คำพูดของเย่จิ่งอวี้ขจัดความเศร้าโศกในใจของอินชิงเสวียนจนสิ้น พลันรู้สึกถึงความหวานในใจมีสามีแบบนี้ ยังปรารถนาสิ่งใดอีกล่ะ!ทั้งสองคุยกันสักพักหนึ่ง แล้วฟ้าก็มืดลงหลังจากรับประทานอาหารเสร็จ เจ้าสำนักเซี่ยวก็เดินเข้ามาในเรือนด้วยใบหน้าอึมครึม เซี่ยวอิ๋นหวนรีบวางตะเกียบลง แล้วเดินไปที่ห้องหนังสือทันทีเย่จิ่งหลานเหลือบมองออกไปข้างนอก แล้วกินต่อชาติที่แล้วเขาชอบกินอาหารทะเลมาก แต่ในฐานะคนจน เขาไม่มีเงินซื้อเลย จึงได้แต่ซื้อหอยราคาถูกๆ มาลิ้มลองเท่านั้น เมื่อมาถึงที่นี่ ก็มีอาหารทะเลมากมายนับไม่ถ้วน ทั้งยังราคาถูกมาก จึงต้องกินให้มากอยู่แล้วอินชิงเสวียนเดิมทีไม่มีกะจิตกะใจจะกินนัก แต่เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานกินอย่าเอร็ดอร่อย นางก็ค่อยๆ รู้สึกอยากอาหารมากขึ้นขณะที่นางคาดเดาว่าเกิดอะไรขึ้น จู่ๆ ก็ได้ยินเสียงนกหวีดเสียงแหลมฮวาเชียนเดินเข้ามาจากด้านนอก พูดด้วยน้ำเสียงเร่งร้อน “ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ คนตงหลิวมาโจมตีอีกแล้ว”ยังไม่ทันที่อินชิงเสวียนจะได้ถาม ฮวาเชียนก็ออกไปพร้อมกับกระบี่ยาวอินชิงเสวียนรีบให้อวิ๋นฉ่ายและจังอวี้จิ่นเก็บอาหาร และพาเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปในมิติของเย่จิ่งหลาน
ในสนามรบ การต่อสู้ยังคงดำเนินต่อไปอินชิงเสวียนอาศัยพลังมิติอันแข็งแกร่งเพื่อสนับสนุน จังหวะของเพลงพิณมั่นคงและคมชัดมากขึ้นเรื่อยๆ การปะทะกันระหว่างโน้ตกลายเป็นเสียงระเบิดของกระบี่เมื่อได้ยินเจ้าสำนักเซี่ยวก็รู้สึกตื่นเต้น ถึงหลี่เฟิ่งอี๋จะไม่ตาย แต่ก็ยังไม่สามารถเล่นเพลงนี้ได้รุนแรงปานนี้ แม่นางน้อยแซ่อินผู้นี้ เป็นของขวัญที่สวรรค์ประทานให้กับหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จริงๆเย่จิ่งอวี้และคนอื่นก็รู้สึกฮึกเหิมเช่นกัน เขาย่อมฟังออกถึงความร้ายกาจของท่วงทำนองเพลงนี้แน่นอน แม้ว่าเขาจะไม่ใช่คนที่เล่นพิณ แต่ก็ยังภูมิใจเก่อหงยวนอยู่ข้างๆ เย่จิ่งอวี้ เมื่อเห็นว่าเขามองไปยังอินชิงเสวียนอยู่ตลอด นางก็อดไม่ได้ที่จะกระตุกมุมปาก“น่าทึ่งตรงไหนกัน”นางอัดพลังให้กระบี่ ทันใดนั้นมันก็ส่งเสียงหึ่งๆเย่จิ่งอวี้กลับไม่ได้มองนาง กำลังเคลื่อนตัวไปหาผีแคระตงหลิวอีกคนแล้วเก่อหงยวนไม่ยอมให้เห็นว่าตนด้อยกว่า นางพุ่งทะยานไปหาชายตงหลิวอีกคนครั้งนี้ชาวตงหลิวส่งคนมากว่าร้อยคน ผู้นำที่สวมชุดเกราะสีแดงก็ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากแม่ทัพโนจิริ หัวหน้าของพวกเขาเฮ่ออวิ๋นทงและผู้อาวุโสสวีแห่งสำนักเทียนหยวนร่วมมือกัน
