แววตาของเจ้าสำนักเซี่ยวแปลกไป ลดฝ่ามือลงทันทีเย่จิ่งอวี้กระโดดขึ้นไปในอากาศ อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยอย่างเย็นชา“เหตุใดเจ้าสำนักเซี่ยวถึงไม่สู้ต่อล่ะ”เซี่ยวอิ๋นหวนรีบห้ามเขา ดุด้วยเสียงแผ่วต่ำ “อวี้เอ๋อร์ อย่าไร้มารยาทกับเจ้าสำนัก”เจ้าสำนักเซี่ยวยังคงยืนมองดูเขานิ่งๆ แววตาเต็มไปด้วยความคิดที่ซ้อนเป็นชั้นๆ ทำให้ผู้คนไม่สามารถคาดเดาได้ในเวลานี้ มีเสียงเจื้อยแจ้วดังมาจากด้านหลัง“เด็จพ่อ สวยแม่!”เสี่ยวหนานเฟิงทนอยู่ในห้องไม่ไหวอีก เมื่อมองดูโคมไฟที่ห้อยอยู่ข้างนอก ก็ตะโกนว่าจะออกมาดูอวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องตามใจเขา อุ้มเด็กออกไปเสียงร้องอันนุ่มนิ่มนี้ทำให้ทุกคนหันกลับมาพร้อมกันสีแดงอ่อนๆ ในดวงตาของเย่จิ่งอวี้ค่อยๆ จางหายไปเจ้าสำนักเซี่ยวก็มองไปในระยะไกลเช่นกัน“เด็กนี่เป็นใคร?”อินชิงเสวียนก้าวออกไปรับเสี่ยวหนานเฟิง โค้งคำนับเล็กน้อยแล้วพูดว่า “นี่คือลูกชายของข้าและอาอวี้ เนื่องจากการเดินทางอันยาวนาน ผู้เยาว์ไม่วางใจที่จะทิ้งลูกไว้ในวัง จึงพาเขามาที่นี่ด้วยกัน”เมื่อได้ยินว่านี่คือหลานชายตัวน้อยของตัวเอง เซี่ยวอิ๋นหวนก็อดไม่ได้ที่จะตื่นเต้
ในเวลานี้ เจ้าสำนักเซี่ยวยืนอยู่บนยอดเขาด้วยดวงตาที่ลึกล้ำคู่หนึ่ง มองเข้าไปในค่ำคืนอันมืดมิดจากระยะไกล ปล่อยให้ลมหนาวพัดเสื้อคลุมพลิ้วสะบัด ส่งเสียงพึ่บพั่บดังสนั่น แต่เขายังคงยืนนิ่งไม่ไหวติงแสงจันทร์ทำให้เงาร่างของเขาทอดยาว ส่งเสริมให้ดูสง่าผ่าเผยเกรียงไกรมากขึ้น เขาเอามือไพล่หลัง คิ้วขาวขมวดมุ่น หัวใจเต้นตึกตักยากที่จะสงบลงได้นี่เป็นครั้งที่สองที่เขาได้เห็นดวงตาเช่นนี้ ครั้งแรก คือตู้เยี่ยนศิษย์ในสำนักของเขาถ้าวันนั้นจู่ๆ เขาไม่ได้คลุ้มคลั่ง เจ้าสำนักเซี่ยวคงจะไม่สังหารเขาภายใต้ฝ่ามือ แต่ทำไมเย่จิ่งอวี้ถึงทำเช่นนี้หรือว่าที่ตู้เยี่ยนทำอะไรบางอย่างกับเขายิ่งเจ้าสำนักเซี่ยวคิดเรื่องนี้มากเท่าไหร่ก็ยิ่งว้าวุ่นใจ ซึ่งสิ่งที่ทำให้เขาว้าวุ่นใจมากที่สุดก็คือ ประวัติชีวิตของตู้เยี่ยน เขาอาจจะ...เจ้าสำนักเซี่ยวกำลังจมอยู่ในห้วงความคิด เมื่อจู่ๆ ได้ยินเสียงเสื้อผ้าดังมาจากข้างหลัง พอหันกลับไป ก็ไม่มีใครอยู่ที่นั่นเขาอดไม่ได้ที่จะตะโกนด้วยความโกรธ “ใครมาพรางเป็นเทพแสร้งเป็นผีอยู่ที่นี่”คลื่นน้ำแผดคำรามอยู่ข้างหน้า พายุคลั่งหวีดหวิวข้างหลัง แต่กลับไม่มีใครตอบสนองเจ้าสำนักเซ
ท่ามกลางคลื่นและลมแรง ในที่สุดคืนเดือนหงายก็ต้อนรับแสงพระอาทิตย์ที่สาดส่องอินชิงเสวียนอาศัยอยู่ในหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ จึงไม่อาจตื่นสายเกินไปได้พอฟ้าสาง นางก็สวมเสื้อผ้าแล้วลุกขึ้นนั่งเมื่อเปิดประตู เห็นฮวาเชียนที่ถือชามยาอยู่ทันที“อรุณสวัสดิ์เจ้าค่ะท่านอาฮวา”อินชิงเสวียนยิ้มและกล่าวทักทายฮวาเชียนชอบอินชิงเสวียนมาก ถามอย่างอ่อนโยน “ทำไมเจ้าตื่นเช้าขนาดนี้”“นอนอิ่มพอแล้ว ท่านแม่ตื่นหรือยัง”“ตื่นมาสักพักแล้ว นี่คือยาที่หมอเทวดาหนิงให้ไว้ก่อนหน้านี้ ข้าจึงต้มมาหน่อย”“ข้ายังมีน้ำพุยาอยู่ ให้ท่านแม่ดื่มด้วยเถอะ”ก่อนอินชิงเสวียนเดินทางจากมา นางได้ทิ้งน้ำพุวิญญาณให้กับตระกูลอินไว้มาก สำหรับแม่สามีของนาง นางย่อมไม่ตระหนี่ถี่เหนียวอยู่แล้วฮวาเชียนพยักหน้าขอบคุณทันที ในที่สุดนางก็เข้าใจแล้วว่า ทำไมหลายวันก่อนอินชิงเสวียนถึงให้นางดื่มน้ำบ่อยๆ คิดว่าที่นางฟื้นตัวเร็วมากขนาดนี้ ต้องเพราะผลของน้ำพุยานี้เมื่อคิดได้ดังนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขอบคุณ“ต้องขอบคุณชิงเสวียนมาก”“เราคนกันเอง ไม่ต้องเกรงใจ”อินชิงเสวียนแกล้งทำเป็นเดินกลับไปเอาน้ำในห้อง แล้วหยิบกาน้ำพุวิญญาณออกมา
สำนักอวิ๋นซานซูถูนั่งอยู่ในห้องด้วยใบหน้ามืดมน ในใจแทบอยากจะถลกหนังดึงเส้นเอ็นของอินชิงเสวียนออกมา หากไม่ใช่เพราะนังเด็กบ้านั่นโผล่ออกมา พิณการเวกก็อาจจะตกอยู่ในมือของเขาแล้ว ยิ่งเมื่อคิดว่าหลิวจิ่งก็เป็นคนที่คนอื่นส่งมา ก็ตบมือลงบนโต๊ะอย่างอดไม่ได้เรื่องนี้ ไม่มีวันเลิกราไปง่ายๆ แน่แต่ไม่รู้ว่าด้วยเหตุใด จึงไม่มีข่าวจากฉุยอวี้ในเวลานั้นตกลงกันไว้แล้วแท้ๆ ว่าเขาจะมาเสริมทัพภายหลัง เชื่อว่าเขาคงเห็นนังเด็กบ้านั่นและหลิวจิ่งแล้ว ไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่ลงมือหลังจากคิดใคร่ครวญเรื่องนี้แล้ว ซูถูก็ตัดสินใจไปพบกับฉุยอวี้ ถามเขาว่าเขามีเจตนาอะไรกันแน่หลังจากเดินเลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ก็มาถึงสถานที่ที่ทั้งสองมักจะนัดพบกัน หลังจากนั้นไม่นาน ฉุยอวี้ก็ออกมาจากทางลับ“ผู้อาวุโสซูรีบร้อนมาที่นี่เช่นนี้ มีเรื่องอะไรหรือ”ซูถูแค่นเสียงหึและพูดว่า “เรื่องเมื่อคืนก่อน เดาว่าเจ้าสำนักฉุยจะสังเกตเห็นแล้ว หรือจะปล่อยให้พวกเขานำพิณกลับไปที่หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เช่นนี้”ฉุยอวี้นั่งบนเก้าอี้ พูดเนิบๆ ไม่ช้าไม่เร็ว “ไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ในสายตาของทุกคน แม้ว่าเราสองสำนักจะร่วมมือกันก็ไม่สามารถหยุ
