“อาอวี้ ท่านเป็นอะไรไป”อินชิงเสวียนรีบไปที่น้ำพุวิญญาณ หน้าผากของเย่จิ่งอวี้มีเหงื่อผุดพรายเป็นเม็ดๆ“เหมือนฝันเลย”เย่จิ่งอวี้คุกเข่าลง ล้างหน้าด้วยน้ำพุวิญญาณ แล้วจึงรู้สึกสดชื่นในทันที“ข้าไม่เป็นไร ไม่ต้องห่วง”เขาหันไปหาอินชิงเสวียน เผยรอยยิ้มอันสดใสอินชิงเสวียนนั่งลงข้างๆ เขา มองดูเขาแล้วถามว่า “ความฝันอะไรหรือ”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างสบายๆ “ฝันว่าข้าถูกจับไว้ในวงกลมสีแดง อาจเป็นเพราะช่วงนี้ต่อสู้กับคนตงหลิวตลอด เรื่องมีความคิดฟุ้งซ่านแล้ว”อินชิงเสวียนตอบอ้อ และถามว่า “คราวนี้ไม่รู้สึกอะไรอีกแล้วหรือ”เย่จิ่งอวี้หยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดหน้า พูดด้วยความผิดหวังเล็กน้อย “ไม่มี บางทีความทรงจำเดียวที่ข้าลืม คือความทรงจำที่เกี่ยวกับเจ้าสำนักเซี่ยว”อินชิงเสวียนปลอบใจเขา “ถ้าอย่างนั้นก็อย่าคิดมาก ถึงอย่างไรเมื่อรถถึงหน้าภูเขาแล้วย่อมมีทางวิ่งต่อ เรือถึงสะพานย่อมมีทางไป”“อื้ม คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ ไม่สู้ใช้เวลาว่างมาพักผ่อนให้เต็มที่ดีกว่า”เย่จิ่งอวี้กระตุกมุมปากยิ้ม จากนั้นเอื้อมมือออกไปกอดอินชิงเสวียนเมื่อคิดถึงเหตุการณ์พัวพันเมื่อครู่ อินชิงเสวียนก็ดิ้นรนทันที“ท่านป
อินชิงเสวียนเห็นพฤติกรรมแปลกๆ ของเย่จิ่งอวี้ จึงเดินปรี่เข้ามาทันที“อาอวี้ ท่านเป็นอะไรไป”เย่จิ่งอวี้รู้สึกตัว คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไร ข้าแค่เห็นทะเลเป็นครั้งแรก แค่ตกใจนิดหน่อย”อินชิงเสวียนพูดด้วยสีหน้ายิ้มๆ “ก็น่าตกใจจริงๆ เมื่อเห็นทะเลจิตใจของคนทั้งคนก็ดูกว้างขวางขึ้นมาก”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยสายตาอ่อนโยน “เป็นเช่นนี้จริง คนโบราณจึงมักเปรียบเทียบปณิธานกับทะเล”อินชิงเสวียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “น่าเสียดายที่ปณิธานแบบนี้ไม่มีทั่วไป ท้ายที่สุดแล้วเราทุกคนก็เป็นคนธรรมดา”เย่จิ่งอวี้เอามือไพล่หลัง มองทะเลแล้วพูดว่า “มนุษย์หาใช่ปราชญ์ไม่ เพราะเหตุนี้แล”อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจเบาๆ ใช่แล้ว มนุษย์ไม่ใช่นักปราชญ์ มีสักกี่คนที่ปราศจากความต้องการไร้ซึ่งความปรารถนา เมื่อมองไปที่อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นที่วิ่งไล่ตามคลื่นไกลๆ อินชิงเสวียนก็รู้สึกว่าตัวเองเหมือนจะคิดมากเกินไปจริงๆ แล้วการมีความต้องการก็ไม่ได้เลวร้ายเสมอไป ผู้ที่ปรารถนาให้กินอิ่มนอนอุ่นก็คือความสุข ส่วนผู้ที่ปรารถนาความมั่งคั่ง หากสามารถหาเงินได้เพียงเล็กน้อย ก็จะมีความสุขไปอีกครึ่งวันและตัวเองในฐา
ทั้งสองนั่งศึกษาค้นคว้าอยู่ในห้อง โดยหลักการพื้นฐานได้พอสมควรแล้ว เหลือเพียงการติดตั้งในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์มีลูกศิษย์ไม่มีขาดแคลน เมื่อเซี่ยวอิ๋นหวนเรียนรู้ว่าพวกเขากำลังจะไปตั้งค่ายกลบนชายหาด เดิมทีก็คิดว่าเป็นค่ายกลสามพรสวรรค์อะไรเทือกนั้น จึงเรียกลูกศิษย์ที่เชื่อถือได้สิบห้าคนทันทีทุกคนช่วยกันนำอุปกรณ์ติดตั้งมาถึงชายฝั่งทะเลเป่ยไห่ในตอนกลางคืน อินชิงเสวียนหยิบไฟกลางแจ้งออกมาเพื่ออำนวยความสะดวกในการติดตั้งให้เย่จิ่งหลานลูกศิษย์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ต่างประหลาดใจกับสิ่งที่ส่องแสงสิ่งนี้มาก อินชิงเสวียนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องโกหกตบตาพวกเขาไปก่อนซึ่งเย่จิ่งอวี้คุ้นเคยกับสิ่งแปลกประหลาดนี้อยู่แล้ว ทุกคนต่างก็ยุ่งกันจนดึกดื่น แล้วจึงลากแหไฟฟ้าลงทะเลไปหลายร้อยเมตร และติดตั้งกังหันลมกำลังสูงสามตัวข้างๆหลังจากต่อไฟฟ้าแล้ว ก็มีเสียงซู่ๆ อยู่ใต้น้ำ โชคดีที่น้ำทะเลมีขนาดใหญ่มาก ไม่นานก็กลบเสียงได้ลูกศิษย์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ไม่เคยเห็นเทคโนโลยีขั้นสูงเช่นนี้มาก่อน ไม่รู้ว่ามีไว้สำหรับอะไร แต่ถ้าบอกว่าเป็นค่ายกล ก็ดูไม่เหมือนเลย ทั้งหมดไม่กล้าถาม ดังนั้นจึงกลับไปพัก
เย่จิ่งหลานมองไปที่อินชิงเสวียนทันที ทั้งสองคนสบตากันแล้วเบนสายตาทันควัน ต่างนึกถึงคนตงหลิวพวกนั้นที่แอบเข้าไปในเมืองหลวง“เจ้าสำนักเซี่ยวทราบหรือไม่ว่าเป็นฝีมือใคร?”อินชิงเสวียนถามเบาๆ เจ้าสำนักเซี่ยวขมวดคิ้วและพูดว่า “ต้องเป็นคนที่มาจากตงหลิวแน่ ในเมืองเติงหลงยังมีพื้นที่ติดชายทะเล คิดว่าพวกเลวระยำหมานี่คงขึ้นฝั่งที่นั่น”เย่จิ่งหลานสบถสาปแช่งอย่างอดไม่ได้ “ไอ้พวกชาติหมา ถึงกับกล้าโจมตีราษฎรธรรมดา สารเลวจริงๆ”เจ้าสำนักเซี่ยวเห็นด้วยและกล่าวว่า “ด่าได้ดี คนเหล่านี้ไม่เพียงแต่ควักอวัยวะภายในของราษฎร แต่ยังกินเด็กห้าหกคนทั้งเป็นด้วย ตอนที่พวกเราไปถึง มีคราบเลือดอยู่ทั่วผนังและพื้น น่าหวาดเสียวยิ่งนัก”เมื่อได้ยินเช่นนี้ท้องไส้ของอินชิงเสวียนก็ปั่นป่วน นี่เป็นเหมือนวิธีการของเดรัจฉานร้ายพวกนั้นจริงๆไม่ว่าจะยุคไหน ก็ไร้มนุษยธรรมไม่แพ้กันมิน่าเล่าไอ้พวกเลวระยำหมานี่ถึงไม่ได้ขึ้นฝั่งทางนี้หลายวันแล้ว ที่แท้ก็ไปที่เมืองข้างๆ คนพวกนี้ล้วนฝึกวรยุทธ์ที่ผิดหลักทำนองคลองธรรม ต้องใช้คนเป็นๆ มาเสริมวรยุทธ์ของพวกเขาอินชิงเสวียนอยากนำน้ำพุวิญญาณของตัวเองออกมาแจกจ่ายให้ทุกคนคนละถ้วย แต่
อินชิงเสวียนตกใจ หันขวับกลับไปพลัน เจ้าสำนักเซี่ยวได้เหาะแขนเสื้อกระพือออกไปแล้วเย่จิ่งอวี้ก็มาที่ประตู คว้าข้อมือของอินชิงเสวียนไว้“เราก็ไปดูกัน”มืออันแข็งแกร่งโอบไหล่ แล้วก็เหาะออกไปจากลานบ้านหลังจากข้ามถนนเส้นหนึ่ง ทั้งสองได้กลิ่นคาวเลือดรุนแรงหัวใจของอินชิงเสวียนเต้นแรงหรือว่าผีแคระตงหลิวเหล่านั้นได้ร่อนลงบนเกาะแล้ว?ตอนที่ติดตั้งแหไฟฟ้า ก็มีการติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ด้วยหลายตัว อินชิงเสวียนหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาทันที แล้วมองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นใครมาที่เกาะเลยหรือว่ามีคนตงหลิวอาศัยอยู่บนชายฝั่งทะเลเป่ยไห่มาโดยตลอด?ขณะที่คิดเรื่องนี้ เย่จิ่งอวี้ก็เหาะลงจอดที่พื้นแล้วนอกจากเจ้าสำนักเซี่ยวแล้ว ยังมีชายชราอีกสองคนที่อินชิงเสวียนไม่เคยเห็นยืนอยู่ข้างๆ มีเสียงเสื้อผ้าปะทะลมดังพึ่บพั่บอยู่เป็นระยะๆ เห็นได้ชัดว่ามีคนกำลังมาที่นี่อินชิงเสวียนรีบก้าวไปข้างหน้า ภาพตรงหน้านางเกือบทำให้นางอาเจียนอาหารทะเลที่นางกินตอนบ่ายออกมาชายวัยกลางคนสองคนนอนอยู่บนพื้น ร่างกายเปียกโชกไปด้วยเลือดเกือบทั้งตัว ท้องถูกผ่าจากลำคอไปจนถึงเอว สามารถเห็นเลือดเนื้อที่กองอยู่บนพื้น และอวัยวะภายในก็ว
เก่อหงยวนเพียงรู้สึกมึนศีรษะ ส่วนคนกระเด็นถอยไปข้างหลังมีเสียงดังปัง ล้มหน้าหงายเนื่องจากมีคนสองคนเสียชีวิตกะทันหัน ทุกคนจึงอยู่ในความตึงเครียด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงอู้อี้อยู่ด้านหลัง จึงหันหลังกลับทันทีแทบทุกคนเห็นเก่อหงยวนล้มลงกับพื้นใบหน้าของเก่อหงยวนเปลี่ยนเป็นสีแดงจนถึงใบหูทันทีในไม่ช้านางก็ลุกขึ้นนั่งขัดสมาธิ ใช้แขนข้างหนึ่งวางบนเข่า แล้วเท้าคางบนฝ่ามือ ถลึงตามองและพูดว่า “มองอะไรกัน ข้าขอนั่งพักสักครู่ไม่ได้หรือ”ขณะที่พูด ผู้อาวุโสสวีก็มาถึงแล้วเขาขมวดคิ้วถามว่า “หงยวน เจ้าวิ่งมาตั้งแต่เมื่อไหร่”เก่อหงยวนหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดว่า “ข้าแค่อยากมาดูเรื่องสนุก แต่จู่ๆ ก็รู้สึกเหนื่อย ก็เลยนั่งพักอยู่ที่นี่ อาจารย์อาสวี ท่านไม่ต้องสนใจข้า ไปทำธุรกิจของท่านเถอะเจ้าค่ะ!”อินชิงเสวียนยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย เก่อหงคนนี้มีนิสัยเหมือนเด็ก...แค่คิดได้ครึ่งหนึ่ง จู่ๆ ก็รู้สึกมีหนามทิ่มที่หลังพออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็ไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในระยะ แต่ความรู้สึกยังคงไม่หายไป ทำให้นางยืนขึ้นด้วยความหนาวสั่นและสยดสยองเมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมาอีกครั้ง ทันใดนั้นก็รู้สึกถึงแรงกดดันที
อินชิงเสวียนตกใจ กำลังจะเรียกเย่จิ่งอวี้เข้ามาดู แต่คนผู้นั้นก็หายตัวไปแล้วหรือว่าตัวเองตาลาย หรือคนใกล้เคียงถูกโจมตีทีละคน จึงเกิดความสงสัยไปเอง?อินชิงเสวียนเปิดกล้องวงจรปิดดูอีกครั้ง ซึ่งก็มีร่างหนึ่งจริงๆ นางไม่ได้ดูผิดจากนั้นก็คิดอีกครั้ง บนชายฝั่งเป่ยไห่มียอดฝีมือมากมาย บางทีอาจมีผู้อาวุโสจากยุทธจักรคนอื่นไปลาดตระเวนชายหาด ไม่น่ามีอะไรต้องห่วงเมื่อเห็นดวงตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้หลับลง ราวกับว่าตกอยู่ในภวังค์ อินชิงเสวียนก็ถือโทรศัพท์ปัดเล่นไปมา ไม่นานก็ม่อยหลับไปในที่สุดเมื่อตื่นขึ้นมาก็เป็นเวลาเช้าของวันรุ่งขึ้นแล้วเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนขอบเตียง กำลังเล่นอยู่กับโทรศัพท์มือถือถ้าเขาไม่ได้สวมเสื้อผ้าของข้าวต้าโจว อินชิงเสวียนคงจะคิดว่าตัวเองได้กลับไปสู่ยุคปัจจุบันแล้ว“ทำไมถึงตื่นเช้าขนาดนี้”อินชิงเสวียนหาว พลางมองไปที่เย่จิ่งอวี้เย่จิ่งอวี้ยืดนิ้วออก เกาสันจมูกของนางเบาๆ“สายแล้ว ถ้าอยู่ในเมืองหลวง ข้าคงไปประชุมเช้านานแล้ว”วันธรรมดาเย่จิ่งอวี้มักจะตื่นตอนตีสี่ ถ้าตามเวลาในเมืองหลวง เวลานี้เขาคงไปประชุมได้สองชั่วยามแล้ว“อาอวี้อยากกลับเมืองหลวงไหม” อินชิงเสวียนถาม
“เชื่อว่าทุกท่านคงรู้อยู่แล้วว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อคืนนี้ วันนี้ที่เชิญทุกคนมาที่นี่ ด้วยหวังว่าทุกคนจะรวมตัวกันเป็นหนึ่ง ตามหาตัวสายลับที่ซ่อนอยู่บนชายฝั่งทะเลเป่ยไห่มาให้ได้”เฮ่ออวิ๋นทงเป็นคนแรกที่เอ่ยขึ้น สำนักกระบี่สังหารเป็นสำนักกระบี่อันดับหนึ่งในใต้หล้า ได้รับความเคารพยำเกรงอย่างสูง เป็นที่เข้าใจได้ว่าเขารับผิดชอบสถานการณ์โดยรวมทุกคนพยักหน้าทันที วิธีการของเมื่อวานโหดร้ายและเลวทรามอย่างยิ่ง ดูเหมือนฝีมือของชาวตงหลิวจริงๆผู้อาวุโสสวีกล่าวว่า “ข้าเห็นด้วยกับเรื่องนี้ หากไม่กำจัดสายลับ เหล่าลูกศิษย์ก็จะตกอยู่ในอันตรายที่ไม่อาจคาดเดาได้ เรารอนแรมมาไกลถึงที่นี่ แม้ว่าจะตาย ก็ต้องตายอย่างคุ้มค่า”เจ้าสำนักเซี่ยวเห็นด้วย “ใช่แล้ว”ซูถูเหลือบมองเจ้าสำนักเซี่ยว พูดกระทบกระแทกแดกดัน “ตามความเห็นของข้า อาจไม่ใช่คนตงหลิวก็ได้ อาจจะเป็นลูกศิษย์คนหนึ่งในสำนักบางสำนัก ใช้ประโยชน์จากน่านน้ำที่มีปัญหา เพื่อตกปลาในเวลาลำบาก ทำร้ายเพื่อนด้วยกัน”เจ้าสำนักเซี่ยวอารมณ์ร้อนอยู่แล้ว อีกทั้งยังไม่ชอบซูถูที่ใช้วิธีการไม่ชอบเพื่อให้ได้มาซึ่งชื่อเสียงเกียรติยศ จึงตบโต๊ะอย่างอดไม่ได้“ซูถู เจ้ากำลั