ในขณะที่คู่สามีภรรยากำลังพูดคุยกัน สำนักต่างๆ ก็ตรวจนับกำลังคนที่สูญเสียไป และในไม่ช้า ผลลัพธ์ก็ออกมาแม้ว่าจะมีคนจากตงหลิวมามากมายหลายร้อยคน แต่คราวนี้มีการสูญเสียน้อยที่สุด จำนวนศิษย์ที่บาดเจ็บเสียชีวิตมีเพียงยี่สิบคนเท่านั้น ข่าวนี้ทำให้ทุกคนตื่นเต้นในทันทีเจ้าสำนักทั้งหลายมาหาเจ้าสำนักเซี่ยว และยกย่องอินชิงเสวียนเจ้าสำนักเซี่ยวลูบเคราด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้มอย่างพึงพอใจฉุยอวี้ก็มาที่นี่ พูดด้วยเสียงแหบห้าว “เมื่อมีพิณการเวกและแม่นางน้อยคนนี้ คิดว่าการต่อสู้ครั้งนี้จะใช้เวลาไม่นาน วันที่ตงหลิวถูกทำลายล้าง สำนักของเราจะจัดงานเลี้ยงเฉลิมฉลองอย่างแน่นอน จะได้ร่ำสุรากับเจ้าสำนักท่านอื่นให้สะใจไปเลย”ทันทีที่ฉุยอวี้เอ่ยปาก ทุกคนก็เงียบลงทันที สำนักที่มีชื่อเสียงเหล่านี้ล้วนคิดว่าตัวเองสูงส่ง จึงดูหมื่นถิ่นแคลนสำนักที่ผิดหลักทำนองคลองธรรมเช่นสำนักเซียวเหยาอยู่แล้วเมื่อเห็นบรรยากาศแข็งข้อต่อกัน ผู้อาวุโสสวีก็หัวเราะ ทำให้สถานการณ์คลี่คลาย“เมื่อครู่ต้องขอบคุณเจ้าสำนักฉุยที่ช่วยเหลือ ถ้าวันนั้นมาถึง ข้าจะไปร่วมด้วยแน่นอน”เพราะเมื่อครู่เขาเพิ่งจัดการกับโนจิริจูนิ เฮ่ออวิ๋นทงจึงไม่สา
ในเวลานี้ สำนักทั้งหมดได้กลับคืนสำนักของตนแล้วเจ้าสำนักเซี่ยวอารมณ์ดีอย่างมาก อุ้มเสี่ยวหนานเฟิงหยอกเล่นอยู่นานแม้ว่าชายชรามักจะมีใบหน้าที่เคร่งเครียด แต่เสี่ยวหนานเฟิงก็ไม่กลัวเลย แต่กลับดึงหยวดเคราของเขาเล่นไม่หยุดเจ้าสำนักเซี่ยวก็รู้สึกชื่นชอบเจ้าเด็กอ้วนกลมคนนี้เป็นอย่างมาก หัวเราะออกมาดังๆ เป็นครั้งคราวเพียงแต่ว่า เขาและเย่จิ่งอวี้ยังคงไม่ได้พูดจากันเย่จิ่งอวี้ในฐานะฮ่องเต้ในรัชสมัยนี้ ไม่สามารถไปหาเขาได้ ทั้งสองคนมองกันและกันเป็นอากาศธาตุ ซึ่งทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกอึดอัดใจแต่เรื่องนี้จะโทษเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ได้ แต่นางในฐานะผู้เยาว์ ไม่สามารถไปเจรจากับเจ้าสำนักเซี่ยวได้ จึงทำได้แค่ปล่อยผ่านไปเมื่อรู้ว่าวันนี้ได้รับชัย เซี่ยวอิ๋นหวนมีความสุขมาก ทำอาหารสองสามจานเป็นพิเศษ อินชิงเสวียนก็เข้าไปช่วย โดยเอาของบางอย่างจากมิติออกมาเองด้วย โดยที่โกหกว่านำมาจากรถม้าเจ้าสำนักเซี่ยวเห็นว่าอาหารหลากหลาย จึงสั่งให้คนไปตามเฮ่ออวิ๋นทงและผู้อาวุโสสวีทันทีพวกเขาทั้งสามไม่เคยลิ้มลองอาหารอันโอชะเหล่านี้ อดไม่ได้ที่จะยกนิ้วโป้งขึ้นชมเชยเจ้าสำนักเซี่ยวรู้สึกว่าใบหน้าเปล่งประกาย สีห
ณ หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เมื่อก่อน เย่จิ่งอวี้ไม่มีความรู้สึกใดๆ ต่อน้องชายคนนี้ แต่หลังจากออกจากเมืองหลวง ก็มีบางอย่างเปลี่ยนไปในทันทีหลังจากออกจากสถานที่อันเต็มไปด้วยกฎและข้อบังคับ เย่จิ่งอวี้รู้สึกว่าหัวใจของตัวเองอ่อนโยนลงมาก เมื่อคิดถึงเย่จิ่งหลานที่อายุเพียงไม่กี่ขวบ กลับสามารถติดตามเสวียนเอ๋อร์ข้ามภูเขาลำน้ำมาได้ มาจนถึงที่นี่ ในใจก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกซาบซึ้ง“ช่วงนี้อันไท่ผินเป็นอย่างไรบ้าง”เย่จิ่งหลานพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ขอบคุณฝ่าบาทที่เป็นห่วง ทุกอย่างเรียบร้อยดี”เย่จิ่งอวี้ยิ้มเล็กน้อยและพูดอย่างอบอุ่น “เรียกข้าว่าพี่ใหญ่ก็ได้ เจ้ากับข้าเราพี่น้องได้พบกันที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่าย ไม่จำเป็นต้องใส่ใจกับมารยาทเหล่านั้นแล้ว”เย่จิ่งหลานพูดด้วยใบหน้าเฉลียวฉลาด “ขอบคุณพี่ใหญ่”อินชิงเสวียนเม้มริมฝีปากแอบหัวเราะอยู่ข้างๆ อายุที่แท้จริงของเย่จิ่งหลาน อาจจะแก่กว่าเย่จิ่งอวี้หลายปีด้วยซ้ำ แสดงเก่งจริงๆ“ทำไมรึ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมอง เลิกคิ้วไปที่เด็กสาว อินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไร ข้าจะไปหาท่านแม่กับจ้าวเอ๋อร์”เมื่อมองดูท่าทางที่ร่าเริงของอินชิงเสวียนแล้ว เย่
เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นต่งจื่ออวี๋ที่กำลังยิ้มอย่างซื่อๆ ทันที ข้างๆ เขายังมีสตรีคนหนึ่ง ซึ่งก็คือเก่อหงยวนจากสำนักเทียนหยวน“ใช่ ยังไม่ง่วง เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”ต่งจื่ออวี๋ชี้ไปที่ในห้อง“ข้ามารับอาจารย์”เมื่อนั้นอินชิงเสวียนจึงจำได้ว่าชายชราทั้งสามยังคงดื่มอยู่ในห้องโถงกลาง“มื้อเย็นกินอิ่มแล้วหรือ”ต่งจื่ออวี๋กล่าวว่า “ยังไม่เสร็จ เกรงว่าต้องรออีกสักพัก”“อยากไปนั่งในศาลา ดื่มชาก่อนหรือไม่” อินชิงเสวียนถามนางมีความประทับใจที่ดีต่อต่งจื่ออวี๋มาโดยตลอด หากไม่มีม้าหนิงซวงนำทาง นางคงไม่สามารถมาถึงเป่ยไห่ได้เร็วขนาดนี้ต่งจื่ออวี๋พูดด้วยน้ำเสียงไร้เดียงสา “ตกลง”เขาเดินไปหาอินชิงเสวียน เก่อหงยวนก็เดินตามมาด้วย นางเอามือไพล่หลัง แล้วพูดด้วยสีหน้าเย็นชาว่าภายในเขินอาย “ข้ามาหาอาจารย์อาสวีน่ะ สามีของเจ้าล่ะ ข้ามีเรื่องจะถามเขา”อินชิงเสวียนพูดด้วยน้ำเสียงสงบ “ในเมื่อเจ้าต้องการไปหาผู้อาวุโสสวี ก็รออยู่กับจื่ออวี๋สิ ทำไมถึงอยากเจอสามีข้า เขาไปนอนแล้ว วันนี้ไม่พบแขก”สีหน้าของเก่อหงยวนแสดงความไม่พอใจทันที วันนี้พอกลับสำนัก นางก็ไปตรวจสอบรายละเอียดของอินชิงเสวียน ทรา