หายใจเฮือกด้วยความตื่นตระหนก ฮวาเชียนถามทันควัน “อาอวี้ เกิดอะไรขึ้น”เย่จิ่งอวี้เงยหน้าขึ้น ดวงตาปรากฏวงแดงจางๆ แต่แสงในห้องลับนั้นมืดสลัว ฮวาเชียนเองก็ไม่ได้สนใจดวงตาของเขามากนัก“ไม่เป็นไร ข้านั่งพักสักครู่ก็ดีขึ้นแล้ว”เย่จิ่งอวี้นั่งพิงกำแพงหิน ตั้งสมาธิมั่น หลังจากนั้นไม่นาน จึงค่อยๆ สงบลงในใจรู้สึกประหลาดใจอยู่มิวาย เหตุใดเมื่อมาถึงเป่ยไห่ ถึงมักรู้สึกสูญเสียการควบคุม ความรู้สึกนี้เกิดขึ้นตอนที่เขาขึ้นครองบัลลังก์เท่านั้น ภายหลังจึงค่อยๆ ถูกยับยั้งไว้ไม่รู้ว่าด้วยเหตุผลใด ระยะนี้ถึงได้ปรากฏขึ้นอีกหรือว่าได้รับผลกระทบจากเสียงพิณ หรือว่าช่วงนี้คิดมากเกินไป?เย่จิ่งอวี้ไม่สามารถหาสาเหตุได้ ในขณะนี้ ประตูหินเปิดออก อินชิงเสวียนเดินออกจากห้องหินโดยที่กอดพิณการเวกไว้เมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้นั่งอยู่บนพื้น ก็รีบถามทันที “อาอวี้ ท่านมาที่นี่ได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้ยืนขึ้น พูดด้วยรอยยิ้มว่า “ข้าเป็นห่วงเสวียนเอ๋อร์ ก็เลยเข้ามาดู”ทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็รู้สึกอบอุ่นหัวใจทันที นางแหวเบาๆ “มีท่านอาฮวาที่นี่ ข้าจะเป็นอะไรได้ จ้าวเอ๋อร์ล่ะ?”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยรอยยิ้มกริ่ม “กำลังเล่น
หลังจากที่ซูถูจากไป เย่จิ่งอวี้ก็หันหน้ามาพูดว่า “ท่านแม่ ผู้อาวุโสซูคนนี้ไม่ใช่คนดี”เซี่ยวอิ๋นหวนพยักหน้า“แม้ว่าคนผู้นี้จะมาจากสำนักใหญ่ที่มีชื่อเสียง แต่นิสัยไม่ค่อยดีนัก เราไม่จำเป็นต้องไปสนใจเขา เจ้าสำนักเซี่ยวจะจัดการเอง”เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดว่า “ได้ยินตาเฒ่าซูถูพูดถึงมาตลอดว่าฝ่ามือทลายเสียงเป็นวิชาลับเฉพาะของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ หากเรื่องนี้ไม่ได้รับการตรวจสอบอย่างชัดเจน เกรงว่าเจ้าสำนักเซี่ยวจะหลุดพ้นส่วนเกี่ยวข้องได้ยาก”เซี่ยวอิ๋นหวนขมวดคิ้วการตายของหมอเทวดาหนิง นางก็เคยได้ยินฮวาเชียนพูดถึง และเรื่องนี้ทำให้นางพิศวงงุนงงอยู่ตลอด“อาจเป็นวิชาฝ่ามือที่คล้ายกัน ทำให้เข้าใจผิดว่าเป็นฝ่ามือทลายเสียงหรือไม่”อินชิงเสวียนเคยดูซีรีส์เกี่ยวกับวรยุทธ์มาหลายเรื่อง ซึ่งในนั้นมักมีโครงเรื่องเช่นนี้ปรากฏ ก็อดคิดพิสดารไม่ได้เซี่ยวอิ๋นหวนกล่าวว่า “ฝ่ามือทลายเสียงของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์นั้น เป็นไปไม่ได้ที่จะมีการลอกเลียนแบบอย่างแน่นอน วิธีการใช้ฝ่ามือนี้พิเศษมาก คือการเปลี่ยนกำลังภายในให้เป็นคลื่นเสียง ทำลายอวัยวะของผู้ตายโดยตรง และทิ้งระลอกคลื่นเหมือนคลื่น
จู่ๆ เด็กสาวก็แสดงความไม่พอใจออกมา“เงินข้าก็จ่ายแล้ว พวกเจ้ามีสิทธิ์อะไรมาเก็บไว้”เซี่ยวอิ๋นหวนอุ้มเด็กเดินเข้าไปหา พูดกับเด็กสาวว่า “ถ้าข้าจำไม่ผิด น้องสาวคนนี้น่าจะมาจากสำนักเทียนหยวนกระมัง”เด็กสาวเหลือบมองนางแวบหนึ่ง แล้วประกบมือคำนับและกล่าวว่า “ถูกต้อง หรือว่าท่านผู้นี้คือผู้คุมตราเซี่ยว?”เซี่ยวอิ๋นหวนพยักหน้า“สองคนนี้เป็นลูกสะใภ้และลูกชายของข้า หวังว่าน้องสาวจะไว้หน้าข้าด้วย”เด็กสาวหันไปมองอินชิงเสวียนอีกครั้ง ครั้นเห็นนางงดงามปานนี้ ก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉา แล้วหันไปมองเย่จิ่งอวี้ที่เป็นบุรุษรูปงาม หล่อเหล่าเลิศล้ำ ในใจยิ่งรู้สึกไม่ยุติธรรมมีสามีหน้าตาดีเพียงนี้ ทั้งยังมีแม่สะใภ้ที่คอยปกป้องนาง สตรีคนนี้โชคดีจริงๆนางถอนมืออย่างเคียดแค้น แค่นเสียงพูดว่า “เอาเถอะ เห็นแก่ผู้คุมตรา วันนี้จะมอบต่างหูให้เจ้า คราวหน้าข้าจะไม่ยอมแพ้แน่นอน”หลังจากพูดจบก็เดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองอินชิงเสวียนค่อนข้างอึดอัดใจ แต่ตอนนี้นางมีทุกคนในครอบครัวออกมาด้วย ทุกอย่างต้องเห็นความปลอดภัยเป็นสำคัญ ไม่ต้องการที่จะต่อสู้โดยไม่จำเป็นจริงๆเซี่ยวอิ๋นหวนเห็นว่าลูกสะใภ้ไม่ค่อยมีความสุข
คำพูดของเย่จิ่งอวี้ขจัดความเศร้าโศกในใจของอินชิงเสวียนจนสิ้น พลันรู้สึกถึงความหวานในใจมีสามีแบบนี้ ยังปรารถนาสิ่งใดอีกล่ะ!ทั้งสองคุยกันสักพักหนึ่ง แล้วฟ้าก็มืดลงหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เจ้าสำนักเซี่ยวก็เดินเข้ามาในเรือนด้วยใบหน้าอึมครึม เซี่ยวอิ๋นหวนรีบวางตะเกียบลง แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือทันทีเย่จิ่งหลานเหลือบมองออกไปข้างนอก แล้วกินต่อชาติที่แล้วเขาชอบกินอาหารทะเลมาก แต่ในฐานะคนจน เขาไม่มีเงินซื้อเลย จึงได้แต่ซื้อหอยราคาถูกๆ มาลิ้มลองเท่านั้น เมื่อมาถึงที่นี่ ก็มีอาหารทะเลมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังราคาถูกมาก จึงต้องกินให้มากอยู่แล้วอินชิงเสวียนเดิมทีไม่มีกะจิตกะใจจะกินนัก แต่เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานกินอย่าเอร็ดอร่อย นางก็ค่อยๆ รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นขณะที่นางคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงนกหวีดเสียงแหลมฮวาเชียนเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ คนตงหลิวมาโจมตีอีกแล้ว”ยังไม่ทันที่อินชิงเสวียนจะได้ถาม ฮวาเชียนก็ออกไปพร้อมกับกระบี่ยาวอินชิงเสวียนรีบให้อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นเก็บอาหาร และพาเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปในมิติของเย่จิ่งหลาน
“สามวันติดแล้ว ที่ข้าสัมผัสลมปราณของชิงฮุยไม่ได้ หรือว่าเขาจะ...”ที่ด้านบนยอดเขา อินชิงเสวียนหยิบโต๊ะพกพาขนาดเล็กและเบาะที่นั่งสองที่นั่งออกมา ซึ่งบนโต๊ะเต็มไปด้วยน้ำผลไม้และอาหารอร่อยแม้จะบอกว่าออกมาตามหาคน แต่ในเมื่อมีปัจจัยที่อุดมสมบูรณ์เช่นนี้ ทำไมต้องไปทนทุกข์ทรมานโดยไม่จำเป็นล่ะนางหยิบนมพุทราจีนหนึ่งแก้วขึ้นมา แล้วยื่นให้ลั่วสุ่ยชิง“ว่ากันว่าถ้ากินพุทราจีนประจำ จะไม่แก่เร็ว มาลองกัน”ลั่วสุ่ยชิงหยิบขวดโยเกิร์ตขึ้นมาจิบ มันมีรสหวานอมเปรี้ยวและรสชาติค่อนข้างดี ในช่วงไม่กี่วันที่ออกมาข้างนอกกับอินชิงเสวียน สรรหาของมาให้นางกินจนเคยปากหมดแล้ว“เจ้าเป็นผู้หญิงที่แปลกจริงๆ จนป่านนี้แล้ว ยังมีรสนิยมสูงแบบนี้ได้อีก”อินชิงเสวียนเม้มปากเป็นรอยยิ้ม“คนก็เหมือนเหล็ก อาหารก็เหมือนเหล็ก ถ้าไม่กินข้าวสักมื้อจะหิวโหย เมื่อมีปัจจัยที่เพียบพร้อมเช่นนี้แล้ว ย่อมไม่ควรทำให้ตัวเองลำบาก”“ในมิติของเจ้า มีทุกอย่างจริงๆ หรือ”ลั่วสุ่ยชิงรู้แล้วว่าอินชิงเสวียนมีมิติมาด้วย จึงอดไม่ได้ที่จะสนใจใคร่รู้อยู่บ้าง“ประมาณนั้น แต่น่าเสียดายที่คนนอกเข้ามาในมิติของข้าไม่ได้ ไม่อย่างนั้นจะได้ให้เจ้าเ
อินชิงเสวียนดึงมือออก“คุณจำคนผิดแล้ว ฉันไม่ใช่เพื่อนบ้านเดียวกันของคุณ แต่เป็นลูกสาวของแม่ทัพแห่งต้าโจว อินชิงเสวียน!”“คุณ คือเจ้าของร่างเดิมของอินชิงเสวียน?”เย่จิ่งหลานมองเธอขึ้นๆ ลงๆ ดวงตาเต็มไปด้วยความประหลาดใจ รูปร่างเหมือนกันทุกประการ แต่หากสังเกตให้ดี จะเห็นได้ว่าเพื่อนบ้านเดียวกันของเขามีพลังความมุ่งมั่นที่ไม่ยอมแพ้ ส่วนผู้หญิงตรงหน้าเขาดูอ่อนโยนและอ่อนแอกว่ามากในเวลาเดียวกัน เขาก็รู้ด้วยว่าทำไมเขาถึงดูคุ้นตากับเด็กน้อยคนนี้ ตอนที่ตัวเองเพิ่งข้ามภพไปยังต้าโจว เขาก็มีรูปร่างหน้าตาลักษณะเหมือนแบบนี้เลยความทรงจำก็เหมือนกับคลื่นทะเล เป็นคลื่นที่ซัดมาระลอกแล้วระลอกเล่า ในที่สุดเย่จิ่งหลานก็ค่อยๆ จำทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในต้าโจวได้ทุกคนช่วยกันต่อต้านชิงฮุยในหุบเขาเชื่อมเมฆา แต่แล้วเขาก็กลับมาในเวลานี้ และกลับมาโดยที่ร่างกายสมบูรณ์ครบถ้วนเมื่อนึกถึงความชั่วร้ายและความเจ้าเล่ห์เพทุบายของชิงฮุย เย่จิ่งหลานก็รู้สึกสับสนอย่างอธิบายไม่ถูก“หรือว่าผมข้ามภพมาได้เพราะป้ายตราคำสั่งนี้ ผมต้องรีบกลับไปโดยเร็วที่สุด”เมื่อเห็นท่าทางกังวลอย่างกะทันหันของเย่จิ่งหลาน อินชิงเสวียนก็ตระหนัก
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล