เสี่ยวอานจื่อนำมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาโดยมิรู้ตัว เขากล่าวกับอินชิงเสวียนว่า “น้องชาย ชีวิตของเจ้านั้นไม่ง่ายเลยจริงๆ”ดวงตาคู่นั้นของอินชิงเสวียนเองก็เป็นสีแดง พูดกับเด็กๆ เหมือนกับมิอาจตัดใจได้ “อีกเดี๋ยวพ่อก็จะกลับมาหาพวกเจ้าแล้ว อยู่บ้านก็เป็นเด็กดีของย่า พ่อต้องไปแล้ว”หลังจากพูดจบ นางก็ส่งเด็กๆ กลับไปด้วยสีหน้าอันมุ่งมั่น แล้วเดินออกนอกประตูไปโดยมิได้หันกลับมามอง เสี่ยวอานจื่อรีบวิ่งตามออกมา เขาถามด้วยความเป็นห่วงว่า “เสี่ยวเสวียนจือ เจ้าไม่เป็นอะไรใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนขยี้ตาคู่นั้นแล้วหันกลับมายิ้มให้กับเสี่ยวอานจื่อ“แม้จะมิเต็มใจก็ไม่อาจทำสิ่งใดได้ เฮ้อ นี่แหละหนาชีวิต พวกเรารีบไปกันเถอะ”เสี่ยวอานจื่อถอนหายใจออกมา “คิดมิถึงเลยว่าเจ้าจะมีลูกสามคนแล้วจริงๆ”จากนั้นก็ถามออกมาด้วยความสงสัย “ข้าเห็นว่าเจ้าน่าจะมีอายุประมาณสิบเจ็ดถึงสิบแปดปี แต่ลูกสาวคนโตของเจ้าน่าจะมีอายุหกถึงเจ็ดปีได้”อินชิงเสวียนแทบจะสำลักน้ำลายของตัวเอง กระแอมออกมา “แค่กๆ ......ที่จริงข้าอายุยี่สิบกว่าแล้ว เพียงแต่รูปลักษณ์ของข้าดูอ่อนเยาว์เท่านั้น”เสี่ยวอานจื่อพูดด้วยความตระหนักรู้ในทันใด “ไม่แปลกใจ
เย่จิ่งอวี้มือไขว้หลัง ค่อยๆ เดินไปอยู่ตรงหน้ารถม้าดูข้าวสารที่ใส่อยู่เต็มถังไม้ ถามขึ้นมาว่า “นี่คือสิ่งใด”“นี่คือข้าวสาร ปลูกจากนา และเป็นที่แพร่หลายในแคว้นหวาซย่า ช่วยให้อิ่มท้องได้นานมาก อีกทั้งรสชาติดียิ่งนัก”อินชิงเสวียนชี้ไปที่แป้งขาว พูดแนะนำให้เย่จิ่งอวี้ฟังว่า “นี่เป็นแป้งสาลีที่กระหม่อมใช้ห่อเกี๊ยวให้ฝ่าบาท เรียกกันว่าแป้ง ที่ปลูกอยู่ในวนอวิ๋นเซียง สามารถทำเป็นสิ่งนี้ได้ ที่เหลือก็คือเมล็ดพันธุ์” เย่จิ่งอวี้มองดูแป้งขาว กล่าวว่าประเสริฐยิ่งไม่หยุด คิดไม่ถึงว่าของเช่นนี้จะเปลี่ยนเป็นเกี๊ยวแสนอร่อยเพียงนั้นได้ จากนั้นก็มองไปที่ข้าวสาร ครุ่นคิดว่าสิ่งนี้จะมีรสชาติเช่นไรอินชิงเสวียนรีบเร่งอธิบาย “หากฝ่าบาทอยากเสวย กระหม่อมจะจัดเตรียมให้”เย่จิ่งอวี้พยักหน้า แล้วกวาดตามองเมล็ดพันธุ์เหล่านั้นยื่นมือหยิบขึ้นมาหนึ่งกำมือ เห็นเมล็ดพันธุ์เต่งตึง นัยน์ตาน้ำลึกเปี่ยมด้วยความสุข“ดี ดียิ่งนัก เมล็ดพันธุ์มากมายเช่นนี้จะให้ผลผลิตเมล็ดพันธุ์อีกไม่น้อย หากปีหน้าลมฟ้าอากาศดี ประชากรต้าโจวไม่อดตายแล้ว”อิงชิงเสวียนมองดวงตาหงส์ของเย่จิ่งอวี้ที่ยิ้มอยู่ อินชิงเสวียนอดนึกถึงคำพูดที
ลู่จิ้งเสียนมองอินชิงเสวียนที่เดินไปกาย นางขบเขี้ยวเคี้ยวฟันหากไม่ใช่เพราะสุนัขรับใช้ตัวนี้ ตนคงไม่ต้องถูกลดตำแหน่งเป็นผินยิ่งพอนึกถึงซูฉ่ายเวยทำตัวอวดดีอยู่ต่อหน้าตน สายตาของลู่จิ้งเสียนประหนึ่งมีเปลวเพลิงลุกยังมีกลิ่นหอมบนตัวนางแพศยานั่นอีก เห็นได้ชัดว่าฝ่าบาทขายน้ำหอมของนาง ลู่จิ้งเสียนโมโหจนกำผ้าในมือแน่น จิกเล็บจนทะลุเข้าเนื้อฮ่องเต้ถึงขั้นพระราชทานน้ำหอมให้นางแพศยานั่น ยังมีแป้งทาหน้าที่เนียนละเอียดพอกอยู่บนหน้านาง ของดีเพียงนี้นางยังไม่เคยได้ใช้ แต่ซูฉ่ายเวยคนต่ำช้ากลับได้ใช้ตัดหน้านางก่อนลู่จิ้งเสียนทำตัวบ้าอำนาจในวังหลวงมาช้านาน เนื่องจากนางมีบิดาและไทเฮาคอยให้ท้าย ครานี้โดนผู้อื่นกด ไม่ต้องเอ่ยก็รู้ว่าใจนางคับแค้นเพียงใดนางไม่มีโอกาสมาต่อกรกับขันทีผู้นี้ แต่ซูฉ่ายเวยหนีนางไม่พ้นแน่นนางสะบัดผ้าเช็ดหน้า “ชุ่ยจู๋ พวกเราไปเดินเล่นที่หอฉงฮวากัน”“เพคะ”ชุ่ยจู๋รีบออกตัวไปประคองมือของงลู่จิ้งเสียน ช่วยนางปีนลงจากภูเขาเทียม...ณ หอฉงฮวาสองวันมานี้ซูฉ่ายเวยชีวิตสุขสบายนักหลังจากที่ได้รับตำแหน่งผิน อาหารที่ฝ่ายห้องเครื่องส่งมานั้นก็ประณีตขึ้นมากยิ่งวันนั้นได้
อักษรเจ็ดตัวนี้ดั่งมังกรบินถลาหงษ์ร่ายระบำ ดูอิสระ พู่กันมีหนักเบา มีพลังยิ่งนักอินชิงเสวียนลอบอุทานในใจว่าเขียนได้ดีนักหลี่เต๋อฝูพลันเดินมา พูดเสียงทุ้มว่า “ฝ่าบาท หลิงผินเสด็จพ่ะย่ะค่ะ” เย่จิ่งอวี้วางพู่กันลง กล่าวอย่างไม่ยินดีว่า “นางมาทำอะไร” “ตรัสว่าจะขอพบฝ่าบาท”หลี่เต๋อฝูหัวเราะพลาง พูดขึ้นอีกว่า “หลายวันมานี้ฝ่าบาทอ่านฎีกาติดต่อกัน ควรพักบ้างแล้วพ่ะย่ะค่ะ ต่อให้จะแข็งแรงเพียงไหนหากทรงงานหนักก็มิอาจต้านทานได้” เย่จิ่งอวี้เงยหน้ากวาดตา สายตาแหลมคม“หรือเจ้าก็ได้ผลประโยชน์จากซูฉ่ายเวยด้วย”หลี่เต๋อฝูลนลานคุกเข่าลงพื้น โขกหัวพูดว่า “กระหม่อมมิบังอาจ กระหม่อมเกรงว่าจะทรงงานหนักมากเกินไปจริงๆ พ่ะย่ะค่ะ” อินชิงเสวียนเห็นหลี่เต๋อฝูที่แก่มากแล้ว ต้องมาคุกเข่าร้องขอชีวิตด้วยความกลัวเช่นนี้ อดนึกถึงยายหลี่ที่อยู่ในวังเย็นขึ้นมาไม่ได้จึงพูดอยู่ข้างๆ ว่า “ฝ่าบาท หลี่กงกงเห็นแก่พระวรกายของพระองค์จริงๆ อีกทั้งทรงงานควรก็แบ่งสมดุลให้ดีจึงจะมีผลลัพธ์ที่ดียิ่งขึ้น”“แบ่งสมดุลให้ดี?”เย่จิ่งอวี้ผ่อนสีหน้าลง“คำพูดของเจ้านี้มีเหตุผลนัก”พอนึกถึงคำพูดของไทเฮาว่าอีกไม่นานลู่งจิ้
จู่ๆ ดวงตาของเย่จิ่งอวี้พลันเบิกกว้าง นัยน์ตาฉายแววเยียบเย็น“ออกไปเถอะ”ซูฉ่ายเวยตกใจ พูดด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ฝ่าบาท หม่อมฉัน...หม่อมฉันยังนวดไม่เสร็จเลยเพคะ”ใบหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนเป็นเย็นชา“ถอยไป”ครั้นเห็นใบหน้าหล่อเหลานั้นเย็นชาราวกับน้ำแข็ง ทันใดนั้นซูฉ่ายเวยก็ไม่กล้าพูดคำใดอีก นางรีบสวมเสื้อ แล้วก้มหน้าก้มตาถอยกลับไปเมื่อออกไปข้างนอกก็ปั้นหน้ายิ้มแสร้งทำเป็นมีความสุขเชิดหน้าขึ้นแล้วกล่าวว่า “หลี่กงกง ข้าจะกลับแล้ว ไว้วันหน้าค่อยมาเข้าเฝ้าฮ่องเต้ใหม่”เมื่อเห็นอาภรณ์ที่ไม่เรียบร้อยของซูฉ่ายเวย หลี่เต๋อฝูก็ก้มหน้าลงอย่างรวดเร็ว พูดด้วยความเคารพ “พระสนมเดินทางดีๆ”ซูฉ่ายเวยตอบรับต้วยเสียงขึ้นจมูก วางมือบนแขนของเซียงหลาน แล้วเยื้องกรายออกจากห้องหนังสือไปอย่างเหิมใจหลังจากออกจากห้องหนังสือ ซูฉ่ายเวยก็กัดฟัน สีหน้าแดงก่ำนางเป็นฝ่ายเริ่มก่อนถึงเพียงนี้แล้ว เหตุใดฝ่าบาทถึงไม่ติดกับ ต้องเป็นเพราะชุดไม่สวย ถึงไม่สามารถดึงดูดความสนใจของฝ่าบาทได้เมื่อกลับมาถึงหอฉงฮวา ซูฉ่ายเวยก็ถอดกระโปรงของนางออกทันทีณ ห้องหนังสือแววตาของเย่จิ่งอวี้เย็นชาเมื่อนึกถึงสตรีในวังหลั
ราวกับว่าเจ้าหมาน้อยกลัวว่าแม่จะจากไป เขายังคงจับคอเสื้อของนางไม่ปล่อย แล้วเริ่มพูดอ้อแอ้ไม่หยุด ขมวดคิ้วเล็กๆ จนเกือบจะผูกเป็นปมซึ่งท่วงท่าที่แสดงออกมานี้ช่างคล้ายคลึงกับเย่จิ่งอวี้มาก“สมกับเป็นลูกชายของพ่อสารเลวเจ้าจริงๆ”พอนึกขึ้นได้ว่าเมื่อครู่นี้เย่จิ่งอวี้กับซูฉ่ายเวยเกิดอะไรที่ไม่สามารถอธิบายได้ อินชิงเสวียนก็อดเบะปากเสียมิได้ พลอยรู้สึกไม่ชอบหน้าเจ้าหมาน้อยไปด้วย“เป็นเด็กดีรออยู่ตรงนี้ ห้ามร้องไห้งอแง ถ้าเจ้ากล้างอแง ข้าจะไม่สนใจเจ้าแล้ว”พูดจบก็ยัดเจ้าหมาน้อยไว้ในอ้อมแขนของยายหลี่ เจ้าหมาน้อยตกตะลึง ลืมตาโพลงจ้องมองอินชิงเสวียนเข้าไปในห้องผ่านไปหลายอึดใจ จึงยกมือเล็กๆ ขึ้นเพื่อประท้วง ในยามนี้เอง ไป๋เสวี่ยเห่าขึ้นครั้งหนึ่ง เจ้าหมาน้อยก็ถูกดึงดูดโดยเจ้าขนฟูทันที ชี้ไปที่ไป๋เสวี่ยแล้วพูดอ้อแอ้ๆยายหลี่ยังคงกลัวไป๋เสวี่ยอยู่ อุ้มเจ้าหมาน้อยไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนที่อยู่ในจวนรัชทายาท สุนัขตัวนี้ก็กัดคนไปไม่น้อยเลยอินชิงเสวียนได้เข้าไปในมิติแล้ว สิ่งที่อยู่ข้างในนั้นเติบโตเต็มที่แล้ว อินชิงเสวียนใช้การเก็บเกี่ยวอัตโนมัติของมิติ ครั้นแล้วแป้งสาลีและข้าวสารก็ถูกจัดเก็บอย่าง
ระหว่างคำพูดยังมีเสียงหยกกระทบกัน และหญิงงามผู้งดงามที่หน้าตาแตกต่างกันทั้งสี่คนก็เข้ามาจากข้างนอกทุกคนมาที่ห้องโถงและโค้งคำนับพร้อมกัน“น้อมคำนับหลิงผิน”ทันใดนั้นซูฉ่ายเวยก็แสดงสีหน้าภาคภูมิใจ โบกมือให้ทุกคน“ลุกขึ้น”“ขอบคุณพระสนมหลิงผิน”หนึ่งในนั้นเงยหน้าขึ้น อดไม่ได้ที่จะพูดด้วยความประหลาดใจ “ใบหน้าของพระสนมช่างงดงามนัก ขาวเนียนชุ่มชื้นราวกับฉ่ำน้ำ”อีกคนหนึ่งรีบพูดเสริมอย่างประจบ “มิน่าเล่าฝ่าบาทถึงได้โปรดปรานพระสนม พระสนมงดงามที่สุดในแผ่นดินจริงๆ”“ก็ใช่น่ะสิ พระสนมงดงามปานนี้ คาดว่าอีกไม่นานจะคงได้รับการแต่งตั้งขึ้นเป็นสนมขั้นเฟย”ขณะที่คนเหล่านี้กำลังพูดคุยกัน แต่มีหญิงงามผู้หนึ่งยืนอยู่ข้างๆ กำผ้าเช็ดหน้าไว้แน่น โดยที่ทำอะไรไม่ถูกอินชิงเสวียนเหลือบมองนาง รู้สึกว่าหญิงงามผู้นี้หน้าตาสะสวย ดวงตาคู่งามฉายแววเฉลียวฉลาดเมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนกำลังมองตัวเอง ก็พยักหน้าและยิ้มให้นางเมื่อเทียบกับคนเหล่านี้ที่ได้แค่ประจบประแจง หญิงงามผู้นี้กลับดูพิเศษมากกว่าอินชิงเสวียนก็ส่งยิ้มให้นางเช่นกันหญิงงามที่พูดก่อนหน้านี้มองเห็นแผ่นพอกหน้าบนโต๊ะแล้ว อดไม่ได้ที่จะถามด้วยค
เย่จิ่งเย่ายกยิ้มมุมปาก ทว่าดวงตาของเขากลับทำให้รู้สึกอึดอัดมากทันใดนั้นอินชิงเสวียนก็ขนลุกไปทั่วทั้งร่างกาย รีบก้มศีรษะลงอย่างรวดเร็ว“กระหม่อมถวายพระพรอันผิงอ๋อง”“ตามสบาย”เย่จิ่งเย่ายืนนิ่งและโน้มตัวไปข้างหน้าเล็กน้อยเขาพูดด้วยน้ำเสียงที่มีเพียงเขาและอินชิงเสวียนเท่านั้นที่ได้ยิน “เจ้าต้องรับใช้ฮ่องเต้ให้ดี!”อินชิงเสวียนสะดุ้งเล็กน้อย เมื่อนางเงยหน้าขึ้นก็เห็นเย่จิ่งอวี้ยืนอยู่ที่ประตูแล้วเขาเอามือไพล่หลัง ดวงตาหงส์หรี่เล็กน้อย และเสื้อคลุมตัวยามสีเหลืองทองขับเน้นให้รูปร่างสูงโปร่งสง่างาม เผยให้เห็นถึงความน่าครั่นคร้ามของโอรสสวรรค์เมื่อสบตากัน หัวใจของอินชิงเสวียนก็สั่นสะท้านน้อยๆทันใดนั้นจึงเข้าใจได้ทันทีว่าคนสารเลวเย่จิ่งเย่าจงใจเข้ามาใกล้ชิด เพื่อใส่ร้ายตัวเองเย่จิ่งเย่าเหลือบมองจากมุมตา แล้วเดินจากไปพร้อมกับหัวเราะเบาๆ อินชิงเสวียนสาปแช่งในใจ เดรัจฉานผู้นี้เลวทรามจริงๆแล้วจึงรีบปล่อยไป๋เสวี่ยอย่างรวดเร็ว ดึงเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าต่อหน้าเย่จิ่งอวี้“กระหม่อมถวายบังคมฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาของเขาจับจ้องไปที่อินชิงเสวียน“ลุกขึ้น”“ขอบพร