคที่ยากและซับซ้อน ก็ต้องการที่จะศึกษาให้เข้าใจอย่างถ่องแท้และความเจ็บป่วยขององค์หญิงน้อยเจียงวูคนนี้พบได้ยากมากหลังจากคิดอย่างรอบคอบเกี่ยวกับชีพจรในขณะนั้น พบว่าค่อนข้างคล้ายกับชีพจรของฮ่องเต้เมื่อเดือนที่แล้วราวกับว่ามีบางอย่างซ่อนอยู่ในร่างกาย ที่กำลังผลักทารกในครรภ์ขององค์หญิงน้อยเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ หมอหลวงเหลียงก็รีบพลิกตำราโบราณทันทีจำได้ว่าอาจารย์เคยกล่าวไว้ว่า มีชีพจรกู่ชนิดหนึ่งที่เป็นแบบนี้ หรือว่าทั้งฝ่าบาทและองค์หญิงน้อยมีหนอนกู่อยู่ในร่างกาย?หมอหลวงเหลียงรีบปีนขึ้นไปบนชั้นหนังสือ แล้วหยิบม้วนตำราที่อาจารย์ทิ้งไว้ออกมาเปิดดู เมื่อเห็นแวบแรก พบว่าดูคล้ายกันมากจริงๆโดยไม่ต้องให้เสียเหงื่อ เขารีบถือกล่องยาแล้ววิ่งไปที่ห้องหนังสือในเวลาเดียวกัน อินสิงอวิ๋นก็มาที่ห้องหนังสือด้วย เขามาที่นี่เพื่อขอน้ำพุวิญญาณ เพื่อรักษาชีวิตของเป่าเล่อเอ่อร์น้องหญิงใหญ่และฮ่องเต้น้อยพำนักอยู่ในตำหนัก ไม่แน่ว่าอา
ณ เป่ยไห่หลังจากการทำงานหนักหลายวันหลายคืน ท้องเรือก็ถูกเชื่อมเรียบร้อยช่างฝีมือเหล่านี้ล้วนเป็นแม่ทัพชำนาญการในด้านหนึ่ง แถมยังมีความสามารถ เมื่อรู้ว่าจุดประสงค์ของการสร้างเรือคือเพื่อทำลายแหล่งซ่องสุมของชาวตงหลิว พวกเขาก็ทำงานอย่างกระตือรือร้นยิ่งขึ้นหลังจากได้สัมผัสกับงานเชื่อมไฟฟ้าและอุปกรณ์ที่ทันสมัยมากมาย พวกเขายิ่งศรัทธาพวกของอินชิงเสวียนประหนึ่งเทพเจ้าก็ไม่ปานตอนที่เพิ่งมาถึงที่นี่ ทุกคนคิดว่าเป็นไปไม่ได้ พวกเขาต่างก็เกิดและเติบโตอยู่ที่ชายฝั่งทะเล ไม่มีผู้ใดไม่รู้ว่าทะเลนั้นน่ากลัว เรือเล็กๆ ทั่วไปนั้น เจอคลื่นลมแค่ลูกเดียวก็พลิกคว่ำแล้ว การออกทะเลไปหาพวกตงหลิวไม่รู้ว่าต้องผ่านคลื่นลมกระแสน้ำอีกมากเท่าใด เช่นนี้จะไปไหวหรือตอนนี้เมื่อมองดูเรือขนาดยักษ์ที่มีขนาดเท่าลานบ้านทั่วไปที่มีบ้านสิบหลัง ในที่สุดทุกคนก็เชื่อแล้วช่วงกลางวันต่งจื่ออวี๋ได้นำศิษย์หลายคนจากสำนักมาช่วย เด็กทึ่มคนนี้ดูเหมือนจะมีเรี่ยวแรงเหลือเฟือ มีความสามารถมากทีเดียวอินชิงเสวียนหาโอกาสถามถึงเรื่องของลิ่นเซียว คำตอบที่ได้รับก็คล้ายๆ กัน ดูเหมือนว่าต่งจื่ออวี๋จะไม่รู้อะไรเลยจริงๆ อินชิงเสวียนจึงต้อ
เมื่อกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ อินชิงเสวียนก็ไปพบเจ้าสำนักเซี่ยวพูดอย่างนอบน้อม “ผู้เยาว์มีเรื่องจะปรึกษากับท่านตาเจ้าค่ะ”เจ้าสำนักเซี่ยวพูดด้วยรอยยิ้ม “ทุกคนต่างก็เป็นคนในครอบครัว มีอะไรจะพูด ก็พูดมาได้เลย”“เพื่อหลีกเลี่ยงไม่ให้มีคนนึกถึงแต่เรื่องนี้ ผู้เยาว์ไม่กล้าที่จะเอาน้ำพุวิญญาณออกมามากเกินไป แต่การทำให้ฝนน้ำพุวิญญาณตก ก็สามารถทำได้เจ้าค่ะ วันนั้นท่านตาและท่านแม่อาบน้ำพุวิญญาณ จึงเร่งให้การบาดเจ็บกลับมาเป็นปกติเร็วขึ้น หากลูกศิษย์ทุกคนโดนน้ำฝน ก็อาจได้รับผลเช่นเดียวกัน”หลังจากได้ยินคำพูดของอินชิงเสวียนแล้ว เจ้าสำนักเซี่ยวก็นั่งตัวตรงทันที“สามารถใช้น้ำพุวิญญาณทำให้เกิดฝนได้จริงหรือ?”นี่ของวิเศษอะไรกัน ถึงได้ขัดกฎธรรมชาติเช่นนี้!อินชิงเสวียนพยักหน้า“เรื่องนั้นไม่ใช่ปัญหาเจ้าค่ะ แต่เราต้องแน่ใจว่าศิษย์ทุกคนต้องโดนฝน เกรงว่าจะทำได้ยาก”นอกจากเหล่าศิษย์ลาดตระเวนแล้ว ก็ไม่มีใครที่จะวิ่งไปตากฝนเจ้าสำนักเซี่ยวครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องยาก สามารถอ้างเรื่องมาสักอย่าง เรียกศิษย์ทั้งหมดไปหารือกลางเมือง พวกเขาไม่กล้าหลบไปไหนอยู่แล้ว”อิน