ภายใต้แสงจันทร์ มีชายหนุ่มร่างสูงคนหนึ่งยืนอยู่ แสงจันทร์สะท้อนบนใบหน้าหล่อเหลานั้น เฮ่ออวิ๋นทงก็จำได้ทันทีว่านี่คือหลานชายของตาเฒ่าเซี่ยว“ที่แท้ก็เป็นคุณชายน้อย ไม่ทราบว่าเรียกข้าด้วยเรื่องใด”เย่จิ่งอวี้ก้าวไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว โค้งคำนับ“ผู้เยาว์มีบางอย่างที่ข้าไม่เข้าใจ อยากจะถามผู้อาวุโส ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสพอจะมีเวลาผู้เยาว์บ้างหรือไม่”มารยาทของเย่จิ่งอวี้นั้นละเอียดถี่ถ้วน เฮ่ออวิ๋นทงย่อมไม่ปฏิเสธอยู่แล้วเขาพูดด้วยรอยยิ้มบางๆ บนใบหน้า “ในเมื่อมาพบกันที่เป่ยไห่ เราจึงถือเป็นครอบครัวเดียวกัน คุณชายน้อยไม่จำเป็นต้องสุภาพ หากมีคำถามใดๆ ก็เชิญถามมาได้เลย”“ขอบคุณผู้อาวุโสเฮ่อ สิ่งที่ผู้เยาว์ต้องการถามคือเรื่องกระพรวนทอง”เฮ่ออวิ๋นทงก็เคยได้ยินต่งจื่ออวี๋พูดถึงเรื่องนี้ด้วย จึงถามว่า “คุณชายน้อยได้ยินเสียงกระพวนทองแล้วปวดหัวจริงหรือ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าและกล่าวว่า “เป็นเช่นนั้นจริง ผู้เยาว์เคยยืมของสิ่งนี้ไว้ดู แต่ไม่เห็นเบาะแสใดๆ ต่อมาได้ยินจื่ออวี๋บอกว่าของสิ่งนี้มีพลังในการปิดผนึก จึงต้องการมาสืบถามเจ้าสำนักเฮ่อ”เฮ่ออวิ๋นทงเอื้อมมือไปที่แขน แล้วหยิบกระพรวนทองออกมา เสี
ก่อนที่จะพูดจบ ทั้งสองก็ซัดฝ่ามือปะทะกันอีกครั้งการปะทะกันของกองกำลังภายในที่เกะกะระราน ทำให้กลุ่มทรายกระเด็นขึ้นมาทันที ชายสวมหน้ากากก็ถูกกระแทกถอยหลังสามก้าวเช่นกันคนผู้นั้นอุทานว่า “เอ๊ะ” ราวกับว่าเขาไม่คาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จะมีกำลังภายในที่แข็งแกร่งเช่นนี้จากนั้นเขาก็พูดด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง “ข้าประเมินเจ้าต่ำเกินไป ฝ่ามือนี้ จะทำให้เจ้าตายโดยไร้ดินกลบหน้าแน่นอน”เมื่อฟังเสียงที่บาดหูนี้ ความโกรธในใจของเย่จิ่งอวี้ก็เพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน จิตใจสับสนวุ่นวาย มีเพียงความคิดเดียวในใจ นั่นคือฉีกร่างคนที่อยู่ตรงหน้าออกเป็นชิ้นๆ เขางอนิ้วเป็นกรงเล็บ และคว้ากะโหลกศีรษะของคนผู้นั้นอย่างรวดเร็วปานอสุนีบาต คนผู้นั้นแค่นเสียงหึออกมาอย่างเย็นชาอีก แล้ววาดฝ่ามือมุ่งตรงไปที่เบื้องหน้าของเย่จิ่งอวี้มือทั้งสองประสานกันอีกครั้ง ทำให้เกิดเสียงอู้อี้ราวกับระเบิด พื้นดินใต้เท้าจมลงสามนิ้วพร้อมกันเลือดหยดหนึ่งไหลออกมาจากปกเสื้อของชายสวมหน้ากาก ซึ่งทำให้เขาเดือดดาลเป็นอย่างยิ่ง“ตายซะ เจ้าตายไปซะ!”เขาพูดสองประโยคติดต่อกัน ลมฝ่ามือก็เคลื่อนไหวเร็วขึ้นหลายเท่าสีแดงในดวงตาของเย่จิ่งอวี้เข้มขึ้นอ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี