อินชิงเสวียนชะงักฝีเท้าลง นางไม่ค่อยเข้าใจมิติการรักษา และไม่รู้ว่าเขามีวิธีในการอัพเกรดอย่างไร แต่ว่า นางอยากถามเพื่อให้แน่ใจความคิดของเย่จิ่งหลาน“ท่านอ๋องคงไม่ทำเรื่องที่กบฏต่อต้าโจวใช่หรือไม่?”เย่จิ่งหลานแบมือออกอย่างทำอะไรไม่ได้“ท่านคิดว่าร่างกายเล็กจ้อยร่อยของข้าจะทำอะไรได้? ข้าก็แค่อยากออกไปหาที่อยู่ และตรวจรักษาอาการให้ผู้อื่น หากเขอโรคที่มีความยากและซับซ้อน ไม่แน่ว่าอาจสะสมประสบการณ์เพิ่มได้ ก็แค่นี้เอง”ฟังน้ำเสียงที่ไร้เดียงสาและผ่อนคลายของเขา อินชิงเสวียนก็ไม่เห็นความคิดอื่นใดในสายตาเขาอีกแล้วระหว่างบทสนทนา ทั้งสองก็มาถึงสำนักหมอหลวงแล้วหมอหลวงเหลียงไม่ได้ปิดตานอนมาตลอดคืน และเขายังถือเข็มทองไว้ในมือ เพื่อหาใิธีที่อาจใช้รักษาเย่จั้นได้เมื่อเห็นดวงตาสองข้างที่แดงก่ำของหมอหลวงเหลียง อินชิงเสวียนก็อดสงสารไม่ได้“หมอหลวงเหลียงพักสักครู่ก่อนเถอะ ให้ฝูอี้อ๋องตรวจดูจิ้งอ๋องดีกว่า”หมอหลวงเหลียงรีบลุกขึ้นทำความเคารพทั้งสองคน สายตาของเขาเผยความยินดีปรีดาออกมาวันนั้นจอมพลเฒ่ากวนบาดเจ็บสาหัส และเขาก็ไร้ซึ่งหนทางในการรักษา แต่กลับถูกท่านอ๋องน้อยเป็นผู้ช่วยชีวิตเอาไว้ ตอ
“ท่านอ๋อง!”อินชิงเสวียนตะโกนเรียกด้วยความตกใจเย่จั้นกลับสู่สภาวะหมดสติอีกครั้งเมื่อเห็นริมฝีปากเริ่มเขียวเล็กน้อย อินชิงเสวียนก็ร้อนใจ“นี่มันอะไรกัน ทำไมดูเหมือนอาการทรุดลงกว่าเดิม? ก้อนนั่นคืออะไร และจะเอาพวกมันออกมาได้อย่างไร?”เย่จิ่งหลานไม่เคยเห็นสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน เขาเองก็งุนงงเช่นกัน“ข้าก็ไม่รู้ว่านี่คืออะไร ดูเหมือนเป็นสิ่งมีชีวิต แต่มันแยกออกจากกันได้ นี่มันน่าประหลาดเกินไปแล้ว”หากไม่เห็นด้วยตาของตัวเอง เย่จิ่งหลานก็ไม่มีทางเชื่อว่าบนโลกนี้จะมีเรื่องอัศจรรย์พันลึกเช่นนี้ หากอยู่ในยุคสมัยปัจจุบัน พวกนักวิชาการเหล่านั้นจะต้องจับเย่จั้นไปทำการวิจัยอย่างแน่นอนแต่ตอนนี้เย่จั้นเป็นถึงท่านอ๋อง หากเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาจริงๆ เขาคงรับผิดชอบไม่ไหวเขาหยิบคีมขึ้นมาแล้วสัมผัสไปที่กล้ามเนื้อหัวใจ แต่สิ่งนั้นเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก และมันก็แทรกซึมเข้าไปจนหมดเขาจึงส่ายหน้าอย่างอดไม่ได้“นอกเสียจากผ่าตัดเปิดหัวใจของเย่จั้น แต่ว่าร่างกายเย่จั้นอ่อนแอมากเกินไป เกรงว่าจะรับการผ่าตัดระดับสูงขนาดนี้ไม่ไหว”“เช่นนั้นจะทำอย่างไร?”ผ่าตัดเปิดร่างคนถึงขนาดนี้แล้ว กลับตรวจหาอะไรไม่พบ
ไอเย็นยะเยือกชนิดหนึ่งเล็ดลอดออกมาจากร่างกายของคนชุดดำ ทำให้อินชิงเสวียนชาวาบไปทั้งศีรษะนางหยุดฝีเท้าลง กระซิบกับเสี่ยวอานจื่อ “เจ้ากลับตำหนักไปก่อน ปกป้องจ้าวเอ๋อร์ให้ดี”เสี่ยวอานจื่อไม่ใช่คนโง่ เมื่อเห็นคนผู้นั้นยืนนิ่งอยู่ที่พื้นไม่ไหวติงราวกับภูตผีก็ไม่ปาน เขาก็รู้สึกถึงลางสังหรณ์ที่ไม่ดีขึ้นในใจแล้ว“พระสนม...”ใบหน้าของอินชิงเสวียนมืดลง“อย่าพูดมาก รีบไปซะ”เสี่ยวอานจื่อลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้วกระซิบ “กระหม่อมน้อมรับคำสั่ง”คนชุดดำทำราวกับมองไม่เห็นเสี่ยวอานจื่อ ดวงตาทั้งคู่จ้องเขม็งแต่เพียงอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเสี่ยวอานจื่อหายตัวไป นางจึงประกบมือคำนับพูดว่า “ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเข้าวังมาด้วยธุระอันใด”คนผู้นั้นพูดด้วยน้ำเสียงแหบกระด้าง “ลิ่นเซียวไม่ได้อยู่ในเมืองหลวง และพิณก็ไม่ได้อยู่กับเขา”อินชิงเสวียนกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “พิณก็ไม่ได้อยู่ที่ผู้เยาว์เช่นกัน ผู้อาวุโสที่เป็นถึงยอดฝีมือผู้ถือสันโดษ คงไม่บีบบังคับผู้เยาว์เพียงเพราะเครื่องดนตรีเพียงชิ้นเดียวกระมัง หากผู้อาวุโสดึงดันต้องการให้แสดงวรยุทธ์ที่แท้จริง ผู้เยาว์ก็พร้อมรับใช้”สิ่
“หอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์คือที่ใดกันแน่”เย่จิ่งอวี้มองไปที่คนชุดดำและถามอย่างเย็นชาทันทีที่เขาได้ยินคำนี้ เขารู้สึกราวกับว่าเคยได้ยินมาก่อนสายตาคนชุดดำจับจ้องใบหน้าหล่อเหลาของเย่จิ่งอวี้โดยไม่ละสายตา โดยที่อารมณ์ความรู้สึกในดวงตาฉายแวววูบไหวไม่แน่นอน“ที่แห่งนั้นเป็นสถานที่ที่ไม่มีใครในโลกจะหาพบได้ ฝ่าบาทอย่าถามมากจะดีกว่า สำนักที่ถือสันโดษไม่เกี่ยวข้องกับทางโลก และฝ่าบาทก็ไม่ต้องกลัวว่าข้าจะทำร้ายผู้บริสุทธิ์”เย่จิ่งอวี้ยิ้มแดกดัน “ในเมื่อไม่เกี่ยวข้องกับไต้หล้า แล้วเหตุใดถึงต้องมาแย่งชิงพิณการเวกไปด้วยเล่า”คนชุดดำกล่าวว่า “เดิมทีพิณการเวกเป็นของอาจารย์ในสำนักของข้า เป็นลิ่นเซียวที่ล่อลวงหลี่เฟิ่งอี๋และนำพิณนี้มาสู่ใต้หล้า หากได้พิณนี้แล่ว ข้าสัญญาว่าจะไม่มารบกวนพวกเจ้าอีก”เย่จิ่งอวี้ไม่เชื่อคำมุสาของนาง จึงถามอีกว่า “แล้วกระพรวนทองนั่นเจ้าได้มาจากที่ใด มีคุณสมบัติอย่างไรกันแน่”อินชิงเสวียนกลับมาพอดี เมื่อได้ยินเย่จิ่งอวี้ถามเกี่ยวกับกระพรวนทอง นางก็ชะงักกึกทันทีเย่จิ่งอวี้ตกอยู่ในสถานการณ์ลำบากเพราะเสียงกระพรวนมาโดยตลอด ดังนั้นเขาจึงถือโอกาสนี้ถามให้กระจ่า
“เสด็จอาไม่ต้องร้อนใจไป รองแม่ทัพหลิวเฉิงโจวและเสด็จอารบทัพจับศึกตั้งแต่เหนือยันใต้ เรื่องการป้องกันเมืองไม่เป็นปัญหา ถ้าเสด็จอายืนกรานที่จะไปให้ได้ ข้าก็ทำได้แค่ต้องไปส่งเสด็จอากลับด้วยตัวเอง”ครั้นได้ยินคำพูดของเย่จิ่งอวี้ เย่จั้นก็ถอนหายใจ“ขอบพระทัยฝ่าบาท”เย่จิ่งอวี้ตบมือที่ซีดเซียวของเขาเบาๆ ยิ้มอย่างอบอุ่นแล้วพูดว่า “ท่านกับข้าเป็นอาหลาน ไม่จำเป็นต้องมากพิธี”เมื่อเห็นว่าสองอาหลานสนิทสนมแน่นแฟ้นขนาดนี้ อินชิงเสวียนก็ไม่วายอิจฉาในใจยังคิดถึงตระกูลอินสองพ่อลูก ไม่รู้ว่าพวกเดินทางไปถึงที่ใดแล้วพวกเขากลับมาอยู่ได้เพียงระยะเวลาสั้นๆ นางไม่ทันมีเวลาได้ถามถึงเรื่องของอินหลีเลยด้วยซ้ำในเวลาเดียวกัน จู่ๆ อินปู้อวี่ที่กำลังเดินทางอยู่ก็จามขึ้น“สหายอิน เจ้าไม่สบายหรือเปล่า”กวนเซี่ยวเดินม้ามาถามอินปู้อวี่ลูบจมูก แล้วพูดด้วยรอยยิ้มแฉ่งว่า “ไม่เป็นไร น้องหญิงใหญ่อาจกำลังคิดถึงข้า”กวนเซี่ยวพูดติดตลก “ที่แท้ก็เป็นน้องสาวอินนี่เอง ข้าคิดว่าเจ้ากำลังพูดถึงสตรีผู้อื่นเสียอีก”อินปู้อวี่ต่อยเขาเบาๆ กล่าวด้วยรอยยิ้มอย่างไม่คิดอะไรมาก “สตรีผู้ใดจะมาชอบข้า”กวนเซี่ยวกอดอกมองดูเ
ฟางรั่วตัวสั่นไปทั้งร่างกล่าวด้วยสีหน้าหวาดผวาว่า “ราชครูโปรดไว้ชีวิตด้วย”ให้ตายนางก็นึกไม่ถึงว่า ตัวเองอุตส่าห์ปลอมตัวมาตลอดทาง แต่ตัวตนกลับถูกเปิดเผยก่อนที่จะได้พบกับอาซือหลานด้วยซ้ำ“นังไพร่ชั้นต่ำ ยังกล้าขอให้ข้าไว้ชีวิตอีก ถ้าท่านอ๋องรู้ว่าเจ้าเป็นคนสวมรอยแทน เจ้ารู้หรือไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น”จูอวี้เหยียนตบหน้านางอีกฉาดหนึ่ง จนมีเลือดไหลออกมาจากมุมปากของฟางรั่วเมื่อนึกถึงวิธีการอันโหดเหี้ยมของอาซือหลานแล้ว ฟางรั่วก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นไม่รู้ว่าผีร้ายอะไรมาดลใจนางจริงๆ ทำไมถึงได้โดนอินชิงเสวียนหลอกได้ ท่านอ๋องเชี่ยวชาญในวิชาแปลงโฉม เป็นไปไม่ได้ที่จะมองไม่ออก นางถึงขั้นเพ้อฝันอยากจะค้างคืนกับเขาจริงๆ...เมื่อคิดถึงผลที่ตามมา ฟางรั่วก็หน้าถอดสีทันที“บ่าวไม่ได้ตั้งใจเจ้าค่ะ ทั้งหมดต้องโทษอินชิงเสวียนที่เจ้าเล่ห์เกินไป นางควบคุมตัวบ่าวไว้ แย่งหน้ากากของบ่าวไป แล้วใส่หน้ากากนี้ไว้บนใบหน้าของบ่าว บาวยังถูกจี้สกัดจุดมาตลอดทาง ไม่มีโอกาสที่จะอธิบายความจริงให้หระจ่าง”ฟางรั่วคลานขึ้นมาโขกศีรษะซ้ำแล้วซ้ำเล่า ร่างกายของนางสั่นสะท้านราวกับเรือลำเล็กในทะเลใหญ่จูอวี้เหยียนเหลือบ
ในเวลานี้ อาซือหลานพร้อมด้วยสาวใช้ทั้งสี่คนได้เดินทางมุ่งหน้าไปยังภูเขาด่านถงกู่ได้รับการพิทักษ์ปกป้องโดยต้าโจวมาโดยตลอด หากพวกเขาต้องการกลับไปที่เจียงวู ก็มีแต้ต้องปีนข้ามเขาเท่านั้นหลังจากพักผ่อนไม่กี่วัน ความแข็งแกร่งทางร่างกายของอาซือหลานฟื้นตัวพอสมควรแล้ว สีหน้าดูสดใสขึ้นมากเขาขึ้นภูเขาด้วยฝีเท้าว่องไวดุจบินได้ ราวกับเดินบนพื้นราบ สาวใช้ทั้งสี่เดินตามหลังเขาไปติดๆ ทุกคนหายใจหอบ เหงื่อไหลไคลย้อย เมื่อขึ้นไปถึงยอดเขา อาซือหลานก็หยุดฝีเท้าลง เอามือไพล่หลัง แล้วทอดสายตามองด่านถงกู่ไกลๆนี่เป็นปราการธรรมชาติด่านสุดท้ายของต้าโจว หากสามารถผ่านด่านถงกู่ได้ ก็สามารถโรมรุกบุกตะลุยตรงเข้าไปยึดเมืองหลวงได้เขาเล่นกับต้าโจวมานานแล้ว และถึงเวลาที่จะต้องกลับไปต่อสู้กับพวกที่ดีแต่ดื่มสุราไม่ได้ประโยชน์เหล่านี้อย่างจริงจังแล้วเมื่อคิดว่าเวลานี้อินชิงเสวียนน่าจะมาถึงเจียงวูแล้ว ก็อดไม่ได้ที่จะมีความสุขบัดนี้เย่จั้นได้ตายแล้ว ทั้งอินชิงเสวียนและอินสิงอวิ๋นก็อยู่ในมือของเขา แม้ว่าอินจ้งจะกลับมา แล้วจะทำอะไรได้เล่าแม้เสือร้ายก็ไม่กินลูกของมัน ดังนั้นเขาจึงไม่เชื่อว่าอินจ้งจะลงมือ
ณ สำนักหมอหลวงเย่จั้นฟื้นคืนสติเต็มที่แล้ว อินชิงเสวียนได้ปรุงน้ำแกงที่ใส่น้ำพุวิญญาณให้เขาเป็นพิเศษ ถือเป็นการชดเชยความผิดพลาดของตัวเองน้ำแกงมีรสกลมกล่อมถูกปากมาก เย่จั้นจึงกินได้มาก ซดน้ำแกงไปชามใหญ่ และกินเนื้อไก่ด้วยหลี่เต๋อฝูป้อนอาหารด้วยตัวเอง แต่เมื่อเห็นว่าเย่จั้นหยุดกิน เขาก็เก็บชามออกไปเย่จั้นไม่สามารถลุกขึ้นได้ จึงพยักหน้าให้อินชิงเสวียนแทน“ขอบคุณหวงกุ้ยเฟย”อินชิงเสวียนผลิยิ้มบางๆ“ท่านอ๋องเกรงใจไปแล้ว”ที่นั่งอยู่ข้างเตียงคือเย่จิ่งอวี้ที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าครามปกกว้างปักลายเมฆามงคลสีเข้ม สีสะอาดตา ขับเน้นให้ผิวขาวดูราวกับหยก ยิ่งหล่อเหลายิ่งขึ้น“ดูสีหน้าของเสด็จอา เหมือนจะดีขึ้นกว่าเมื่อวานมาก”เย่จิ่งอวี้กล่าวด้วยรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา“ดีขึ้นมากจริงๆ ต้องขอบคุณหมอหลวงเหลียงด้วย ถ้าเขาไม่มาช่วย กระหม่อมคงจากฮ่องเต้ไปแล้ว”เย่จั้นไม่รู้ว่าใครเป็นคนช่วยชีวิตเขา และคิดว่าเป็นหมอหลวงเหลียงที่มีทักษะทางการแพทย์ที่ยอดเยี่ยม ทำการผ่าตัดเพื่อกำจัดกู่ออกจากเขาเย่จิ่งอวี้ส่ายศีรษะ“ผู้ที่ช่วยชีวิตเสด็จอาไม่ใช่หมอหลวงเหลียง แต่เป็นเสวียนเอ๋อร์”“โอ้?”เ
ไม่ว่าซูเยี่ยจะจำอดีตกับเขาหรือไม่ก็ตาม มันก็ไม่สำคัญสำหรับเย่จิ่งหลานอีกต่อไปแล้วสวรรค์ทำให้เขาได้เจอผู้หญิงคนนี้อีกครั้ง อาจเป็นเพราะต้องการให้เขาได้เห็นโฉมหน้าที่แท้จริงของซูเยี่ย ผู้หญิงประเภทนี้ จริงๆ แล้วมันไม่จำเป็นต้องให้เขาเสียเวลาด้วยซ้ำเขาเพิ่งอายุได้ยี่สิบแปดปี อนาคตยังอีกยาวไกล ซูเยี่ยเป็นเพียบใบไหม้ที่ร่วงไปจากชีวิตของเขา ไม่มีความสำคัญอะไรเลยเย่จิ่งหลานกระตุกมุมปากขึ้นยิ้ม ค่อยๆ รู้สึกปลอดโปร่งใจเขาเดินออกจากสวนสาธารณะอย่างช้าๆ และทันใดนั้นก็มีอีกคำถามหนึ่งผุดขึ้นมาใบหน้านี้ไม่ใช่หน้าตาเดิมของเขา ใครเป็นคนทำศัลยกรรมให้เขา?พลังในร่างกาย มาจากไหนกันแน่แล้วผู้หญิงที่อยู่ในหัวของเขา เป็นใครกันแน่หรือว่าเขาฝึกฝนจนสำเร็จเคล็ดวิชาลับบางอย่าง และผู้หญิงคนนั้นคือแก่นวิญญาณของเขา?เย่จิ่งหลานดึงขอบเอวกางเกงของเขาโดยไม่รู้ตัว ไอ้นั่นยังคงอยู่ตรงนั้น ไม่อย่างนั้นเขาคงคิดว่าตัวเองฝึกฝนวิชาจนกลายเป็นตงฟางปุ๊ป้ายในเรื่องกระบี่เย้ยยุทธจักรแล้วแต่การมีสิ่งเหล่านี้จะมีประโยชน์อะไร เอามาใช้กินใช้ดื่มไม่ได้ ตอนนี้ท้องของเขาร้องโครกคราก แต่ไม่มีเงินอยู่ในกระเป๋าเลยขณะที่
ชายคนนั้นหยิบกระดาษทิชชู่ออกจากกระเป๋า เช็ดนิ้วด้วยความรังเกียจ แล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามองซูเยี่ยนั่งบนพื้นร้องไห้เสียงดัง ความฝันที่จะแต่งเข้าไปอยู่ในครอบครัวที่ร่ำรวย ได้พังทลายอีกครั้งมือที่มีเห็นข้อต่อเด่นชัดยื่นออกไปต่อหน้าซูเยี่ยซูเยี่ยเงยหน้าขึ้น แล้วก็เห็นใบหน้าหล่อเหลาราวกับดาราทันทีสิ่งที่ทำให้เธอตื่นเต้นยิ่งกว่านั้นคือ ชายคนนั้นสวมเสื้อผ้าแบรนด์ดัง ซึ่งแสดงให้เห็นว่าเขามีฐานะที่ดีหากสามารถเกาะเกี่ยวลูกเศรษฐีที่ทั้งหล่อทั้งรวยแบบนี้ได้ ถูกตบหน้าแค่ครั้งเดียวจะเป็นไรไป บางทีนี่อาจเป็นความยากลำบากทั้งหมดที่สวรรค์ส่งมาให้ ที่มาอยู่ที่นี่ ก็เพื่อให้ได้เจอกับคนที่ดีกว่าเธอสูดจมูก จับมือนั้นไว้ เพิ่งยืนขึ้นมาได้ครึ่งตัว มือก็คลายออกซูเยี่ยเสียการทรงตัว และล้มลงกับพื้นอีกครั้งเธอมองเย่จิ่งหลานด้วยความประหลาดใจ ไม่เข้าใจว่าเขากำลังคิดอะไรอยู่เย่จิ่งหลานยกมุมปากขึ้น คุกเข่าลงต่อหน้าเธอ ถามด้วยรอยยิ้มคล้ายไม่ยิ้ม “รู้สึกยังไงที่ถูกทิ้ง?”“อะไรนะ...คุณหมายความว่ายังไง?”ซูเยี่ยถามด้วยเสียงต่ำ ดวงตาสีแดงทั้งคู่ ทำให้เขาดูมีเสน่ห์มากกว่าเมื่อก่อนนี่ไม่ใช่ฉากที่ป
เย่จิ่งหลานโบกมือ ประตูก็เปิดออกแสงจากด้านนอกประตูส่องเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัย ทุกคนก็เห็นหลี่ไห่ตงนอนอยู่บนพื้นทันที และมีเจ้าหน้าที่รักษาความปลอยภัยนอนระเกะระกะอยู่ข้างๆชายหนุ่มรูปหล่อคนนี้เดินออกไปโดยไม่มีร่องรอยเลือด หรือฝุ่นผงบนร่างกายเลยทุกคนก้าวถอยหลัง มองดูเย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าหวาดกลัวเย่จิ่งหลานเดินขึ้นไปที่ลิฟต์โดยไม่หรี่ตามองในช่วงที่เขาถูกบีบให้ออกจากโรงพยาบาลระดับตติยภูมิ แต่ละนาทีแต่ละวินาที เขามักจะจินตนาการถึงการทุบตีหลี่ไห่ตงอย่างรุนแรง ได้ระบายความโกรธ วันนี้ ในที่สุดเขาก็ทำได้แล้ว สำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในอนาคต เย่จิ่งหลานไม่อยากคิดอะไรมากเขารีบออกจากโรงพยาบาล มาที่สวนสาธารณะเล็กๆ ใกล้ ๆ มีชายชราคนหนึ่งที่อาบแดดอยู่ เย่จิ่งหลานเหลือบมองเขา และนั่งอีกด้านหนึ่งทั้งสองคนไม่ได้คุยกัน แค่พบกันโดยบังเอิญ ต่างไม่รู้จักกัน และไม่จำเป็นต้องพูดคุยกันเขาค่อยๆ ผ่อนคลายร่างกาย เอนหลังพิงเก้าอี้ หรี่ตาเหมือนที่ชายชราทำ ความอบอุ่นของดวงอาทิตย์ที่ส่องบนร่างกายของเขาช่างทำให้รู้สึกผ่อนคลายจริงๆหลังจากสงบสติอารมณ์ได้แล้ว เย่จิ่งหลานก็คิดถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาพลังลมป
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง