มีเสียงดังขึ้นมาจากด้านนอกประตู จูอวี้เหยียนนั่งรถเข็นไม้ที่อินจ้งให้ช่างฝีมือสร้างให้นาง โดยมีสาวใช้เป็นคนเข็นเข้ามานางสวมกระโปรงคาดอกผ้าแพรไหมสีฟ้าลายดอกไม้ปักด้วยดอกโบตั๋น สวมเสื้อคลุมขนกระต่ายอยู่ด้านนอก ซึ่งดูหรูหรายิ่งกว่าชุดกุ้ยเฟยที่อินชิงเสวียนสวมใส่เสียอีกเมื่อมองไปที่เนื้อผ้า อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วนี่เป็นชุดที่นางเอาให้จื่อลั่วโดยเฉพาะ แต่ซูหมิงหลานกลับนำมาทำเสื้อคลุมให้จูอวี้เหยียน จะใจดีเกินไปแล้วกระมังให้นางได้อาศัยอยู่ในจวนอิน มีอาหารและเครื่องดื่ม ก็นับเป็นความเมตตาอย่างยิ่งแล้วเมื่อเห็นนาง เป่าเล่อเอ่อร์ก็ผุดลุกขึ้นยืนโดยไม่รู้ตัว ก้าวถอยหลังหลายก้าวในเจียงวู สามารถกล่าวได้ว่าจูอวี้เหยียนสามารถควบคุมทุกสิ่งได้ แม้แต่พี่ใหญ่อูเอินก็ยังต้องยอมให้นางเมื่อเวลาผ่านไป เป่าเล่อเอ่อร์เริ่มหวาดกลัวนางโดยสัญชาตญาณยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าจูอวี้เหยียนยังฝึกกู่พิษอีกด้วย แม้ว่านางจะไม่รู้ว่ามันคืออะไรแน่ แต่หลังจากเห็นพี่ใหญ่หน้าถอดสีหลังจากพูดถึงกู่ นางก็รู้ว่าน่าจะเป็นสิ่งที่ร้ายกาจมากอินชิงเสวียนก็ยืนขึ้น แล้วพูดกับเป่าเล่อเอ่อร์ “ไม่ต้องกลัว ที่นี่ไม่ใช่เจียงวู นา
อินจ้งรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อยการเดินทางข้ามผ่านเขาสูงชันระยะทางห่างไกลเช่นนี้ แต่สาวน้อยผู้บอบบางกลับสามารถมาถึงที่นี่ได้ด้วยตัวเอง เห็นถึงความตั้งใจจริงๆ“เจ้ามาแค่เพราะอยากพบหน้าอินสิงอวิ๋นงั้นหรือ”อินจ้งถามอีกครั้งแววตาคมกริบจับต้องไปยังศีรษะ เป่าเล่อเอ่อร์รู้สึกประหม่า ยิ่งก้มศีรษะลงมากขึ้น“ใช่ ข้าอยาก...เจอเขา”เป่าเล่อเอ่อร์อยากบอกว่านางอยากใช้ชีวิตอยู่กับอินสิงอวิ๋น แต่นางไม่รู้ว่าอินจ้งจะคิดอย่างไร นางจึงไม่กล้าพูดมากกว่านี้เมื่อเห็นอินจ้งจ้องมองไปที่เป่าเล่อเอ่อร์ราวกับพิพากษานักโทษ ซูหมิงหลานรู้สึกไม่สบายใจ รีบไกล่เกลี่ยด้วยรอยยิ้ม“สิงอวิ๋นเด็กคนนี้นี่ ยังไม่กลับมาอีกหรือ”“คงไม่กลับมาแล้วกระมัง เจ้าไปเจอลูกสาวข้าได้อย่างไร”แล้วอินจ้งก็หันกลับมาหาเป่าเล่อเอ่อร์อีกเขาต่อสู้กับเจียงวูมาหลายปี ทั้งสองฝ่ายต่างเจ็บหนัก ทุกครั้งที่เขาคิดถึงทหารเหล่านั้น ความประทับใจดีๆ ของอินจ้งที่มีต่อเจียงวูก็หายไปโดยสิ้นเชิงทันทีแม้ว่าเป่าเล่อเอ่อร์จะเป็นเพียงสตรี แต่นางก็เป็นองค์หญิงแห่งเจียงวู หากมีอะไรผิดพลาด ตระกูลอินก็จะพลอยติดร่างแหไปด้วยตอนนี้ในที่สุดครอบครัวก็ได้กล
อินชิงเสวียนจิบน้ำ แล้วพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในเมื่อเกิดความผิดพลาดขึ้นแล้ว คิดมากไปก็ไม่มีประโยชน์ แต่จะตามใจจูอวี้เหยียนเช่นนี้ก็ไม่ได้ ตอนนี้อาซือหลานตายแล้ว จูอวี้เหยียนก็คงไม่มีแผนอะไรอีก ขอเพียงปล่อยให้นางเข้าใจลำดับความสำคัญ ก็จะลดความเย่อหยิ่งลงได้แน่ แล้วนางจะค่อยๆ ชินไปเอง”อินจ้งพยักหน้าแม้ว่าเขาจะไม่ยินยอมที่จะละทิ้งลูกสาวคนนี้ แต่สิ่งที่อินชิงเสวียนพูดนั้นก็ไม่ไร้เหตุผล ดังคำโบราณที่ว่า การตามใจลูกก็ไม่ต่างจากการฆ่าลูกทางอ้อม เขาก็ตามใจจูอวี้เหยียนจริงๆ นางอยากได้อะไรก็สรรหามาให้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสิ่งที่จูอวี้เหยียนพูดในวันนี้ ทำให้อินจ้งรู้สึกเย็นจับขั้วหัวใจจริงๆเขาถอนหายใจเบาๆ พูดว่า “พ่อรู้แล้ว แล้วเรื่ององค์หญิงน้อยเจียงวู ฝ่าบาทว่าอย่างไรบ้าง”อินชิงเสวียนกระตุกมุมปากขึ้น แต่เป็นรอยยิ้มที่ขมขื่นเล็กน้อยแม้ว่านางจะสามารถจัดการเรื่องนี้ได้ แต่ฝ่าบาทองค์ปัจจุบันก็ไม่ใช่ฝ่าบาทองค์เดิมอีกต่อไปภาพของเย่จิ่งอวี้คุกเข่าลงบนพื้นแวบขึ้นมาต่อหน้าต่อตาอีกครั้ง ทันใดนั้นหัวใจก็รู้สึกราวกับถูกมือใหญ่คว้าไว้ เจ็บปวดจนหายใจไม่ออกเพื่อไม่ให้อินจ้งมองออก อินชิงเสวียนแส
“วันนี้เจ้าจะกลับวังหรือเปล่า ถ้าไม่รีบก็นอนค้างที่บ้านสักคืนเถอะ แม่รองก็คิดถึงเจ้ามาก”ดวงตาของอินจ้งฉายแววรักและเอ็นดู กระแสเสียงกอปรไปด้วยความอ่อนโยนดั่งบิดาที่รักบุตรตอนนี้อาซือหลานตายแล้ว คนตงหลิวที่อยู่นอกวังก็ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีภัยคุกคามในวัง ทั้งยังมีเย่จั้นอยู่ด้วย อินชิงเสวียนจึงไม่กังวลนักเมื่อคิดว่าตัวเองเดินทางไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย นางก็ควรใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในนามของเจ้าของร่างเดิมให้มากขึ้นจริงๆครั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปบอกแม่รองเถอะ ตั้งแต่แม่ของเจ้าจากไป นางก็ตรากตรำเพื่อพวกเจ้าพี่น้อง”หลายปีที่ผ่านมานี้ซูหมิงหลานก็ลำบากจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้บ่นเลย แม้ว่าอินจ้งจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็เห็นในสายตาอยู่ตลอดอินชิงเสวียนพยักหน้า“ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ มีบางเรื่อง ไม่ทราบว่าท่านแม่รองได้บอกท่านพ่อหรือยัง”อินจ้งถามว่า “มีอะไรหรือ”“เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ลูกกลับจวน ได้คุยกับท่านแม่รองเรื่องการเปิดร้าน ท่านแม่รองดูสนอกสนใจมาก อีกทั้งข้าก็มีของเล็กๆ น้อยๆ อยากขายด้วย เลยอยากให้ท่านแม่รองซื้อร้านสองร้านทิ้งไว้ ร้านหนึ
