“วันนี้เจ้าจะกลับวังหรือเปล่า ถ้าไม่รีบก็นอนค้างที่บ้านสักคืนเถอะ แม่รองก็คิดถึงเจ้ามาก”ดวงตาของอินจ้งฉายแววรักและเอ็นดู กระแสเสียงกอปรไปด้วยความอ่อนโยนดั่งบิดาที่รักบุตรตอนนี้อาซือหลานตายแล้ว คนตงหลิวที่อยู่นอกวังก็ถูกกำจัดไปหมดสิ้นแล้ว ไม่มีภัยคุกคามในวัง ทั้งยังมีเย่จั้นอยู่ด้วย อินชิงเสวียนจึงไม่กังวลนักเมื่อคิดว่าตัวเองเดินทางไปคราวนี้ไม่รู้ว่าจะเป็นหรือตาย นางก็ควรใช้เวลาอยู่กับครอบครัวในนามของเจ้าของร่างเดิมให้มากขึ้นจริงๆครั้นจึงพยักหน้าแล้วพูดว่า “ก็ได้เจ้าค่ะ”“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็ไปบอกแม่รองเถอะ ตั้งแต่แม่ของเจ้าจากไป นางก็ตรากตรำเพื่อพวกเจ้าพี่น้อง”หลายปีที่ผ่านมานี้ซูหมิงหลานก็ลำบากจริงๆ แต่นางก็ไม่ได้บ่นเลย แม้ว่าอินจ้งจะไม่พูดอะไร แต่เขาก็เห็นในสายตาอยู่ตลอดอินชิงเสวียนพยักหน้า“ลูกรู้แล้วเจ้าค่ะ มีบางเรื่อง ไม่ทราบว่าท่านแม่รองได้บอกท่านพ่อหรือยัง”อินจ้งถามว่า “มีอะไรหรือ”“เมื่อไม่กี่วันก่อนที่ลูกกลับจวน ได้คุยกับท่านแม่รองเรื่องการเปิดร้าน ท่านแม่รองดูสนอกสนใจมาก อีกทั้งข้าก็มีของเล็กๆ น้อยๆ อยากขายด้วย เลยอยากให้ท่านแม่รองซื้อร้านสองร้านทิ้งไว้ ร้านหนึ
พริบตาเดียวก็เป็นเวลาเที่ยงคืน ยังไม่มีข่าวคราวจากอินสิงอวิ๋น ฟางรั่วอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวล“ทำไมยังไม่กลับมาอีกล่ะ เขาคงไม่เป็นไรกระมัง”กวนเซี่ยวกล่าวว่า “สหายอินมีวรยุทธ์ล้ำเลิศ ในเมืองหลวงมีผู้ที่สามารถทำร้ายเขาได้ไม่กี่คน ข้าคิดว่าเขาคงมีเรื่องคุยกับกุ้ยเฟยหลายเรื่อง จึงมาช้า หากเจ้าง่วงนอน เจ้าก็ไปพักก่อนได้ ข้าจะรอที่นี่”ฟางรั่วพูดเรียบ “ไม่จำเป็น คุณชายกวนโปรดกลับไปเถอะ ประเดี๋ยวจอมพลเฒ่าจะเป็นห่วงเอา”“ไม่เป็นไร ท่านปู่เหนื่อยจากการฝึกซ้อมมาทั้งวัน ตอนนี้คงนอนหลับไปนานแล้ว อีกอย่างเจ้าอยู่ที่นี่ตามลำพัง ข้าไม่วางใจ ข้าจะอยู่ที่นี่กับเจ้า”กวนเซี่ยวรู้อยู่แล้วว่าฟางรั่วสูญเสียทักษะวรยุทธ์ ยิ่งไม่อยากจากไปเมื่อเห็นว่าเขาปฏิเสธไม่ยอมจากไป ฟางรั่วก็ไม่พูดอะไรมาก เอนตัวพิงบนเตียงโดยมีมีดสั้นอยู่ในมือ หลับตาลงและหลับไปกวนเซี่ยวนั่งอยู่บนตั่งไม้ข้างๆ เฝ้ามองดูนางอยู่ตลอดเวลาใบหน้าของฟางรั่วขาวมาก เป็นสีขาวที่ผิดไปจากปกติ แทบไม่มีสีเลือด ดูซูบผอมลงไปมากซึ่งนี่ต้องเกี่ยวข้องกับการทำลายวรยุทธ์แน่นอน กวนเซี่ยวอดไม่ได้ที่จะขบกรามเป็นสันนูน“เจ้าวางใจ ข้าจะช่วยเจ้าตามหาหมอ
“ข้ารู้แล้ว”น้ำเสียงสิ้นหวังของกวนเซี่ยวดังมาจากนอกประตู“ข้าจะไม่เซ้าซี้เจ้าอีก แต่ภายหน้าถ้าเจ้าเผชิญเรื่องที่ไม่สามารถแก้ไขได้ ก็มาหาข้าได้เสมอ ไม่ว่าเมื่อใด ไม่ว่าเรื่องใด ข้าจะพยายามช่วยเหลือเจ้าจนสุดกำลัง”เมื่อฟังเสียงฝีเท้าที่ค่อยๆ เดินห่างจากประตูไป ฟางรั่วก็เจ็บแปลบที่ขอบตา หยาดน้ำตารินไหลลงมาเงียบๆ ขอโทษนะ กวนเซี่ยว ข้าไม่เหมาะสมกับเจ้าจริงๆ!ฟางรั่วค่อยๆ ทรุดตัวลงนั่งบนพื้น เมื่อผ่านไปเนิ่นนานหลายอึดใจ นางก็เช็ดน้ำตาและลุกขึ้นยืนจู่ๆ นางก็รู้สึกว่าชีวิตของตัวเองดูไร้ความหมายตราบใดที่แน่ใจว่าอาซือหลานเสียชีวิตแล้ว นางจะออกจากเมืองหลวงทันที ไปยังสถานที่ที่ร้างผู้คน เพื่อจบสิ้นเศษเสี้ยวชีวิตที่เหลืออยู่คืนนี้ ถูกลิขิตเป็นค่ำคืนอันยากจะข่มตาหลับได้อินชิงเสวียนนอนไม่หลับ ฟางรั่วนอนไม่หลับ กวนเซี่ยวและเย่จั้นก็นอนไม่หลับเช่นกันบ้างก็เพราะคนรัก บ้างก็เพราะคนในครอบครัวในเวลานี้ ราตรีมืดมิด นภาไร้ดวงจันทร์ ความมืดอันไม่มีที่สิ้นสุดแผ่ปกคลุมวังหลวง ราวกับว่าปากยักษ์ที่มองไม่เห็นกำลังจะกลืนกินวังหลวงอันงดงามแห่งนี้หลี่เต๋อฝูจงใจจุดตะเกียงอีกหลายดวง เมื่อเห็นเย่จั้
อินชิงเสวียนและน้องสาวได้มาถึงห้องรับแขกแล้วซูหมิงหลานตื่นมาทำอาหารตั้งแต่เช้า โดยมีกับข้าวหกอย่าง น้ำแกงสองอย่าง ข้างๆ มีซาลาเปาก้อนอ้วนๆ ขาวๆ ชิ้นใหญ่ มีควันลอยฉุย ดูน่ารับประทานมากอินจ้งกำลังคุยกับอินปู้อวี่ เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเดินเข้าประตูมา ซูหมิงหลานก็พูดทันที “มาชิมดูเร็ว ประเดี๋ยวเย็นชืดแล้วจะไม่อร่อย”อินชิงเสวียนตอบรับ และนั่งลงข้างๆ อินปู้อวี่ฝีมือของซูหมิงหลานนั้นยอกเยี่ยมจริงๆ แค่กัดไปคำแรกก็ได้รสชาติของไส้เนื้อเต็มคำของแบบนี้เป็นเพียงอาหารธรรมดาในยุคปัจจุบัน แต่ในยุคโบราณนี้ การได้กินแป้งหมี่และเนื้อได้ ก็นับว่าเป็นครอบครัวที่ดีมากแล้วฮ่องเต้องค์ก่อนไม่ใส่ใจชีวิตความเป็นอยู่ของราษฎรเลย หลังจากที่เย่จิ่งอวี้ขึ้นครองบัลลังก์ ก็ต้องทนทุกข์ทรมานจากความอดอยากอีกหนึ่งปี อาหารในสมัยโบราณไม่มีผลิตผลเท่าปัจจุบัน ภายใต้ภัยพิบัติทางธรรมชาติ แม้แต่ข้าวฟ่างและธัญพืชก็กลายเป็นของหายาก นับประสาอะไรกับอาหารจำพวกเนื้อทั้งอินปู้อวี่และอินจื่อลั่วต่างก็กินกันอย่างออกรส ส่วนอินชิงเสวียนกินไปไม่กี่คำ แต่ก็รู้สึกเหมือนกับการเคี้ยวไขผึ้ง การที่มีเรื่องมากมายในใจทำให้นางไม่รับรู้ร
ณ ตำหนักจินหวูเสี่ยวหนานเฟิงที่ไม่เห็นอินชิงเสวียนทั้งคืน ปากเล็กๆ เบะออก และวิ่งโผเข้าใส่ด้วยสีหน้าน้อยใจเขากอดขาของอินชิงเสวียน เงยหน้าเล็กๆ ขึ้น พูดด้วยเสียงเจื้อยแจ้ว “สวยแม่ ลูกคิดถึงสวยแม่”หัวใจของอินชิงเสวียนอ่อนยวบลง เอื้อมมือไปอุ้มเด็กอ้วนตัวน้อยขึ้นมาจูบใบหน้าเล็กๆ ที่เรียบเนียนของเขาเบาๆ“เสด็จแม่ก็คิดถึงลูกรักเหมือนกัน เมื่อคืนเจ้าเป็นเด็กดีไหม”อวิ๋นฉ่ายพูดทันทีว่า “เมื่อคืนองค์ชายน้อยร้องไห้เกือบครึ่งค่อนคืนเพคะ ไม่ว่าอย่างไรก็จะไปหาเสด็จแม่ ยิ่งโตยิ่งติดแม่จริงๆ เลย”มือเล็กป้อมของเสี่ยวหนานเฟิงกอดนางแน่นขึ้น“คิดถึงแม่แม่ คิดถึงแม่แม่”เมื่อเผชิญเทวดาตัวน้อยน่ารักน่าเอ็นดูเช่นนี้ ใครจะไม่หลงได้ลงคอ“ลูกเป็นเด็กดีนะ เมื่อแม่ทำธุระเสร็จ จะได้อยู่กับลูก ไม่พรากจากกันอีก”เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะเข้าใจ เขาพยักหน้าด้วยรอยยิ้มแฉ่งริมฝีปากอันอ่อนนุ่มจูบใบหน้าของอินชิงเสวียน แล้วพูดเสียงใสแจ๋ว “ไม่พรากกัน”“เป็นเด็กดีจริงๆ”แค่ตัวหนักไปหน่อยเมื่อไม่ใช้พลังจากมิติ อินชิงเสวียนก็เป็นเพียงคนธรรมดา การอุ้มเด็กที่มีน้ำหนักมากกว่ายี่สิบจิน หรือสิบกิโลกรัมนั
อินชิงเสวียนเงยหน้าขึ้นมอง“เจ้าได้ยินเรื่องนี้มาจากใคร”ซูฉ่ายเวยพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ท่านและข้าก็นับว่าไม่ตีกันก็ไม่รู้จักกัน ข้าจะพูดอย่างไม่ปิดบังละกัน ทั้งวังหลังรู้ดีว่าฝ่าบาทโปรดปรานกุ้ยเพียงผู้เดียวเท่านั้น ส่วนคนอื่นๆ ก็เป็นแค่ของประดับตกแต่ง เรื่องการแยกย้ายวังหลังก็เป็นเรื่องที่ต้องเกิดอยู่วันยังค่ำ แทนที่จะใช้ชีวิตอยู่ในวังหลัง มิสู้หาแต่งงานกับคนดีๆ เสียเวลาอยู่ที่นี่ไปเปล่าๆ สุดท้ายต้องกลายเป็นสาวเทื้อขึ้นคาน”เมื่อเห็นท่าทางที่เกินจริงของซูฉ่ายเวย อินชิงเสวียนก็เม้มริมฝีปากแล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “เรื่องนี้ฝ่าบาทจะตัดสินใจเอง น่าจะไม่ให้พวกเจ้ารอนานเกินไป”“ข้ารู้อยู่แล้วว่าต้องเป็นเช่นนั้น”ซูฉ่ายเวยแสดงท่าทางที่ชัดเจน“งั้นข้าก็ต้องหากำไรให้ได้เยอะๆ ถ้าออกจากวังแล้ว คงไม่มีโอกาสดีๆ แบบนี้”อินชิงเสวียนจิบชาแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ขอให้เจ้ากิจการเจริญรุ่งเรือง นับตั๋วเงินจนนับไม่ถ้วน”“ขอบคุณกุ้ยเฟยที่อวยพร เรื่องในวังท่านไม่ต้องกังวล ตั้งแต่ฉู่หลิงอวี้ถูกโยนเข้าวังเย็นไปอีกคน สาวน้อยพวกนั้นก็สงบเสงี่ยมขึ้นมาก เพราะกลัวว่าทำให้ทรงกริ้ว พวกนางคนใดหากกล้าไปเล่นหูเล่
ฟางรั่วก็เห็นอินชิงเสวียนเช่นกัน ดวงตาทั้งสองคู่สบกัน ใบหน้าแดงเล็กน้อย แต่ไม่นานก็กลับมาเป็นปกติอินชิงเสวียนให้องครักษ์ออกไปทันที พลิกกายลงจากหลังม้าฟางรั่วยืนนิ่ง“มาเยี่ยมกวนเซี่ยวหรือ”อินชิงเสวียนถามเรียบๆ“ข้ามาหาเจ้า”ฟางรั่วมองไปที่อินชิงเสวียน โดยไม่หลบเลี่ยงสายตาอินชิงเสวียนยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย พูดสัพยอก “เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้าจะมา”ฟางรั่วกล่าวว่า “เดาเอา”อินชิงเสวียนไม่ต้องการเปิดเผยความคิดของนาง จึงถามเรียบๆ “เจ้ามาหาข้าทำไม”“ข้ามักจะรู้สึกว่าอาซือหลานยังไม่ตาย ข้าอยากตามเจ้าไป ตราบใดที่อยู่ข้างๆ เจ้า ข้าถึงจะมีโอกาสจัดการกับเขา”เสียงของฟางรั่วสงบ แต่ดวงตาไม่สามารถซ่อนความเกลียดชังได้“ไม่จำเป็นหรอก คนอย่างเจ้า ข้าไม่ไว้ใจ”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็เดินเข้าไปในจวนจอมพล ฟางรั่วเลื่อนเข้ามาขวางนาง“เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไรถึงจะติดตามเจ้าได้”อินชิงเสวียนหันกลับมา นัยน์ตาเย็นชาราวกับน้ำในฤดูใบไม้ร่วง“เจ้ากับข้าวิถีทางแตกต่างกัน ไม่จำเป็นต้องฝืนใจมาอยู่ด้วยกัน หลีกไปเถอะ”ฟางรั่วยังคงยืนอยู่ที่เดิม ดวงตามองจับไปยังอินชิงเสวียนโดยไม่ละสายตา“เ
อินชิงเสวียนรู้สึกอบอุ่นหัวใจ พยักหน้าและพูดว่า “ชิงเสวียนทราบแล้ว อัคราจารย์ก็ต้องรักษาสุขภาพด้วย อย่าดื่มสุรามากนัก จะได้ไม่เป็นอันตรายต่อสุขภาพ”“อืม อัคราจารย์รู้แล้ว ในเมื่อจะออกจากวังเดินทางไกล ถือโอกาสในสองวันนี้ กลับบ้านไปอยู่กับพ่อเจ้าให้มากเถิด”“เจ้าค่ะ ข้าจะกลับจวนตระกูลอินเดี๋ยวนี้”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบก็ลุกขึ้นยืน กวนฮั่นหลินไม่ได้รั้งตัวไว้ ไปส่งอินชิงเสวียนถึงหน้าประตูจวนด้วยตัวเองอินชิงเสวียนไม่อยากกลับวังจริงๆ ทุกครั้งที่ไปถึงห้องหนังสือ นางจะคิดถึงเย่จิ่งอวี้อย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อไม่สามารถเผชิญหน้าได้ ก็ทำได้แค่หลีกเลี่ยงเท่านั้นเมื่อเห็นอินชิงเสวียนขี่ม้า แต่ไม่ได้ออกเดินเสียที ฉินเทียนก็เดินไปถามว่า “พระสนม เราจะกลับวังหรือไม่”อินชิงเสวียนครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ข้าจะไปดูที่จวนฝูอี้อ๋องหน่อย พวกเจ้าไม่ต้องคุ้มกันแล้วล่ะ”“จะได้อย่างไร ถ้าฝ่าบาทรู้เรื่องนี้ คงลงโทษกระหม่อมแน่นอน”ในวันที่อาซือหลานถูกฆ่า ฉินเทียนและหลี่ฉีก็อยู่ด้วย ทั้งสองมีทักษะวรยุทธ์ต่ำ เมื่อได้ยินเสียงเพลงก็หมดสติไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าฮ่องเต้ถูกเปลี่ยน ยิ่งไม่รู้ว่าฝ่าบาท