หลังจากทหารเปลวเพลิงแดงออกไปแล้ว องครักษ์เงาหลายนายก็ออกเดินทางจากวัง และมุ่งหน้าไปยังช่องผาแคบผู้หญิงคนหนึ่งเดินเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าสวมใส่หน้ากากของฟางรั่วนางกล่าวอวยพร และพูดขึ้นด้วยความเคารพ “ฝ่าบาท หม่อมฉันยังจำเป็นต้องออกนอกวังหรือไม่เพคะ?”เย่จิ่งอวี้พูดขึ้น “ตอนนี้ยังไม่จำเป็น ใส่หน้ากากนี้ไว้ให้ดี ออกไปเถอะ”“เพคะ”ผู้หญิงโน้มตัวทูลลา ความคิดของเย่จิ่งอวี้เริ่มผันผวนอีกครั้งในทางสติปัญญา เขาเชื่อมั่นใจตัวของอินชิงเสวียน ในทางความรู้สึกกลับอดคิดฟุ้งซ่านไม่ได้ในขณะที่จิตใจสับสนวุ่นวาย คนที่ไม่สมควรตายดีอย่างเย่จิ่งเย่าก็เดินเข้ามาอีกแล้วเจ้านี่แทบไม่เคยดูอารมณ์ผู้อื่นก่อน ทันทีที่เข้าประตูมาก็พูดว่า “ไม่ทราบว่าฝ่าบาทจัดเตรียมทหารม้าให้กระหม่อมแล้วหรือไม่ ตอนนี้จิ้งอ๋องก็ออกไปแล้ว กระหม่อมจะได้เตรียมตัวออกเดินทาง”เย่จิ่งอวี้รู้สึกรำคาญ แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าอีกไม่นานเย่จิ่งเย่าก็จะไปอยู่กับเสด็จพ่อและเสด็จแม่ผู้เป็นที่รัก เขาก็ระงับไฟที่เกิดขึ้นมาลงไปในลำคอเขากระตุกยิ้มที่มุมปาก หัวเราะเบาๆ และพูดว่า “คืนนี้ทหารม้าจะถูกจัดเตรียมอย่างเรียบร้อย หากอันผิง
“ข้ามาตามหาภรรยา ไม่ทราบว่าน้องชายพอจะผ่อนปรน ยอมให้ข้าพบนางได้หรือไม่”เย่จิ่งอวี้ประกบมือคำนับ ทุกท่วงท่าอากัปกิริยาคงไว้ซึ่งความสูงศักดิ์“ภรรยาของท่าน? ภรรยาของท่านคือผู้อาวุโสไม่ใช่รึ แต่สตรีข้างในไม่ใช่ผู้อาวุโส ท่านจำผิดคนกระมัง”ต่งจื่ออวี๋มองไปยังเย่จิ่งอวี้ด้วยสีหน้างุนงงเย่จิ่งอวี้คลี่ยิ้มบางๆ แล้วพูดว่า “นางเป็นภรรยาของข้า ที่นางได้พบเจ้าก่อนหน้านี้ เป็นใบหน้าตอนที่นางแปลงโฉม”“แปลงโฉม?”ต่งจื่ออวี๋หันกลับไปมอง แล้วถามว่า “อาจารย์อา มีคนต้องการพบผู้อา...เอ่อ สตรีผู้นั้น”เขากำลังจะเรียกว่าผู้อาวุโส แต่รู้สึกว่าไม่ดีที่จะเรียกหญิงสาวแบบนั้นต่อหน้าอาจารย์อา เขาจึงเปลี่ยนคำเรียก“ภายในเจ็ดวันนี้ นางจะไม่พบผู้ใดทั้งสิ้น”กระแสเสียงอันเยือกเย็นประดุจน้ำแข็งดังมาจากในห้อง เย่จิ่งอวี้ก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย“ผู้อาวุโส...”“กลับไปเถอะ”พลังอันอ่อนนุ่มชนิดหนึ่งพุ่งออกมาจากในเรือน ผลักเย่จิ่งอวี้ให้ถอยหลังไปก้าวหนึ่งอินชิงเสวียนก็ได้ยินเสียงของเย่จิ่งอวี้แล้ว นางลังเลก่อนจะพูดว่า “ผู้อาวุโสโปรดอำนวยความสะดวกด้วย ให้ข้าได้คุยกับเขาสักสองสามคำ ถ้าเขายังคงมาอยู่ตลอ
วันถัดมาเย่จิ่งเย่าสวมชุดเกราะอ่อนมุ่งหน้าไปยังสนามฝึก ตามไปด้วยพระชายาเจียงซิ่วหนิงที่อยู่ในสีหน้าบิดเบี้ยวเพราะไม่รู้ว่าบิดาที่อยู่เจียงวูจะเป็นหรือตาย เจียงซิ่วหนิงจึงไม่อยากออกจากเมืองหลวงแต่จะทำอย่างไรได้เพราะสตรีในยุคโบราณต้องติดตามสามีไปทุกหนทุกแห่ง ไม่มีสิทธิ์เป็นอิสระ พอคิดว่าจะต้องเดินทางไกลไปที่เขตเมืองหวยหนาน ไม่รู้ว่าจะต้องกลับมาเมื่อใด ขอบตาของเจียงซิ่วหนิงพลันแดงก่ำทว่าเย่จิ่งเย่ากลับวางท่าผยองด้วยความยินดีปรีดา เพราะทหารม้าจำนวนห้าหมื่นนายที่ได้มานั้นไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลยตอนแรกคิดว่าไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ต้องต่อรองกับเขา ให้ทหารเพียงหนึ่งหมื่นนายก็รู้สึกขอบคุณอย่างสูง ไม่ได้คาดหวังว่าเขาจะตกลงง่ายๆ ขนาดนี้เมื่อคิดว่าตัวเองจะมีเขตการปกครองเป็นของตัวเอง เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกภาคภูมิใจครั้นเห็นเจียงซิ่วหนิงเช็ดน้ำตาไม่หยุด ก็ตวาดอย่างอดไม่ได้ “ร้องไห้อะไรกัน ที่ข้าพาเจ้าไปเขตเมืองหวยหนานด้วย ก็เป็นถือเป็นบุญคุณมากแล้ว เจ้าไม่ซาบซึ้งในบุญคุณของข้า แต่เจ้ามาทำหน้าเศร้าหมองร้องไห้ใครดูกัน”เจียงซิ่วหนิงทนไม่ไหวจึงพูดขึ้นว่า “ถ้าไม่ใช่เพราะท่านอ๋อง ท่านพ่
เย่จิ่งอวี้หันกลับมา เลิกคิ้วขึ้นถามว่า “อันผิงอ๋อง? ตายแล้ว?”หลี่เต๋อฝูจีบไม้จีบมือชี้ไปข้างนอก“แม่ทัพซุน ซุนมู่ถงบอกมาพ่ะย่ะค่ะ บอกว่าเขาสิ้นพระชนม์ที่ถนนเทียน แม่ทัพซุนกำลังรอเข้าเฝ้าฝ่าบาทอยู่ด้านนอกตำหนัก”เย่จิ่งอวี้หยิบถ้วยชาขึ้นมา ค่อยๆ จิบอย่างไม่รีบร้อน“ให้เขาเข้ามา”กวนเมิ่งถิงกระสับกระส่ายนั่งไม่ติดเรื่องของอาซือหลานอาจเป็นเรื่องปลอมได้ แต่ซุนมู่ถงอยู่ฝ่ายเดียวกับอันผิงอ๋อง จึงเป็นไปไม่ได้ที่เขาจะยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูดเล่นเมื่อนึกถึงฝ่าบาทที่เชิญเขามาเล่นหมากรุก เขาก็เข้าใจแล้วว่านี่ไม่ใช่การเดินหมาก แต่เป็นคำเตือนฝ่าบาทเตือนตัวเองว่า มีเขาเพียงคนเดียวที่กุมการเดินหมากเอาไว้!และนอกจากองครักษ์เงาของฝ่าบาทแล้ว จะมีใครอีกที่สามารถสังหารอันผิงอ๋องอย่างโจ่งแจ้งได้เมื่อนึกถึงตรงนี้ กวนเมิ่งถิงก็อดไม่ได้ที่จะตัวสั่นซุนมู่ถงล้มลุกคลุกคลานเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าที่ดำคล้ำอยู่แล้ว บัดนี้ได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวเข้ม“ฝ่าบาท อันผิงอ๋องถูกลอบสังหารพ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้ที่นั่งบนเก้าอี้ไม้แดง ถามด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ข้าได้ยินแล้ว ตกลงว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่”“กระหม
ชายชรายิ้มอย่างเคอะเขินแล้วพูดว่า “พ่อกังวลเกินไป อันที่จริงก็เหลือระยะทางอีกไม่เท่าไหร่แล้ว ช้าลงหน่อยดีกว่า”ชายหนุ่มเม้มริมฝีปากยิ้มๆ ทำไมเขาจะไม่อยากกลับเมืองหลวงให้เร็วที่สุดล่ะที่นั่นมีน้องหญิงใหญ่อยู่ บางทีอาจมีพี่ใหญ่ของเขาด้วย!เมื่อคิดถึงพี่ใหญ่ คิ้วของคนผู้นั้นก็ค่อยๆ เต็มไปด้วยความโศกเศร้าจดหมายของฝ่าบาทไม่ได้กล่าวถึงพี่ใหญ่เลย กล่าวเพียงแต่ว่าตระกูลอินได้รักการพิสูจน์แล้วว่าเป็นผู้บริสุทธิ์ รับสั่งให้พวกเขาทั้งครอบครัวกลับเมืองหลวงทันทีนอกจากนี้เขายังได้ยินข่าวซุบซิบว่าน้องหญิงใหญ่ออกจากวังเย็นแล้ว ตอนนี้อยู่ในฐานะหลิวเซวียนที่ถูกอวยยศเป็นเหยาเฟย ที่ตระกูลอินมีวันนี้ได้ เพราะความช่วยเหลือจากนางอย่างแน่นอนครั้นนึกถึงว่านางที่เป็นเพียงสตรีผู้หนึ่ง สามารถออกจากวังเย็นได้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายแล้ว บัดนี้ยังสามารถขึ้นไปถึงตำแหน่งสนมขั้นเฟย นางจะต้องผ่านประสบการณ์การพลิกผันทุกอย่างแล้วเมื่อนึกถึงตอนที่นางอยู่จวน นางรู้จักแต่เล่นสนุก ทว่าบัดนี้นางกลับเติบโตขึ้นมาได้เช่นนี้ เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกขมขื่นในใจเหตุผลที่ฮ่องเต้องค์ก่อนมอบน้องสาวของเขาให้กับองค์รัชทายาท ก็เพี
อินชิงเสวียนอุ้มลูกชายขึ้นมา แล้วตอบอย่างจริงครึ่งไม่จริงครึ่งว่า “ข้ามีของวิเศษที่สามารถเก็บสิ่งของ และสามารถเอาออกมาได้เพียงแค่คิด”ต่งจื่ออวี๋อ้าปากด้วยความประหลาดใจ“นั่นเป็นของวิเศษเทพไม่ใช่หรอกหรือ”“เรื่องนี้เจ้าห้ามไปบอกใครนะ”หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบก็หยิบน้ำพุวิญญาณออกมาอีกถุงหนึ่ง“ถือว่านี่เป็นค่าปิดปาก”ต่งจื่ออวี๋รับมาด้วยความตื่นเต้น“ขอบคุณท่านผู้อาวุโส”ระยะนี้ทักษะวรยุทธ์ของเขาก้าวหน้าขึ้นมาก หากเป็นเมื่อก่อนเขาคงหมดสติเพราะเพลงหยกรัตติกาลของอาจารย์อาไปแล้ว ตอนนี้ที่เขาสามารถต้านทานได้ทั้งหมดได้ก็เพราะอินชิงเสวียน“ด้วยความยินดี”อินชิงเสวียนนั่งอุ้มลูกบนเก้าอี้ไม้ไผ่ และทันใดนั้นก็นึกถึงกระพรวนทองพวงนั้นบังเอิญว่าผู้อาวุโสผมขาวไม่อยู่เรือนพอดี จึงสามารถถามต่งจื่ออวี๋เพิ่มเติมได้“กระพรวนทองของเจ้านอกการส่งสัญญาณแล้ว ยังส่งผลอย่างอื่นอีกหรือไม่”ต่งจื่ออวี๋กำลังดื่มน้ำจากน้ำพุวิญญาณ เมื่อได้ยินเขาก็เกือบสำลัก เขารีบวางถุงน้ำลงแล้วพูดว่า “ข้าไม่เคยได้ยินมาก่อน แต่ได้ยินจากอาจารย์อาของข้าว่ากระพรวนทองนี้แต่เดิมมีสามพวง ซึ่งก่อตัวขึ้นตามการกำเนิดของสามพร
เมื่อเห็นว่าผู้เป็นพ่อของเขาได้รับบาดเจ็บ อินปู้อวี่ก็โกรธจัด ดวงตาที่ยิ้มแย้มอยู่เป็นนิจพลันดุดันในฉับพลัน“ไม่ว่าพวกเจ้าเป็นใคร หากทำร้ายพ่อของข้าก็สมควรตายแล้ว!”เขาเหยียบบนหลังม้า แล้วตัวก็ลอยขึ้นไปในอากาศ ด้วยความโกรธ เขาจัดการฟันแยกร่างของชายตรงหน้าออกเป็นสองส่วน ของเหลวสีแดงและสีขาวพุ่งออกมาจากร่างของคนผู้นั้น ทำให้คนอื่นๆ ถอยหลังไปหลายก้าวในขณะเดียวกัน คนที่ซ่อนตัวอยู่ในป่าก็ยิงธนูออกมาอีกหลายลูก ดูเหมือนว่ามีคนยิงธนูมากกว่าหนึ่งคนอินจ้งและลูกถูกศัตรูพัวพัน จึงไม่สามารถเข้าไปในป่าเพื่อโจมตีนักธนูได้ คนขับรถต่งเฉียวก็ปกป้องฮูหยินและคุณหนูอยู่ ไม่กล้าห่างไปไหนเสียงแหลกผ่านอากาศ และอินปู้อวี่ก็ถูกลูกธนูปักที่ขา ความเจ็บปวดทำให้เขาโกรธมากขึ้น ลำแสงกระบี่ในมือได้กวัดแกว่งเหมือนการถักทอคล้ายตาข่ายอย่างแน่นหนาแต่จะทำเช่นไรได้เพราะศัตรูมีมากมาย อีกทั้งฝีมือยังไม่ใช่ธรรมดา สองคนพ่อลูกได้รับบาดเจ็บ ดังนั้นพวกเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องถอยกลับไปที่รถม้าเมื่อเห็นเช่นนี้ ชายที่มีหนวดเคราก็กระหยิ่มยิ้มย่อง“อินจ้ง วันนี้เป็นวันตายของเจ้าแล้ว เด็กๆ มาถอดหัวคนทรยศคนนี้ออกซะ”
“ได้!”อินจ้งตะโกน“จะกองทัพนับพันพวกเราตระกูลอินยังไม่กลัว แค่โจรถ่อยไม่กี่คนจะกลัวไปไย ลูกชายคนดีของข้า ไปกำจัดศัตรูกับพ่อกันเถอะ”อินปู้อวี่ก็ตะโกนเสียงทุ้ม “ฆ่า!”สองพ่อลูกไปสมทบในจุดเดียวกัน และยืนปักหลักต่อสู้กับคนชุดดำนี่คือการต่อสู้ที่ชี้ชะตา มีเพียงแต่ต้องชนะ ห้ามแพ้เด็ดขาด!พวกเขายังไปไม่ถึงเมืองหลวง ยังไม่เห็นญาติพี่น้องของตัวเอง แม้จะตายก็ตายตาไม่หลับอยู่ดียิ่งควรไปถามฝ่าบาทด้วยตัวเองว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนี้กับตระกูลอินความเศร้าโศกระคนความโกรธสุมแน่นอยู่เต็มอก ตอนนี้เขามีเพียงความคิดเดียวเท่านั้น คือต้องฆ่าเมื่อสองพ่อลูกร่วมมือกัน ก็มีปาฏิหาริย์เกิดขึ้นได้!พลังการต่อสู้ที่ปะทุอย่างกะทันหันทำให้คนชุดดำต้องล่าถอยทีละก้าว มีหลายคนก็ล้มลงกับพื้นในพริบตาเพื่อปกป้องพ่อของเขา อินปู้อวี่ถูกยิงด้วยลูกธนูอีกสามดอก แม้ว่าจะไม่ถึงแก่ชีวิต แต่ความเจ็บปวดก็ยังคงเจ็บปวดจนเสียดกระดูกเขากัดฟันไม่ยอมพ่ายแพ้ ยึดกระบี่พุ่งไปข้างหน้าอีกครั้งแต่น่าเสียดายที่เขามีเลือดออกมากเกินไป เรี่ยวแรงก็ถดถอยลงไปมากในขณะที่เขากำลังฟุ้งซ่าน คมดาบก็ได้ฟาดฟันมาที่ลำคอของเขาแล้วแม้ว่าอินจ้งจะอยู่ห่างจาก