พริบตาเดียวก็เป็นเวลาเที่ยงคืน ยังไม่มีข่าวคราวจากอินสิงอวิ๋น ฟางรั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล“ทำไมยังไม่กลับมาอีกล่ะ เขาคงไม่เป็นไรกระมัง”กวนเซี่ยวกล่าวว่า “สหายอินมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ในเมืองหลวงมีผู้ที่สามารถทำร้ายเขาได้ไม่กี่คน ข้าคิดว่าเขาคงมีเรื่องคุยกับกุ้ยเฟยหลายเรื่อง จึงมาช้า หากเจ้าง่วงนอน เจ้าก็ไปพักก่อนได้ ข้าจะรอที่นี่”ฟางรั่วพูดเรียบ “ไม่จำเป็น คุณชายกวนโปรดกลับไปเถอะ ประเดี๋ยวจอมพลเฒ่าจะเป็นห่วงเอา”“ไม่เป็นไร ท่านปู่เหนื่อยจากการฝึกซ้อมมาทั้งวัน ตอนนี้คงนอนหลับไปนานแล้ว อีกอย่างเจ้าอยู่ที่นี่ตามลำพัง ข้าไม่วางใจ ข้าจะอยู่ที่นี่กับเจ้า”กวนเซี่ยวรู้อยู่แล้วว่าฟางรั่วสูญเสียทักษะวรยุทธ์ ยิ่งไม่อยากจากไปเมื่อเห็นว่าเขาปฏิเสธไม่ยอมจากไป ฟางรั่วก็ไม่พูดอะไรมาก เอนตัวพิงบนเตียงโดยมีมีดสั้นอยู่ในมือ หลับตาลงและหลับไปกวนเซี่ยวนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างๆ เฝ้ามองดูนางอยู่ตลอดเวลาใบหน้าของฟางรั่วขาวมาก เป็นสีขาวที่ผิดไปจากปกติ แทบไม่มีสีเลือด ดูซูบผอมลงไปมากซึ่งนี่ต้องเกี่ยวข้องกับการทำลายวรยุทธ์แน่นอน กวนเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะขบกรามเป็นสันนูน“เจ้าวางใจ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาหมอ
“ข้ารู้แล้ว”น้ำเสียงสิ้นหวังของกวนเซี่ยวดังมาจากนอกประตู“ข้าจะไม่เซ้าซี้เจ้าอีก แต่ภายหน้าถ้าเจ้าเผชิญเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็มาหาข้าได้เสมอ ไม่ว่าเมื่อใด ไม่ว่าเรื่องใด ข้าจะพยายามช่วยเหลือเจ้าจนสุดกำลัง”เมื่อฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินห่างจากประตูไป ฟางรั่วก็เจ็บแปลบที่ขอบตา หยาดน้ำตารินไหลลงมาเงียบๆ ขอโทษนะ กวนเซี่ยว ข้าไม่เหมาะสมกับเจ้าจริงๆ!ฟางรั่วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนพื้น เมื่อผ่านไปเนิ่นนานหลายอึดใจ นางก็เช็ดน้ำตาและลุกขึ้นยืนจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองดูไร้ความหมายตราบใดที่แน่ใจว่าอาซือหลานเสียชีวิตแล้ว นางจะออกจากเมืองหลวงทันที ไปยังสถานที่ที่ร้างผู้คน เพื่อจบสิ้นเศษเสี้ยวชีวิตที่เหลืออยู่คืนนี้ ถูกลิขิตเป็นค่ำคืนอันยากจะข่มตาหลับได้อินชิงเสวียนนอนไม่หลับ ฟางรั่วนอนไม่หลับ กวนเซี่ยวและเย่จั้นก็นอนไม่หลับเช่นกันบ้างก็เพราะคนรัก บ้างก็เพราะคนในครอบครัวในเวลานี้ ราตรีมืดมิด นภาไร้ดวงจันทร์ ความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุดแผ่ปกคลุมวังหลวง ราวกับว่าปากยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังจะกลืนกินวังหลวงอันงดงามแห่งนี้หลี่เต๋อฝูจงใจจุดตะเกียงอีกหลายดวง เมื่อเห็นเย่จั้
อินชิงเสวียนและน้องสาวได้มาถึงห้องรับแขกแล้วซูหมิงหลานตื่นมาทำอาหารตั้งแต่เช้า โดยมีกับข้าวหกอย่าง น้ำแกงสองอย่าง ข้างๆ มีซาลาเปาก้อนอ้วนๆ ขาวๆ ชิ้นใหญ่ มีควันลอยฉุย ดูน่ารับประทานมากอินจ้งกำลังคุยกับอินปู้อวี่ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินเข้าประตูมา ซูหมิงหลานก็พูดทันที “มาชิมดูเร็ว ประเดี๋ยวเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย”อินชิงเสวียนตอบรับ และนั่งลงข้างๆ อินปู้อวี่ฝีมือของซูหมิงหลานนั้นยอกเยี่ยมจริงๆ แค่กัดไปคำแรกก็ได้รสชาติของไส้เนื้อเต็มคำของแบบนี้เป็นเพียงอาหารธรรมดาในยุคปัจจุบัน แต่ในยุคโบราณนี้ การได้กินแป้งหมี่และเนื้อได้ ก็นับว่าเป็นครอบครัวที่ดีมากแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรเลย หลังจากที่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอดอยากอีกหนึ่งปี อาหารในสมัยโบราณไม่มีผลิตผลเท่าปัจจุบัน ภายใต้ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แม้แต่ข้าวฟ่างและธัญพืชก็กลายเป็นของหายาก นับประสาอะไรกับอาหารจำพวกเนื้อทั้งอินปู้อวี่และอินจื่อลั่วต่างก็กินกันอย่างออกรส ส่วนอินชิงเสวียนกินไปไม่กี่คำ แต่ก็รู้สึกเหมือนกับการเคี้ยวไขผึ้ง การที่มีเรื่องมากมายในใจทำให้นางไม่รับรู้ร
ณ ตำหนักจินหวูเสี่ยวหนานเฟิงที่ไม่เห็นอินชิงเสวียนทั้งคืน ปากเล็กๆ เบะออก และวิ่งโผเข้าใส่ด้วยสีหน้าน้อยใจเขากอดขาของอินชิงเสวียน เงยหน้าเล็กๆ ขึ้น พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “สวยแม่ ลูกคิดถึงสวยแม่”หัวใจของอินชิงเสวียนอ่อนยวบลง เอื้อมมือไปอุ้มเด็กอ้วนตัวน้อยขึ้นมาจูบใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขาเบาๆ“เสด็จแม่ก็คิดถึงลูกรักเหมือนกัน เมื่อคืนเจ้าเป็นเด็กดีไหม”อวิ๋นฉ่ายพูดทันทีว่า “เมื่อคืนองค์ชายน้อยร้องไห้เกือบครึ่งค่อนคืนเพคะ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปหาเสด็จแม่ ยิ่งโตยิ่งติดแม่จริงๆ เลย”มือเล็กป้อมของเสี่ยวหนานเฟิงกอดนางแน่นขึ้น“คิดถึงแม่แม่ คิดถึงแม่แม่”เมื่อเผชิญเทวดาตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ใครจะไม่หลงได้ลงคอ“ลูกเป็นเด็กดีนะ เมื่อแม่ทำธุระเสร็จ จะได้อยู่กับลูก ไม่พรากจากกันอีก”เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแฉ่งริมฝีปากอันอ่อนนุ่มจูบใบหน้าของอินชิงเสวียน แล้วพูดเสียงใสแจ๋ว “ไม่พรากกัน”“เป็นเด็กดีจริงๆ”แค่ตัวหนักไปหน่อยเมื่อไม่ใช้พลังจากมิติ อินชิงเสวียนก็เป็นเพียงคนธรรมดา การอุ้มเด็กที่มีน้ำหนักมากกว่ายี่สิบจิน หรือสิบกิโลกรัมนั