ที่แท้ก็เป็นแบบนี้นี่เองอินชิงเสวียนจับมือของเย่จิ่งอวี้ และพูดด้วยน้ำเสียงที่อ่อนโยนว่า “ตอนนี้ฝ่าบาทเป็นผู้ควบคุมทั่ว ราชโองการเพียงฉบับเดียวก็สามารถเรียกตัวจิ้งอ๋องกลับมาได้แล้วเพคะ ไม่จำเป็นต้องกังวลใจเพราะเรื่องนี้เลย”เย่จิ่งอวี้ยิ้มอย่างขมขื่นและพูดว่า “ข้ารอคอยให้เสด็จอากลับเมืองหลวงอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ในราชสำนักไม่มีผู้ใดมาแทนตำแหน่งของเสด็จอาได้ หากเขาออกจากเมืองซุ่ยหาน เป่ยมู่ต๋าต้องเกิดเรื่องไม่คาดฝันแน่นอน”“นับตั้งแต่เริ่มมีปฐมจักรพรรดิ ทุกพระองค์ล้วนแล้วแต่เน้นบุ๋นละบู๊ ใช้การปกครองอย่างมีเมตตาธรรมมาโดยตลอด ขุนนางฝ่ายบู๊จำนวนมากต้องผลัดเปลี่ยนไปเป็นขุนนางฝ่ายบุ๋น ตอนนี้แม่ทัพในราชสำนักมีระดับที่สูงต่ำแตกต่างกัน ต่างหมดยุคสมัยไปแล้วทั้งสิ้น จึงทำได้เพียงกินบำเหน็จรอความตายเท่านั้น หากไม่ใช่เพราะการถ่ายเทน้ำที่ยังไม่เสร็จสมบูรณ์ ข้าคงออกไปพิชิตเจียงวูกลุ่มน้อยด้วยตัวของข้าเอง”ขณะที่เย่จิ่งอวี้กล่าววาจาเช่นนี้ ออร่าของฮ่องเต้ก็แผ่กระจายออกมาจากด้านใน พลังอำนาจยิ่งใหญ่มหาศาลเมื่อมองใบหน้าที่อ่อนวัยและเข้มแข็งนี้ อินชิงเสวียนก็สามารถรับรู้ถึงความลำบากใจของเขาขุน
เย่จิ่งหลานพูดด้วยสีหน้าเปื้อนยิ้ม “เช่นนั้นอีกหนึ่งสัปดาห์ค่อยมาหาข้าใหม่”อินชิงเสวียนไร้ซึ่งทางเลือก“เย่จั้นนับเป็นผู้มีบุญคุณต่อตระกูลอิน เห็นแก่ที่เราสองคนเป็นคนบ้านเดียวกัน ข้าหวังว่าท่านจะช่วยไปตรวจดูว่าเขาป่วยด้วยโรคอะไรกันแน่?”เย่จิ่งหลานพูดอย่างไม่เต็มใจ “ผู้มีบุญคุณของหวงกุ้ยเฟยเกี่ยวอะไรกับข้า?”อินชิงเสวียนพูดไม่ออกทันทีนางครุ่นคิดครู่หนึ่ง เงยหน้าและพูดอย่างไม่เกรงใจ“ท่านน่าจะรู้ว่าฝ่าบาทมีท่าทีต่อข้าอย่างไร ตอนนี้มีเพียงข้าผู้เดียวที่สามารถเปลี่ยนความคิดของฝ่าบาทได้ หากท่านอยากออกจากวังไปเปิดจวนของตัวเอง จำเป็นต้องให้ข้าเป็นผู้พูดเสนอ และข้าคิดแล้วว่าจะไปเจรจากับโหรหลวงด้วยตัวเอง เพียงแค่ต้องแต่งเรื่องขึ้นมามั่วๆ ท่านก็จะออกจากวังได้แล้ว แต่ว่าท่านต้องช่วยข้าจัดการปัญหาที่ล้นมือก่อน ไม่เช่นนั้นท่านคงต้องรออีกหลายปี”เย่จิ่งหลานกัดเนื้อเสียบไม้ มองนางกึ่งยิ้มกึ่งไม่ยิ้ม“นี่ท่านกำลังขู่ข้าใช่ไหม?”อินชิงเสวียนยักไหล่“ข้าไม่ได้คิดเช่นนั้น ข้าเพียงแต่พูดความจริงเท่านั้น เพราะในโลกใบนี้ มีเพียงเราสองคนที่รู้จักกันดีที่สุดแล้ว”เย่จิ่งหลานแค่นเสียงหัวเราะและพู
ณ ห้องหนังสือเย่จิ่งอวี้เพิ่งเลิกประชุม เมื่อมาถึงก็เห็นอินชิงเสวียนยืนอยู่หน้าประตู“เสวียนเอ๋อร์ เจ้าอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?”เขารีบก้าวเท้าลงจากรถม้าพระที่นั่งมังกร และถามด้วยความห่วงใย “มาหาข้าด้วยเรื่องใดกัน?”“มีเรื่องเล็กน้อยเพคะ แต่ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจะทรงอนุญาตหรือไม่”“เรื่องใดกันถึงจริงจังขนาดนี้?”เย่จิ่งอวี้ก้มหน้ามองนาง ลูกปัดแขวนบนมาลามงกุฎของเขาทำให้เกิดเงาเล็กๆ บนใบหน้าของเขา ดวงตาคมของเขาก็ยิ่งลึกลงไปอีกอินชิงเสวียนพูดว่า “เกี่ยวกับเรื่องของจิ้งอ๋องเพคะ”เย่จิ่งอวี้ทำสีหน้าและแววตาดีใจ “หรือว่าจิ้งอ๋องฟื้นแล้ว?”อินชิงเสวียนส่ายหน้า “ยังเพคะ”เย่จิ่งอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย และถามขึ้นว่า “หรือว่า... เสวียนเอ๋อร์มีวิธี?”อินชิงเสวียนเม้มปากบางอดชมพูของนางเล็กน้อย เงยหน้าและพูดว่า “หม่อมฉันก็ไม่รู้ว่าสิ่งนี้นับเป็นวิธีหรือไม่ แต่คุ้มค่าที่จะลองเพคะ ฝ่าบาทคงทราบดีว่าฝูอี้อ๋องมีวิชาการแพทย์ที่ปราดเปรื่อง หม่อมฉันไปหาฝูอี้อ๋องมาแล้ว แต่เขาเสนอเงื่อนไขมาหนึ่งข้อเพคะ”“เงื่อนไขของเขา คือการออกจากวังเพื่อเปิดจวนใช่หรือไม่?”“เพคะ”เย่จิ่งอวี้สีหน้าเข้มเล็กน้อย“เขาช่า
อินชิงเสวียนชะงักฝีเท้าลง นางไม่ค่อยเข้าใจมิติการรักษา และไม่รู้ว่าเขามีวิธีในการอัพเกรดอย่างไร แต่ว่า นางอยากถามเพื่อให้แน่ใจความคิดของเย่จิ่งหลาน“ท่านอ๋องคงไม่ทำเรื่องที่กบฏต่อต้าโจวใช่หรือไม่?”เย่จิ่งหลานแบมือออกอย่างทำอะไรไม่ได้“ท่านคิดว่าร่างกายเล็กจ้อยร่อยของข้าจะทำอะไรได้? ข้าก็แค่อยากออกไปหาที่อยู่ และตรวจรักษาอาการให้ผู้อื่น หากเขอโรคที่มีความยากและซับซ้อน ไม่แน่ว่าอาจสะสมประสบการณ์เพิ่มได้ ก็แค่นี้เอง”ฟังน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาและผ่อนคลายของเขา อินชิงเสวียนก็ไม่เห็นความคิดอื่นใดในสายตาเขาอีกแล้วระหว่างบทสนทนา ทั้งสองก็มาถึงสำนักหมอหลวงแล้วหมอหลวงเหลียงไม่ได้ปิดตานอนมาตลอดคืน และเขายังถือเข็มทองไว้ในมือ เพื่อหาใิธีที่อาจใช้รักษาเย่จั้นได้เมื่อเห็นดวงตาสองข้างที่แดงก่ำของหมอหลวงเหลียง อินชิงเสวียนก็อดสงสารไม่ได้“หมอหลวงเหลียงพักสักครู่ก่อนเถอะ ให้ฝูอี้อ๋องตรวจดูจิ้งอ๋องดีกว่า”หมอหลวงเหลียงรีบลุกขึ้นทำความเคารพทั้งสองคน สายตาของเขาเผยความยินดีปรีดาออกมาวันนั้นจอมพลเฒ่ากวนบาดเจ็บสาหัส และเขาก็ไร้ซึ่งหนทางในการรักษา แต่กลับถูกท่านอ๋องน้อยเป็นผู้ช่วยชีวิตเอาไว้ ตอ
“ท่านอ๋อง!”อินชิงเสวียนตะโกนเรียกด้วยความตกใจเย่จั้นกลับสู่สภาวะหมดสติอีกครั้งเมื่อเห็นริมฝีปากเริ่มเขียวเล็กน้อย อินชิงเสวียนก็ร้อนใจ“นี่มันอะไรกัน ทำไมดูเหมือนอาการทรุดลงกว่าเดิม? ก้อนนั่นคืออะไร และจะเอาพวกมันออกมาได้อย่างไร?”เย่จิ่งหลานไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาเองก็งุนงงเช่นกัน“ข้าก็ไม่รู้ว่านี่คืออะไร ดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต แต่มันแยกออกจากกันได้ นี่มันน่าประหลาดเกินไปแล้ว”หากไม่เห็นด้วยตาของตัวเอง เย่จิ่งหลานก็ไม่มีทางเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องอัศจรรย์พันลึกเช่นนี้ หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน พวกนักวิชาการเหล่านั้นจะต้องจับเย่จั้นไปทำการวิจัยอย่างแน่นอนแต่ตอนนี้เย่จั้นเป็นถึงท่านอ๋อง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวเขาหยิบคีมขึ้นมาแล้วสัมผัสไปที่กล้ามเนื้อหัวใจ แต่สิ่งนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก และมันก็แทรกซึมเข้าไปจนหมดเขาจึงส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้“นอกเสียจากผ่าตัดเปิดหัวใจของเย่จั้น แต่ว่าร่างกายเย่จั้นอ่อนแอมากเกินไป เกรงว่าจะรับการผ่าตัดระดับสูงขนาดนี้ไม่ไหว”“เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”ผ่าตัดเปิดร่างคนถึงขนาดนี้แล้ว กลับตรวจหาอะไรไม่พบ
ไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของคนชุดดำ ทำให้อินชิงเสวียนชาวาบไปทั้งศีรษะนางหยุดฝีเท้าลง กระซิบกับเสี่ยวอานจื่อ “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ให้ดี”เสี่ยวอานจื่อไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นคนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติงราวกับภูตผีก็ไม่ปาน เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจแล้ว“พระสนม...”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง“อย่าพูดมาก รีบไปซะ”เสี่ยวอานจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”คนชุดดำทำราวกับมองไม่เห็นเสี่ยวอานจื่อ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งแต่เพียงอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเสี่ยวอานจื่อหายตัวไป นางจึงประกบมือคำนับพูดว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเข้าวังมาด้วยธุระอันใด”คนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง “ลิ่นเซียวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และพิณก็ไม่ได้อยู่กับเขา”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พิณก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้เยาว์เช่นกัน ผู้อาวุโสที่เป็นถึงยอดฝีมือผู้ถือสันโดษ คงไม่บีบบังคับผู้เยาว์เพียงเพราะเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวกระมัง หากผู้อาวุโสดึงดันต้องการให้แสดงวรยุทธ์ที่แท้จริง ผู้เยาว์ก็พร้อมรับใช้”สิ่
“หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์คือที่ใดกันแน่”เย่จิ่งอวี้มองไปที่คนชุดดำและถามอย่างเย็นชาทันทีที่เขาได้ยินคำนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินมาก่อนสายตาคนชุดดำจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตา โดยที่อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาฉายแวววูบไหวไม่แน่นอน“ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครในโลกจะหาพบได้ ฝ่าบาทอย่าถามมากจะดีกว่า สำนักที่ถือสันโดษไม่เกี่ยวข้องกับทางโลก และฝ่าบาทก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแดกดัน “ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับไต้หล้า แล้วเหตุใดถึงต้องมาแย่งชิงพิณการเวกไปด้วยเล่า”คนชุดดำกล่าวว่า “เดิมทีพิณการเวกเป็นของอาจารย์ในสำนักของข้า เป็นลิ่นเซียวที่ล่อลวงหลี่เฟิ่งอี๋และนำพิณนี้มาสู่ใต้หล้า หากได้พิณนี้แล่ว ข้าสัญญาว่าจะไม่มารบกวนพวกเจ้าอีก”เย่จิ่งอวี้ไม่เชื่อคำมุสาของนาง จึงถามอีกว่า “แล้วกระพรวนทองนั่นเจ้าได้มาจากที่ใด มีคุณสมบัติอย่างไรกันแน่”อินชิงเสวียนกลับมาพอดี เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามเกี่ยวกับกระพรวนทอง นางก็ชะงักกึกทันทีเย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพราะเสียงกระพรวนมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสนี้ถามให้กระจ่า
“เสด็จอาไม่ต้องร้อนใจไป รองแม่ทัพหลิวเฉิงโจวและเสด็จอารบทัพจับศึกตั้งแต่เหนือยันใต้ เรื่องการป้องกันเมืองไม่เป็นปัญหา ถ้าเสด็จอายืนกรานที่จะไปให้ได้ ข้าก็ทำได้แค่ต้องไปส่งเสด็จอากลับด้วยตัวเอง”ครั้นได้ยินคำพูดของเย่จิ่งอวี้ เย่จั้นก็ถอนหายใจ“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้ตบมือที่ซีดเซียวของเขาเบาๆ ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วพูดว่า “ท่านกับข้าเป็นอาหลาน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”เมื่อเห็นว่าสองอาหลานสนิทสนมแน่นแฟ้นขนาดนี้ อินชิงเสวียนก็ไม่วายอิจฉาในใจยังคิดถึงตระกูลอินสองพ่อลูก ไม่รู้ว่าพวกเดินทางไปถึงที่ใดแล้วพวกเขากลับมาอยู่ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ นางไม่ทันมีเวลาได้ถามถึงเรื่องของอินหลีเลยด้วยซ้ำในเวลาเดียวกัน จู่ๆ อินปู้อวี่ที่กำลังเดินทางอยู่ก็จามขึ้น“สหายอิน เจ้าไม่สบายหรือเปล่า”กวนเซี่ยวเดินม้ามาถามอินปู้อวี่ลูบจมูก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “ไม่เป็นไร น้องหญิงใหญ่อาจกำลังคิดถึงข้า”กวนเซี่ยวพูดติดตลก “ที่แท้ก็เป็นน้องสาวอินนี่เอง ข้าคิดว่าเจ้ากำลังพูดถึงสตรีผู้อื่นเสียอีก”อินปู้อวี่ต่อยเขาเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก “สตรีผู้ใดจะมาชอบข้า”กวนเซี่ยวกอดอกมองดูเ
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี