อินชิงเสวียนได้ยินจนหัวใจเต้นรัว แต่ยังคงแข็งใจเอาไว้นางไม่เคยหาเรื่องใครก่อน ทุกอย่างเป็นเพราะสวีจือย่วนก่อเรื่องเองเดิมทีอินชิงเสวียนคิดว่าสวีจือย่วนเป็นคนไม่เลว ก่อนหน้านี้จึงดูแลทุกอย่าง แต่ทว่านางกลับทำตัวเกินเยียวยา การที่นางยังมีชีวิตอยู่ นับเป็นบุญมากโขแล้วเมื่อสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อย นางจึงหันไปหาเย่จิ่งอวี้“ท่านพ่อของข้าได้ทูลเรื่องขอรบต่อฝ่าบาทหรือไม่เพคะ?”เย่จิ่งอวี้แววตานิ่งเฉย ราวกับไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยเมื่อได้ยินก็ยิ้มอย่างอ่อนโยนและพูดว่า “นอกจากท่านพ่อและท่านพี่ของเจ้า ยังมีท่านผู้เฒ่ากวน กวนเซี่ยวก็จะออกเดินทางไปด้วย หากไม่ใช่เพราะเจ้า เกรงว่าเขายังคงดื้อดึงทำเรื่องที่ไร้ประโยชน์”อินชิงเสวียนพูดอย่างถ่อมตัว “เรื่องของกวนเซี่ยว ก็เป็นเพราะความเมตตาของฝ่าบาท หากไม่ใช่เพราะฝ่าบาทเห็นว่าเขาเป็นหลานชายเพียงคนเดียวของจอมพลเฒ่ากวนและยังไว้ชีวิตของเขา ก็คงไม่มีเรื่องดีๆ เกิดขึ้นในวันนี้หรอกเพคะ”เย่จิ่งอวี้มองนางและย้อนถามว่า “เสวียนเอ๋อร์ไม่คิดว่าข้ากระทำต่อสวีจือย่วนรุนแรงเกินไปใช่หรือไม่?”อินชิงเสวียนเลิกคิ้ว“เหตุใดฝ่าบาทจึงถามเช่นนี้เพคะ?”“ข้าไม่อยา
“คุณชาย ท่านฟื้นแล้วหรือ?”จังอวี้จิ่นเก็บชามด้วยความลนลาน มีสีแดงระเรื่อตั้งแต่ใบหน้าไปถึงต้นคออาซือหลานเหลือบมองนางและถามว่า “ที่นี่คือที่ใดกัน?”“ที่นี่คือหมู่บ้านประมงเล็กๆ คุณชายถูกท่านพ่อของข้าและชาวประมงช่วยขึ้นมาเจ้าค่ะ”จังอวี้จิ่นไม่เงยหน้าขึ้น และพูดด้วยน้ำเสียงเบา“อ๋อ หมู่บ้านของพวกเจ้ามีกันกี่คน?”น้ำเสียงของอาซือหลานเชื่องช้าและอ่อนโยน ฟังดูประดุจอาบน้ำในช่วงฤดูใบไม้ผลิจังอวี้จิ่นพูดว่า “ไม่มากเจ้าค่ะ มีเพียงสิบกว่าครัวเรือน”อาซือหลานพยักหน้า“ดีมาก”จังอวี้จิ่นเงยหน้าขึ้นด้วยความแปลกใจอาซือหลานส่งยิ้มให้กับนาง“แม่นาง ช่วยหาเสื้อผ้าให้ข้าจะได้หรือไม่?”จังอวี้จิ่นนึกได้ว่าตอนนี้อาซือหลานกำลังเปลือยกายอยู่ จึงรีบพยักหน้า“คุณชายรอประเดี๋ยวนะเจ้าคะ ข้าจะไปเอาชุดของท่านพ่อมาให้”จังอวี้จิ่นเดินมาที่บ้านหลังน้อย ค้นหาชุดเสื้อผ้าง่ายๆ เพื่อนำไปให้อาซือหลาน“ขอบใจมากนะ”อาซือหลานรับเสื้อผ้ามา และยิ้มอย่างอบอุ่นเขามีรูปร่างหน้าตาสง่างาม ยิ้มขึ้นมาก็ยิ่งน่ามองดู จังอวี้จิ่นไม่เคยพบเจอผู้ชายที่หน้าตาดีเช่นนี้มาก่อน ใบหน้าเล็กๆ จึงแดงระเรื่อขึ้นมาอีกครั้ง
ชาวประมงหลายคนทำสีหน้าดีใจ ต่างพากันพยักหน้า“เช่นนั้นต้องขอบคุณคุณชายอินเป็นอย่างมาก”“บังเอิญมีตลาดอยู่ใกล้ๆ พรุ่งนี้จะเป็นวันไปตลาด”“ในตลาดมีของขายทุกอย่าง สามารถซื้อของกินชั้นดีได้มากทีเดียว”ชีวิตชาวประมงค่อนข้างลำบาก พวกเขาแทบไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากปลา เมื่อได้ยินว่ามีคนจ่ายเงินเลี้ยงอาหาร พวกเขาก็เริ่มพูดคุยกันอย่างมีความสุขมุมปากของอาซือหลานเผยรอยยิ้มให้เห็นจางๆ และนำเงินใส่ในมือของตาเฒ่าจัง“เอาตามนี้แล้วกัน พรุ่งนี้ไม่ต้องออกไปจับปลา ข้าอาจจะอยู่อีกไม่นานนัก พวกเราใช้โอกาสนี้มาฉลองกันดีกว่า”เมื่อได้ยินเช่นนี้ จังอวี้จิ่นที่ยกโจ๊กมาที่หน้าประตูก็รู้สึกเศร้าเล็กน้อยอาจเป็นเพราะอาซือหลานหน้าตาดีมากเกินไป ทำให้นางตกหลุมรักตั้งแต่แรกเห็น เมื่อได้ยินว่าเขาจะไป นางจึงทำใจไม่ค่อยได้ตาเฒ่าจังคิดดูแล้วก็พูดว่า “ก็จริง บนโลกนี้ไม่มีงานเลี้ยงที่เป็นนิรันดร์ พรุ่งนี้พวกเราร่วมสังสรรค์กันเสียหน่อยเถอะ”คืนนั้น จังอวี้จิ่นได้ทำการตุ๋นปลาอาซือหลานกินได้มากทีเดียว ข้าวหุงลูกเดือยและถั่วหากินได้ยากนักเมื่อเห็นเขากินอย่างเอร็ดอร่อย จังอวี้จิ่นก็เม้มริมฝีปากแล้วยิ้ม ต้องการจะตั
ในขณะที่อาซือหลานต้องการกลับไปที่เจียงวู เย่จั้นก็กำลังควบม้าพาทหารศึกไปยังเมืองซุ่ยหานเมื่อเดินทางมาถึงปากแม่น้ำไป๋เจียง จู่ๆ ก็รู้สึกเจ็บหน้าอกขึ้นมา จึงผ่อนฝีเท้าให้ช้าลงทหารที่อยู่ข้างกายรีบถามขึ้นว่า “ท่านอ๋อง มีสิ่งใดผิดปกติหรือไม่?”เย่จั้นส่ายหน้า“ไม่มีอะไร เตรียมข้ามแม่น้ำ”เขาพลิกตัวลงจากหลังม้า แต่กลับรู้สึกเหมือนมีบางสิ่งกัดที่หัวใจ เขาเจ็บปวดจนหน้ามืด เมื่อฝีเท้าไม่มั่นคงก็คุกเข่าลงที่พื้นในทันทีเหล่าทหารพากันตกใจยกใหญ่ รีบเข้าไปช่วยพยุงเขาไว้“ท่านอ๋อง เป็นอะไรหรือพ่ะย่ะค่ะ?”เย่จั้นจับข้อมือขององครักษ์เอาไว้ บอกว่าตัวเองไม่เป็นอะไร แต่ทว่ากลับรู้สึกปวดบิดที่หัวใจ“หัวใจของข้า...”เหงื่อเม็ดละเอียดผุดขึ้นเต็มหน้าผากของเย่จั้นหรือว่าพิษสะกดจิตที่อาซือหลานพูดจะเป็นเรื่องจริง?เมื่อเห็นว่าเย่จั้นสีหน้าซีดขาว พูดจาลำบาก เหล่าทหารต่างสีหน้าเปลี่ยนในทันที“แพทย์ทหาร รีบมานี่สิ”ผู้เฒ่าคนหนึ่งสะพายหีบยาวิ่งขึ้นมาด้านหน้า เมื่อจับชีพจรของเย่จั้นได้ กลับสัมผัสไม่พบสิ่งผิดปกติใด จึงร้อนใจเล็กน้อย“ท่านอ๋องรู้สึกไม่สบายที่ใดพ่ะย่ะค่ะ?”เย่จั้นพยายามอ้าปาก แต่ยัง
ณ เมืองหลวงวันนี้ต้องออกรบ สองพ่อลูกตระกูลอินมายังสนามฝึกแต่เช้าตรู่อินจ้งก็เหมือนกับกวนฮั่นหลิน ได้รับความเคารพและศรัทธาอย่างสูงในกองทัพเหล่าทหารรู้ว่าแม่ทัพในการเดินทางครั้งนี้คืออินจ้ง พวกเขาต่างยืนตัวตรง และแสดงความนับถือผ่านสายตากวนเซี่ยวในชุดเครื่องแบบทหารยืนอยู่ข้างๆ ใบหน้าที่หล่อเหลาเย็นชาขึ้นมากตอนนี้เขาได้รับตำแหน่งนายกองทหารติดตามทัพชั่วคราว นับว่ามีตำแหน่งทางทหาร เมื่อมองดูเหล่านายทหารที่เกรียงไกร จิตใจของกวนเซี่ยวก็รู้สึกฮึกเหิมขึ้นมาก่อนหน้านี้เขาถูกอาซือหลานหลอกลวง และเข้าวังไปลอบแทงฝ่าบาท ฝ่าบาทปล่อยผ่านเรื่องนี้ให้แล้วกันไป และยังรักษาท่านปู่ของเขาอย่างสุดความสามารถกวนเซี่ยวได้เห็นความใจแคบของตัวเองอย่างชัดเจน ตอนนี้หวังเพียงสร้างคุณงามความดีจากการชนะสงคราม เพื่อแก้ไขในสิ่งที่ทำผิดพลาด และยิ่งต้องการฆ่าศัตรูในสนามรบอย่างห้าวหาญ เพื่อกอบกู้ชื่อเสียงของตระกูลกวนกลองทหารดังขึ้นสามครั้ง อินจ้งเดินขึ้นไปบนแท่นแม่ทัพอินปู้อวี่และกวนเซี่ยวแบ่งกันยืนซ้ายและขวาด้วยความกระปรี้กระเปร่าอินจ้งมองไปรอบๆ กองทหารแล้วพูดด้วยจิตวิญญาณที่เต็มเปี่ยม“กลุ่มเ
“ทำไมหรือเพคะ?”อินชิงเสวียนถามขึ้นอย่างว่องไว“ไม่มีอะไร”เย่จิ่งอวี้จึงเดินขึ้นรถม้าไปอินชิงเสวียนขานตอบรับ และอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงไว้แน่นการจากลามักทำให้ผู้คนรู้สึกเศร้าโศก อินชิงเสวียนอารมณ์ไม่ดีมากนัก นางจึงไม่พูดสิ่งใดตลอดทั้งทางนางเห็นคนในตระกูลอินเป็นญาติสนิทของตัวเองไปแล้ว ตอนนี้ท่านพ่อและลูกๆ ได้ออกจากเมืองหลวงแล้ว ในใจของนางเหมือนมีบางสิ่งขาดหายไป รู้สึกถึงความโหวงเหวงเสี่ยวหนานเฟิงราวกับรับรู้ได้ว่าท่านแม่ไม่ค่อยมีความสุข เขาจึงพยายามเอาใบหน้าเล็กๆ ไปแนบกับนาง มือน้อยๆ ของเขาลูบใบหน้าของอินชิงเสวียน ราวกับกำลังปลอบใจนาง ปากเล็กๆ กำลังพูดพึมพำเมื่อเห็นลูกชายที่น่ารักและรู้ความเช่นนี้ อินชิงเสวียนถอนหายใจเฮือกยาว ไม่ควรเอาอารมณ์ของตัวเองมาลงกับลูกเช่นนี้ เพราะมันไม่ยุติธรรมสำหรับลูกเลยนางตั้งสติขึ้นมาใหม่อีกครั้ง หอมลงบนใบหน้าของเสี่ยวหนานเฟิง และอุ้มเขาเข้าไปในตำหนักจินหวูเมื่อเข้ามาในประตูตำหนัก เสี่ยวหนานเฟิงก็ขมวดคิ้วสีอ่อนของเขาในทันที มือน้อยๆ พยายามชี้ออกไปด้านนอก“ออก บิน~”เมื่ออยู่กับลูกมาเป็นเวลาที่ค่อนข้างนาน อินชิงเสวียนจึงพอเข้าใจความต้องการของเ
“เช่นนั้นก็ดีเพคะ หวังว่าครั้งนี้ดินปืนจะสามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้ถูกต้อง”อินชิงเสวียนรินชาให้เย่จิ่งอวี้หนึ่งแก้ว และนั่งลงบนเบาะนุ่มเสี่ยวหนานเฟิงเอื้อมมือไปที่แก้วชาในทันทีทำปากจู๋และพูดว่า “ดื่มๆ…”อินชิงเสวียนสัมผัสแก้วชาเล็กน้อย และแกล้งดึงมือกลับด้วยความกลัว“ร้อน ดื่มไม่ได้ เจ้าหิวแล้วใช่หรือไม่ แม่จะไปชงนมให้เจ้าดื่มนะ”เสี่ยวหนานเฟิงประสานมือน้อยสองข้างไว้ด้วยกัน เลียนแบบท่าทางของไป๋เสวี่ย เพื่อทำความเคารพอินชิงเสวียนด้วยการประสานมือทั้งสองขึ้นในระดับหน้าอก ปากน้อยๆ ยังคงพูดพึมพำในสิ่งที่อินชิงเสวียนฟังไม่เข้าใจอีกมากมายอินชิงเสวียนหัวเราะในท่าทางใสซื่อของลูกชายทันที และลูบที่ศีรษะเล็กๆ ของเขาอย่างเบามือ“เด็กดี รอก่อนนะ”เมื่อเห็นเงาหลังที่อรชรอ้อนแอ้นของอินชิงเสวียน เย่จิ่งอวี้เม้มริมฝีปากแล้วยิ้มนี่คือชีวิตในแบบที่เขาต้องการ สงบสุขและสุขใจไม่มีเรื่องแก่งแย่งชิงดีกันในวังหลัง และไม่ต้องกังวลใจกับแผนการห้ำหั่นกันของนางสนมนางกำนัล เชื่อว่านางสนมเหล่านั้นเข้าใจความคิดของเขาแล้วช่วงนี้ไม่มีใครวิ่งไปที่ห้องหนังสืออีกแล้ว สบายหูมากขึ้นไม่น้อยในระหว่างที่คิด อิ
กระพรวนทองเก็บไว้ในหน้าอกเข้ามาตลอด เพื่อไม่ให้รบกวนเสี่ยวหนานเฟิง เย่จิ่งอวี้หนีบผ้าขนไว้แน่น และหยิบกระพรวนทองออกมาด้วยความระวังไม่มีเสียงใดดังออกมาจากกระพรวน เย่จิ่งอวี้ถอนหายใจช้า และเปิดผ้าขนออกอินชิงเสวียนห่มผ้าให้เสี่ยวหนานเฟิง และนั่งลงที่ข้างโต๊ะ“ฝ่าบาทเห็นสิ่งใดแล้วหรือไม่เพคะ?”เย่จิ่งอวี้ส่ายหน้า“ข้าเห็นเพียงอักษรยันต์กองทัพสวรรค์ลิงไฟที่อยู่ด้านบน เดาไม่ออกว่ามีสิ่งใดเกี่ยวข้องกับข้า”อินชิงเสวียนเคยได้ยินต่งจื่ออวี๋บอกว่า กระพรวนเส้นนี้เกิดจากการก่อตัวของสวรรค์ โลกและมนุษย์ ซึ่งสลักกองทัพสวรรค์ไว้สองกลุ่ม อีกทั้งกระพรวนทั้งสิบลูกส่งผลกระทบต่อเนื่องกันเป็นทอดๆ ภายหลังยังหายไปอีกหนึ่งเส้นกระพรวนทองที่หายไปน่าจะถูกครอบครองไว้โดยผู้ที่ขโมยพิณไป และจะส่งผลต่อเย่จิ่งอวี้ด้วยเช่นกัน ซึ่งหมายความว่า กระพรวนทั้งหมดต่างส่งกระทบต่อเขา จึงควรหาวิธีในการแก้ไขเพียงแต่อินชิงเสวียนไม่เข้าใจวิชาอาคม จึงไม่สามารถช่วยอะไรได้นางครุ่นคิดครู่หนึ่งแล้วถามขึ้น“ตอนฝ่าบาททรงพระเยาว์เคยเห็นกระพรวนเส้นนี้หรือไม่เพคะ?”“ไม่เคย”เย่จิ่งอวี้พูดอย่างมุ่งมั่นเด็ดขาดในความทรงจำของเขา