ณ เป่ยไห่ ฝนตกวันฟ้าแจ้งเม็ดฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่เร็วหรือช้า นำมาซึ่งความเย็นสดชื่นฝนเริ่มตกเล็กน้อยในหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง ชาวบ้านบางคนอยากรู้อยากเห็น จึงมายืนดูบนถนน ถึงอย่างไรเรื่องฝนตกวันฟ้าแจ้งก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักบางคนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันที คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไขข้อรู้สึกได้ถึงอากาศเย็นที่ไหลผ่านข้อต่อของตนเอง หลังจากโดนฝน อาการก็ดีขึ้นมากจริงๆคนที่เป็นไข้ตัวร้อนเมื่อโดนฝน แทนที่จะอาการแย่ลง กลับรู้สึกว่าจมูกโล่ง คนทั้งคนรู้สึกสบายขึ้นมากทุกคนต่างจุ๊ปากอย่างประหลาดใจ ต่างเข็นผู้ป่วยในบ้านออกไปตากฝน แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถบรรเทาอาการได้ชาวบ้านต่างงุนงงกับปรากฏการณ์ประหลาดนี้ บางคนถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวขอบคุณฟ้าดิน นี่คงเป็นฝนที่สวรรค์ประทานให้ เป็นสวรรค์ที่เมตตาช่วยชีวิตคนเหล่าศิษย์ในเมืองก็ตกตะลึงเช่นกันฝนในเป่ยไห่ตกหนักกว่าในหมู่บ้านรอบๆ มาก เดิมทีทุกคนบ่นเรื่องการชี้แนะท่ามกลางสายฝนจากนั้นก็รู้สึกว่าฝนตกครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากปกติมาก เมื่อตกลงบนร่างกายดูเหมือนว่าจะซึมเข้าผิวหนังโดยตรง หลอมรวมเข้
ยิ่งเก่อหงยวนคิดมากเท่าใดก็ยิ่งไม่พอใจ พูดกับศิษย์ในสำนัก “พวกเจ้าน่ะ ใครจะไปดื่มกับข้าบ้าง”ในสำนักเทียนหยวนนั้น เก่อหงยวนเป็นคนที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจในกลุ่มมาโดยตลอด แค่เรียกหนึ่งคำก็มีเสียงตอบรับมานับร้อยเพียงครู่เดียวก็มีคนมามากกว่ายี่สิบคน เก่อหงยวนรีบทำมือบอกให้หยุด นางไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าสุรามากขนาดนั้น“เจ้า เจ้า แค่เจ้าสองคน ส่วนคนที่เหลือมีงานอะไรก็ไปทำ”หลังจากที่เก่อหงยวนชี้เรียกเสร็จ มือเล็กๆ ก็เอามือไพล่หลัง เดินหน้าเชิดไปที่เหลาสุราที่ชื่อว่าทะเลครามฟ้าใสในเวลานี้ มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันที่เหลาสุรา ทุกคนต่างพูดถึงฝนประหลาดนี้ ใครก็ตามที่ได้เปียกฝน จะได้รับผลในทางที่ดีไม่มากก็น้อยเมื่อเก่อหงยวนขึ้นไปชั้นบน ใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวทันทีทุกโต๊ะเต็มไปหมด เท่าที่ตาเห็นดูไม่มีที่ว่างเลยศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปที่มุมด้านขวาทันที“คุณหนูใหญ่ ตรงนั้นมีโต๊ะ อยู่กันแค่สองคน พวกเราไปขอแบ่งโต๊ะได้”ครั้นมองตามนิ้วของลูกศิษย์ เก่อหงยวนก็เห็นคุณชายน้อยสวมเสื้อคลุมตัวยามสีฟ้าเข้มทันที ผู้ที่นั่งถัดจากเขาก็เป็นเด็กรับใช้ที่ดูเฉลียวฉลาดทั้งสองกินข้าวไปพลาง มองออก
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล