ใบหน้าของจูอวี้เหยียนมืดมน สาวใช้ทุกคนถอยออกไปอย่างรู้สถานการณ์นางเดินกลับไปกลับมา แววตาเหี้ยมเกรียม จากนั้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงในเมื่อจิตใจของเย่จิ่งอวี้แน่วแน่ถึงเพียงนี้ จึงต้องใช้ท่าไม้ตายแล้วนางรวบรวมสมาธิ กระตุ้นเลือดหัวใจออกมาความเจ็บปวดที่กัดกินหัวใจ ทำให้ใบหน้าของจูอวี้เหยียนบิดเบี้ยวด้วยความร้าวราน นางคำรามเบาๆ และมีเหงื่อชั้นบางๆ ผุดขึ้นบนหน้าผากทันทีกู่แม่ที่ในร่างกายสัมผัสได้ถึงเลือดหัวใจ จู่ๆ ก็เกิดความโกลาหล จูอวี้เหยียนถือโอกาสกระตุ้นกู่เสน่หา หนอนกู่ตื่นเต้นในฉับพลัน มันเพรียกหากู่ลูกที่อยู่ในร่างของเย่จิ่งอวี้ให้ตื่นขึ้นเย่จิ่งอวี้กำลังตรวจฎีกาในห้องหนังสือ จู่ๆ จิตใจก็กระสับกระส่ายหลังจากตวัดพู่กันเพียงไม่กี่หน เขาก็รู้สึกหงุดหงิดมากขึ้นเรื่อยๆ วางพู่กันลงอย่างทนไม่ได้หลี่เต๋อฝูรีบเข้ามาหาแล้วถามว่า “ฝ่าบาท พระองค์ทรงเหนื่อยแล้วกระมัง”หลายวันมานี้เย่จิ่งอวี้ไม่สดชื่นกระปรี้กระเปร่า อารมณ์ไม่มั่นคง ซึ่งทำให้หลี่เต๋อฝูและคนอื่นๆ ต่างอกสั่นขวัญแขวน จะทำหรือพูดอะไรต้องระมัดระวังตัวเป็นอย่างมากเย่จิ่งอวี้ยืนขึ้นอย่างหงุดหงิด“วันนี้ไม่ตรวจแ
แววตาของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไปเล็กน้อย เรียวตาหงส์กระจ่างชัดขึ้นหลายส่วนจูอวี้เหยียนกระตุ้นหนอนกู่อีกครั้ง ครั้oแล้วเสียงหวานที่มีเสน่ห์ก็น่าหลงใหลมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อประกอบกับรูปร่างอรชรอ้อนแอ้นของนาง และอากัปกิริยาก็ยิ่งน่าวาบหวามใจ เย่จิ่งอวี้ตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง จึงหันกลับมาถาม “เจ้าอยากให้ข้าทำอย่างไร”จูอวี้เหยียนพูดด้วยรอยยิ้มว่า “กุ้ยเฟยมีสถานะสูงส่ง เหยียนหงย่อมไม่กล้าให้ฝ่าบาทลงโทษพระสนมอยู่แล้ว ได้ยินมาว่าในวังหลวงมีหอสวดมนต์ เหตุใดฝ่าบาทไม่ให้กุ้ยเฟยไปสวดมนต์สิบวัน เพื่อจะได้สงบสติอารมณ์”นางรู้ว่าเย่จิ่งอวี้มีความรู้สึกลึกซึ้งต่ออินชิงเสวียน การที่จะทำให้เขาส่งอินชิงเสวียนเข้าวังเย็น หรือประหารชีวิตนาง ต้องค่อยเป็นค่อยไปรอจนกระทั่งเย่จิ่งอวี้ตกอยู่ภายใต้การควบคุมของนางโดยสมบูรณ์เท่านั้น จึงจะสามารถทำทุกอย่างที่นางต้องการได้เย่จิ่งอวี้ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ให้สงบสติอารมณ์สักพักหนึ่งก็ดี หลี่เต๋อฝู เจ้าไปถ่ายทอดคำสั่งให้กุ้ยเฟยอยู่ในหอสวดมนต์เป็นเวลาสิบวัน เหยียนหง เจ้าก็ออกไปได้แล้ว”จูอวี้เหยียนก็รู้จักการรามือเมื่อได้สิ่งที่พอใจ นางโค้งคำนับพ
จูอวี้เหยียนลุกขึ้นนั่งทันที ซึ่งอินชิงเสวียนได้เดินเข้ามาด้วยใบหน้าเย็นชาเมื่อเห็นว่าเป็นนาง จูอวี้เหยียนก็แค่นเสียงหึ“ดึกขนาดนี้ กุ้ยเฟยยังไม่ไปสงบจิตใจที่หอสวดมนต์อีก มาที่นี่ทำไม”อินชิงเสวียนใช้ความเร็วมิติ แล้วร่างของนางก็หายวับมาปรากฏอยู่เบื้องหน้าของจูอวี้เหยียนปานอสุนีบาตก่อนที่จูอวี้เหยียนจะทันได้โต้ตอบ คอของนางก็ถูกบีบนิ้วเรียวยาวเหล่านั้นเย็นเฉียบ อันทำให้รู้สึกพรั่นพรึง จูอวี้เหยียนสะบัดฝ่ามือทันที เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนไม่ได้นำผู้ติดตามมาด้วย นางจึงไม่ต้องเสแสร้งแกล้งทำอีก หากนางสามารถจัดการกับนังแพศยานี้ได้เดี๋ยวนี้ ก็นับว่าเป็นกำไรที่ไม่คาดคิดอินชิงเสวียนหลบหลีก แล้วซัดฝ่ามือใส่นางอ่างรวดเร็วราวกับภูตผีพลังอันท่วมท้นทำให้ตะแกรงหน้าต่างสั่นสะเทือน จูอวี้เหยียนอดไม่ได้ที่จะตกใจกลัวนังหญิงแพศยาผู้นี้มีทักษะวรยุทธ์ดีขนาดนี้ได้อย่างไรนางกลิ้งหลบฝ่ามือของอินชิงเสวียน ทำให้ฝ่ามือก็ซัดออกนั้นได้กระแทกเก้าอี้ตัวยาวทันที ได้ยินเสียงเพล้งอย่างชัดเจน เก้าอี้ตัวยาวก็ถูกซัดจนแตกกระจายหัวใจของจูอวี้เหยียนเต้นรัว หากอินชิงเสวียนมีความแข็งแกร่งเช่นนี้ นางก็ไม่ใช่ค
เป็นเวลาสิบห้านาทีเต็มๆ จูอวี้เหยียนถึงลุกจากพื้นได้นางเคยได้ยินอาซือหลานบอกว่าอินชิงเสวียนเป็นวรยุทธ์ แต่ไม่คาดคิดว่าวรยุทธ์ของนางจะสูงส่งเพียงนี้ และวิชาฝ่ามือที่นางใช้ ความจริงก็คือฝ่ามือเสียงวายุของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์จูอวี้เหยียนเคยได้ยินอาจารย์บอกว่า หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์เป็นสำนักที่มีชื่อเสียงด้านเครื่องดนตรี แต่ไม่ใช่ทุกคนที่สามารถใช้เครื่องดนตรีได้ ซึ่งวิชาฝ่ามือที่มีชื่อเสียงที่สุดคือฝ่ามือเสียงวายุ ที่สร้างขึ้นโดยเจ้าสำนักของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ตอนที่นางเข้าสู่สำนักห้ากู่ ก็เห็นอาจารย์ของนางต่อสู้กับคนจากหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ วิชาฝ่ามือนั้นนุ่มนวลทว่าแข็งแกร่ง แข็งแกร่งแต่อ่อนโยน ยามที่ใช้วิชานั้นลมพายุจะผสานจนเป็นเสียงดนตรีบรรเลง อาจารย์ของจูอวี้เหยียนก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสจากศิษย์ของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ในการต่อสู้ครั้งนั้น และเสียชีวิตในเวลาต่อมา ดังนั้นจูอวี้เหยียนจึงจดจำวิชาฝ่ามือนี้ได้ขึ้นใจแต่เห็นได้ชัดว่าอินชิงเสวียนไม่ได้ฝึกฝนจนถึงระดับการเปลี่ยนเสียงสายลมได้ แต่ถึงนางจะรู้วิชาเพียงผิวเผิน ถึงกระนั้นก็ทำให้อวัยวะภายในของนางสะเทือนได้ ซึ่งแสดงให้เ
“เสวียนเอ๋อร์ เจ้ามาที่นี่ได้อย่างไร”เย่จิ่งอวี้ตกใจขณะที่เขากำลังพูด ทักษะวรยุทธ์ยังคงคล่องแคล่ว เขาตีลังกากลับหลังกระโดดขึ้นจากเก้าอี้ตัวยาว อินชิงเสวียนซัดฝ่าโดนอากาศ จึงซัดฝ่ามือใส่อีกครั้งเย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “บังอาจ เจ้าเป็นใคร ทำไมเจ้าถึงหลอมตัวเป็นเสวียนเอ๋อร์”อินชิงเสวียนพูดอย่างสงบ “หม่อมฉันไม่ใช่คนปลอมตัว หม่อมฉันคืออินชิงเสวียนตัวจริง เพื่อพระวรกายของฝ่าบาท โปรดให้ความร่วมมือด้วย”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วและพูดว่า “เหลวไหล ร่างกายของข้าไม่เป็นอะไร ในเมื่อเจ้าคือตัวจริง ก็รีบหยุดซะ”ก่อนที่เขาจะพูดจบ เย่จั้นก็เดินเข้ามาจากประตู“ฝ่าบาท ล่วงเกินแล้ว”เขางอนิ้ว และคว้ากระดูกไหปลาร้าของเย่จิ่งอวี้ไว้เย่จิ่งอวี้สับสนงุนงงไปหมดสองคนนี้ใกล้ชิดกับเขามากที่สุด แต่ตอนนี้กลับกำลังร่วมมือกันสู้กับเขา เรียวตาหงส์ฉายแววเกรี้ยวกราดเป็นประกายวาวโรจน์ นัยน์ตาเย็นเฉียบ“เสด็จอา ท่านก็บ้าเหมือนกันหรือ”การโจมตีของอินชิงเสวียนยังไม่หยุด และวิชาฝ่ามือของนางก็เร็วขึ้นเรื่อยๆ“เป็นฝ่าบาทที่บ้าไปแล้ว เรากำลังช่วยชีวิตท่านอยู่ บางขั้นตอนอาจจะเจ็บปวดเล็กน้อย แต่หม่อ
แต่ไม่ว่าจูอวี้เหยียนจะเกลียดนางมากเพียงใด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ตำแหน่งใหญ่กว่าหนึ่งขั้นยังฆ่าคนได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าอินชิงเสวียนอยู่ในฐานะที่สูงกว่านางหลายขั้น ในเมื่อเลือกที่จะเข้าวัง ก็ทำได้เพียงอดทนเท่านั้น“ได้ ข้าจะไปกับพวกเจ้า หากพวกเจ้ากล้าใช้เครื่องมือทรมาน ข้าจะรายงานต่อฝ่าบาทอย่างดีเชียว”เสี่ยวอานจื่อขี้เกียจเกินกว่าจะสนใจนาง แล้วจึงพาองครักษ์กลับไปรายงานจูอวี้เหยียนตามมาข้างหลัง คิดในใจว่าถ้าอินชิงเสวียนทรมานนางอีก นางจะทำอย่างไรดีอย่างไรก็ตาม ดูเหมือนว่าจูอวี้เหยียนจะคิดมากเกินไป อินชิงเสวียนให้หมัวมัวเฒ่ามาสอนกฎเกณฑ์และมารยาทในวังให้นางจริง ส่วนตัวเองกลับนั่งอยู่ข้างๆ กินองุ่น มองดูพวกนางอย่างสบายใจจูอวี้เหยียนเกลียดนางแทบตาย แต่ก็ไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ ทำได้เพียงปฏิบัติตามหมัวมัวเฒ่าที่สอนว่าจะเดินอย่างไร สอนว่าต้องถวายพระพรเจ้านายแต่ละตำหนักอย่างไร ทำซ้ำๆ อยู่เช่นนั้น ชั่วพริบตาท้องฟ้าก็มืดลง อินชิงเสวียนเรียกเสี่ยวอานจื่อเข้ามา“คืนนี้ทำเนื้อย่างเสียบไม้กันเถอะ ให้พวกเจ้าได้กินด้วย”“ขอบพระทัยพระสนม”เสี่ยวอานจื่อดีใจมาก วิ่งออกไปอย่างยินดีปรีดาอินชิ
อินชิงเสวียนกินเนื้อเสียบไม้ย่างหอมๆ และดื่มชามะลิที่นางชื่นชอบจูอวี้เหยียนหิวมากจนท้องร้องโครกคราก เมื่อเห็นอินชิงเสวียนเพลิดเพลินกับอาหาร ก็แทบตบะแตกชั่วพริบตาก็ถึงยามดึกแล้วอินชิงเสวียนเห็นใจที่หมัวมัวเฒ่าอายุจนปูนนี้แล้ว จึงเปลี่ยนคนมาแทนจูอวี้เหยียนเดินจนปวดขา ง่วงก็ง่วง หมัวมัวเฒ่าถือไม้บรรทัด แล้วชี้ไปที่เอวของนาง“ตั้งใจหน่อย”จูอวี้เหยียนอดไม่ได้ที่จะจ้องมองนางด้วยสายตาดุร้ายบนเก้าอี้ตัวยาว อินชิงเสวียนเลิกคิ้วขึ้น“ไม่ยอมหรือ”จูอวี้เหยียนกัดริมฝีปาก กลืนคำพูดลงไปเวลาผ่านไปโดยไม่รู้ตัว ท้องฟ้าก็กลายเป็นสีขาวมุกอินชิงเสวียนหาว เปลี่ยนอิริยาบถ แล้วพูดว่า “วันนี้พอเท่านี้เถอะ นายหญิงเหยียน เจ้ากลับไปได้แล้ว”ดวงตาของจูอวี้เหยียนกลายเป็นสีแดง เลือดเกือบจะพุ่งออกมานางโค้งคำนับอย่างไม่เต็มใจ แล้วออกจากตำหนักจินหวูอินชิงเสวียนให้หมัวมัวเฒ่ากลับไปพักผ่อน จากนั้นนางก็เข้าไปในมิติหลังจากแช่น้ำพุวิญญาณแล้ว ก็รู้สึกสดชื่น ความเหนื่อยล้าที่อดนอนทั้งคืนก็หายไปนางตรวจสอบเวลา แล้วอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงออกจากวังหลังจากที่เมื่อวานทรมานจูอวี้เหยียนมาทั้งคืน อาจทำให้หม
จูอวี้เหยียนแค่นเสียงหึอย่างเย็นชา พูดด้วยน้ำเสียงเหี้ยมเกรียม “เจ้าคงรู้วิธีการของข้า ถ้าขืนเจ้ากล้าทรยศ ข้าจะทำให้เจ้าร้องขอความตายก็ไม่ได้ ขอมีชีวิตอยู่ก็ไม่ได้”ฟางรั่วก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า “บ่าวไม่กล้า”จูอวี้เหยียนเหลือบมองนางแล้วพูดว่า “กลับไปซะ แล้วเรียกชิงจู๋กับฉุยหลิ่วเข้ามา”หลังจากนั้นไม่นาน สาวใช้สองคนก็เดินเข้ามาจากประตู โค้งคำนับอย่างนอบน้อม“บ่าวน้อมคำนับราชครู”จูอวี้เหยียนก้าวออกมา พูดอย่างเย็นชา “ตามข้าไปที่ตำหนักจินหวู”นางกระตุ้นกู่ตลอดทาง เมื่อกู่แม่ถูกเพรียกหา มันเริ่มเคลื่อนไหวอีกเพราะได้ดื่มเลือดหัวใจของจูอวี้เหยียน ทำให้วันนี้กู่แม่รู้สึกตื่นเต้นมากกว่าเมื่อก่อนจูอวี้เหยียนกระตุกมุมปากขึ้น นางอยากเห็นว่าเย่จิ่งอวี้จะทนได้นานแค่ไหนในตำหนัก อินชิงเสวียนกำลังดื่มชาพลางสนทนากับเย่จิ่งอวี้เย่จิ่งอวี้สวมเสื้อคลุมสีดำที่ดูสงบและสง่างาม ชายเสื้อและปกเสื้อปักด้วยด้ายสีทอง ยิ่งดูสูงส่งอินชิงเสวียนสวมกระโปรงคาดอกสีเหลืองอมส้ม สีวิจิตรงดงามรับกับใบหน้างดงามหยาดเยิ้มของนางได้เป็นอย่างดี ดุจเกสรแรกเกิด ที่สีสันสดสวยแพรวพรายทั้งสองคนหญิงงามหนุ่มหล่อนั่
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี