ณ เป่ยไห่ ฝนตกวันฟ้าแจ้งเม็ดฝนค่อยๆ โปรยปรายลงมาจากท้องฟ้า ไม่เร็วหรือช้า นำมาซึ่งความเย็นสดชื่นฝนเริ่มตกเล็กน้อยในหมู่บ้านและเมืองใกล้เคียง ชาวบ้านบางคนอยากรู้อยากเห็น จึงมายืนดูบนถนน ถึงอย่างไรเรื่องฝนตกวันฟ้าแจ้งก็ไม่ได้มีให้เห็นบ่อยนักบางคนรู้สึกได้ถึงความแตกต่างทันที คนที่เป็นโรคเกี่ยวกับไขข้อรู้สึกได้ถึงอากาศเย็นที่ไหลผ่านข้อต่อของตนเอง หลังจากโดนฝน อาการก็ดีขึ้นมากจริงๆคนที่เป็นไข้ตัวร้อนเมื่อโดนฝน แทนที่จะอาการแย่ลง กลับรู้สึกว่าจมูกโล่ง คนทั้งคนรู้สึกสบายขึ้นมากทุกคนต่างจุ๊ปากอย่างประหลาดใจ ต่างเข็นผู้ป่วยในบ้านออกไปตากฝน แม้ว่าจะไม่สามารถรักษาโรคให้หายขาดได้ แต่ก็สามารถบรรเทาอาการได้ชาวบ้านต่างงุนงงกับปรากฏการณ์ประหลาดนี้ บางคนถึงกับคุกเข่าลงกับพื้น กล่าวขอบคุณฟ้าดิน นี่คงเป็นฝนที่สวรรค์ประทานให้ เป็นสวรรค์ที่เมตตาช่วยชีวิตคนเหล่าศิษย์ในเมืองก็ตกตะลึงเช่นกันฝนในเป่ยไห่ตกหนักกว่าในหมู่บ้านรอบๆ มาก เดิมทีทุกคนบ่นเรื่องการชี้แนะท่ามกลางสายฝนจากนั้นก็รู้สึกว่าฝนตกครั้งนี้ดูเหมือนจะแตกต่างไปจากปกติมาก เมื่อตกลงบนร่างกายดูเหมือนว่าจะซึมเข้าผิวหนังโดยตรง หลอมรวมเข้
ยิ่งเก่อหงยวนคิดมากเท่าใดก็ยิ่งไม่พอใจ พูดกับศิษย์ในสำนัก “พวกเจ้าน่ะ ใครจะไปดื่มกับข้าบ้าง”ในสำนักเทียนหยวนนั้น เก่อหงยวนเป็นคนที่ได้รับการพะเน้าพะนอเอาใจในกลุ่มมาโดยตลอด แค่เรียกหนึ่งคำก็มีเสียงตอบรับมานับร้อยเพียงครู่เดียวก็มีคนมามากกว่ายี่สิบคน เก่อหงยวนรีบทำมือบอกให้หยุด นางไม่มีเงินมากพอที่จะจ่ายค่าสุรามากขนาดนั้น“เจ้า เจ้า แค่เจ้าสองคน ส่วนคนที่เหลือมีงานอะไรก็ไปทำ”หลังจากที่เก่อหงยวนชี้เรียกเสร็จ มือเล็กๆ ก็เอามือไพล่หลัง เดินหน้าเชิดไปที่เหลาสุราที่ชื่อว่าทะเลครามฟ้าใสในเวลานี้ มีคนจำนวนมากมารวมตัวกันที่เหลาสุรา ทุกคนต่างพูดถึงฝนประหลาดนี้ ใครก็ตามที่ได้เปียกฝน จะได้รับผลในทางที่ดีไม่มากก็น้อยเมื่อเก่อหงยวนขึ้นไปชั้นบน ใบหน้าของนางก็บิดเบี้ยวทันทีทุกโต๊ะเต็มไปหมด เท่าที่ตาเห็นดูไม่มีที่ว่างเลยศิษย์ที่อยู่ข้างๆ ชี้ไปที่มุมด้านขวาทันที“คุณหนูใหญ่ ตรงนั้นมีโต๊ะ อยู่กันแค่สองคน พวกเราไปขอแบ่งโต๊ะได้”ครั้นมองตามนิ้วของลูกศิษย์ เก่อหงยวนก็เห็นคุณชายน้อยสวมเสื้อคลุมตัวยามสีฟ้าเข้มทันที ผู้ที่นั่งถัดจากเขาก็เป็นเด็กรับใช้ที่ดูเฉลียวฉลาดทั้งสองกินข้าวไปพลาง มองออก
เก่อหงยวนปรายตามอง อดไม่ได้ที่จะแอบถ่มน้ำลายออกมาไอ้หนอนหนังสือบ้านี้ ตัวเองพาเขามาที่นี่เพื่ออวด แต่เขากลับมองอย่างตะลึงเสียก่อน น่าขายหน้าจริงๆ“นี่ เจ้ามองอะไร คนเขามีสามีแล้ว”เก่อหงยวนใช้ข้อศอกกระทุ้งเขาแรงๆ อย่างไม่สบอารมณ์เฮ่อฉางเฟิงไอแห้งๆ รีบเบือนหน้าไปทางอื่นพูดจาด้วยภาษากวี “แม่นางอินเป็นเหมือนบุปผากลางธารา ดวงจันทราบนท้องฟ้า ช่างเหมือนกับนางฟ้า เป็นข้าน้อยที่ล่วงเกินแล้ว”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ คิดในใจว่า หรือว่าคนผู้นี้จะเป็นจอมยุทธ์เจ้าสำอาง ทำไมถึงดูเหมือนเป็นหนอนหนังสือเช่นนี้รอยยิ้มนี้เปรียบเสมือนดอกไม้บานสะพรั่ง ณ ขณะนั้นโลกดูเหมือนจะสูญสิ้นสีสันไป ดูสง่างาม บริสุทธิ์ มีเสน่ห์แต่ไม่ชั่วร้ายหัวใจของเฮ่ออวิ๋นเฟิงไม่เพียงรู้สึกปั่นป่วนเล็กน้อยเท่านั้น แต่ยังรู้สึกถึงความสนิทใจที่อธิบายไม่ได้และต้องการใกล้ชิดกับนางมากขึ้น“คุณชายเฮ่อยกย่องเกินไปแล้ว อวี้จิ่น ไปชงชามาหน่อย แม่นางหงยวน คุณชายเฮ่อเชิญ”อินชิงเสวียนเบี่ยงตัวหลบไปด้านข้างเล็กน้อย แล้วผายเชิญทั้งสองขึ้นไปที่ศาลาจู่ๆ เก่อหงยวนก็หมดความสนใจในการเปรียบเทียบ ประกบมือคำนับแล้วพูดว่า “ข้าออกมาข้างนอ
หยวนเป่ากะพริบตาปริบๆ แล้วถามว่า “เป็นใครหรือ”ดวงตาของเฮ่อฉางเฟิงหรี่ลงเล็กน้อย“ไม่ต้องถามอะไรอีก ไปหาที่พักก่อน”เมื่อเห็นว่าสีหน้าของคุณชายเริ่มจริงจัง หยวนเป่าก็ไม่กล้าพูดอะไรอีกสองนายบ่าวเจอโรงเตี๊ยมหลังหนึ่งจึงแวะพักอยู่ที่นั่นซึ่งบรรยากาศที่หนาวเย็นนั้น ก็หายไปเมื่อทั้งสองคนจากไปอินชิงเสวียนพ่นลมหายใจออกช้าๆในเวลานี้ มีมือข้างหนึ่งวางบนไหล่ของนาง ทำให้อินชิงเสวียนตกใจ นางหันขวับ ก็เห็นเรียวตาแคบคู่หนึ่ง“เป็นอะไรไปหรือ”เมื่อเห็นใบหน้าของอินชิงเสวียนซีดลงเล็กน้อย เย่จิ่งอวี้ก็โอบกอดนางทันทีอินชิงเสวียนกระตุกมุมปาก“ไม่มีอะไร”“เสวียนเอ๋อร์สังเกตพบอะไรงั้นหรือ”ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ลึกล้ำ จ้องมองไปที่อินชิงเสวียนอย่างแน่วแน่เขารู้ความสามารถในการรับรู้ของหญิงสาวเป็นอย่างดี หากไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น นางจะไม่แสดงสีหน้าเช่นนี้ออกมาอินชิงเสวียนรู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถปิดบังเย่จิ่งอวี้ได้ จึงพูดตามความจริง “เมื่อครู่มีกระแสที่เป็นเจตนาร้าย แต่ไม่นานก็หายไป ข้าไม่แน่ใจว่าเป็นคนนั้นหรือเปล่า แต่รู้สึกได้ถึงความเคียดแค้นอย่างที่สุด”เย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้า แล้วเหาะขึ้น
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดอินชิงเสวียนก็ผล็อยหลับไปก่อนนอนมีความคิดเดียวในใจ นิทานกล่อมนอนของเย่จิ่งอวี้ที่มุมานะทำอย่างตั้งใจนั้น น่ากลัวยิ่งกว่าเรื่องเณรน้อยบนภูเขาเสียอีก...หลังจากนอนหลับจนถึงเที่ยง อินชิงเสวียนก็ลืมตาขึ้นด้วยความพึงพอใจเย่จิ่งอวี้กำลังนั่งข้างบ่อน้ำพุวิญญาณโดยที่เปลือยท่อนบนอยู่ แผ่นหลังแข็งแรง มีเส้นเลือดโผล่ออกมาจากแขน ดูมีพลังแข็งแกร่งยิ่งนักเมื่อคิดถึงพายุโหมรุนแรงเมื่อคืนนี้ อินชิงเสวียนรู้สึกแข้งขาอ่อนแรงนางรีบไปที่บ่อน้ำพุ แล้วใช้มือวักน้ำขึ้นมาดื่ม หลังจากดื่มแล้ว ก็รู้สึกสดชื่นในลำคอ ร่างกายฟื้นฟูขึ้นในทันทีพอได้ยินเสียง เย่จิ่งอวี้ก็ลืมตาขึ้นเช่นกัน“นอนหลับเป็นอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนกลอกตามองเขาอย่างไม่สบอารมณ์“ท่านคิดว่าอย่างไรล่ะ”เย่จิ่งอวี้ยื่นมือออกไปรั้งตัวนางเข้ามาในอ้อมแขน แล้วถามด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาว่า “หรือว่านิทานของข้า ไม่ดีพองั้นหรือ”อินชิงเสวียนเหยียดกำปั้นออก ชกหน้าอกของเขาเบาๆ“ไม่ดี ครั้งหน้าท่านเล่าเรื่องกาลครั้งหนึ่งมีภูเขาลูกหนึ่งดีกว่า!”“เจ้าบอกเองนะ”เย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างมีความสุข ยกเข่าลุกขึ้นยืน“น่า
เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นเฮ่อฉางเฟิงที่กำลังแสดงสีหน้ายินดีทันทีเขายืนอยู่ข้างเรือ โบกมือให้อินชิงเสวียนอย่างแรง ราวกับว่ากลัวว่าจะไม่มีใครเห็นหยวนเป่าที่อยู่ข้างๆ เขากระซิบด้วยเสียงแผ่วเบา “แม้ว่าข้าจะพบกับเจ้าเมือง ก็ไม่เคยเห็นคุณชายแสดงท่าทางสนิทสนมแบบนี้มาก่อน”เฮ่อฉางเฟิงหันกลับมาและตบหน้าเขา“ขืนกล้าพูดไร้สาระอีก ข้าจะใช้เข็มเย็บปากเจ้าซะ”ชายคนนั้นได้หิ้วเสื้อคลุม และเดินข้ามโขดหินก้อนใหญ่ริมทะเลไปหาอินชิงเสวียนหยวนเป่าคลำศีรษะป้อย โชคดีที่คุณชายไม่ได้โกรธจริงๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะต้องถูกตบหัวดังเพียะเพราะความโง่เขลาของเขาเย่จิ่งหลานก็หยุดชะงัก และขมวดคิ้วเช่นกัน“คนป่านี่มาจากไหนอีก”อินชิงเสวียนเอื้อมมือไปหยิกเขา“คนป่าหมายความว่าอย่างไร สูบบุหรี่อยู่ก็ไม่สามารถอุดปากเจ้าได้!”หลังจากพูดจบก็หันไปหาเฮ่อฉางเฟิงด้วยรอยยิ้ม“ทำไมคุณชายถึงมาที่ชายหาดได้”“มาที่เป่ยไห่ทั้งที หากไม่ได้มาเห็นความยิ่งใหญ่และความงามของท้องทะเล จะต้องเสียใจอย่างยิ่ง คิดไม่ถึงว่าแม่นางอินก็อยู่ที่นี่ด้วย แม่นางอินและข้าน้อยมีชะตาต้องกันจริงๆ”มุมปากของเฮ่อฉางเฟิงยกขึ้นเล็กน้อย สีหน้า
เมื่อสบตากัน สีหน้าของฉุยอวี้ก็ซับซ้อนขึ้นเล็กน้อยเพราะอยู่ห่างไกลกันเกินไป อินชิงเสวียนจึงไม่เห็นสีหน้าของฉุยอวี้ชัดเจน ทั้งยังไม่ต้องการมีปฏิสัมพันธ์กับนางมากเกินไปจากนั้นก็นึกถึงหยกเย็นพันปีที่ตัวเองเก็บไว้ในมิติ นางได้มอบสิ่งล้ำค่าให้ หากทำเมินเฉยเหมือนมองไม่เห็นเช่นนี้ ก็ดูจะใจดำเกินไปหลังจากคิดเรื่องนี้แล้ว อินชิงเสวียนยังรู้สึกว่าต้องไปทักทายนางยกกระโปรงขึ้น ก้าวข้ามก้อนหินใต้เท้า แล้วเดินไปทางฉุยอวี้“ทำไมเจ้าสำนักฉุยถึงมาที่ชายทะเลได้เล่า”อินชิงเสวียนยิ้มบางๆ น้ำเสียงเรียบๆ ไม่กระตือรือร้นหรือห่างเหิน ความมืดมนบนใบหน้าของฉุยอวี้หายไปทันที เผยรอยยิ้มอันใจดี“ได้ยินมาว่าระยะนี้หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์กำลังต่อเรือ ก็เลยอยากมาดู ว่าจะช่วยงานอะไรได้บ้าง”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มใสกระจ่าง “เจ้าสำนักฉุยเกรงใจไปแล้ว สำนักเราได้จ้างช่างฝีมือ ตอนนี้กำลังคนก็ยังเพียงพอ หากมีความจำเป็น ชิงเสวียนจะไปรบกวนถึงประตูบ้านอย่างแน่นอน”“ดีแล้ว”ฉุยอวี้เหลือบมองที่ด้านข้างของเรือ แล้วพูดว่า “ใกล้จะถึงวันสิ้นปีแล้ว ไม่ทราบว่าแม่นางอินมีแผนอะไรหลังตรุษจีน”อินชิงเสวียนยิ้มเล็กน้อย
ความคิดหยุดอยู่แค่นี้ ฉุยอวี้กระตุกริมฝีปากยิ้ม “ในเมื่อเจ้าไม่เชื่อข้า วันนั้นทำไมเจ้าถึงทิ้งตำหนักเทพแล้วจากมากับข้า”เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดอย่างเย็นชา “นั่นเป็นเพราะข้าต้องการจับตาดูเจ้า ยิ่งอยากเห็นว่าคนเนรคุณเช่นเจ้า จะสามารถแสวงหาชื่อเสียงและโชคลาภได้ไกลแค่ไหน”ฉุยอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมาจิบ แล้วถามอย่างสงบ “แล้วเจ้าเห็นอะไร”เฟิงเอ้อร์เหนียงตอบว่า “ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาเจ้าทำอะไรไว้ ยังต้องให้ข้าอธิบายทุกเรื่องหรือไม่ในเวลาเพียงไม่กี่ปี เจ้าได้กลายเป็นหนึ่งในสำนักที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในใต้หล้า วิธีการของเจ้า ร้ายกาจมากกว่าเด็กสาวใต้อาณัติข้าด้วยซ้ำ”สิ่งที่เฟิงเอ้อร์เหนียงพูดนั้นไม่น่าฟัง ไม่ว่าชื่อเสียงของสำนักเซียวเหยาจะเป็นอย่างไร ฉุยอวี้ก็เป็นเจ้าสำนัก แต่เฟิงเอ้อร์เหนียงเปรียบเทียบนางกับหญิงสาวในหอนางโลม หากคำพูดเหล่านี้ออกมาจากปากคนอื่น คนผู้นั้นคงไม่เหลือหัวแล้วฉุยอวี้ยังคงดูสงบ ไม่รู้สึกไม่พอใจนางยืนขึ้น เดินไปที่หน้าต่าง แล้วพูดด้วยน้ำเสียงไม่แยแส “ผู้ชนะเป็นเจ้า ไม่จำเป็นต้องสนใจขั้นตอน ยิ่งไม่จำเป็นต้องยึดติดกับรายละเอียด ตราบใดที่ผลลัพธ์ถูกต้อง เส้นทางนี้เลือกไม่ผิดแน่”
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล