ในเวลานี้ อินชิงเสวียนก็ขมวดคิ้วอยู่เช่นกันหลังจากเข้าตำหนักจินหวู รอยยิ้มบนใบหน้าของนางก็ค่อยๆ หายไปหลี่เต๋อฝูบอกว่านักฆ่าถูกจับและถูกคุมขังในคุกชั้นใน พอนึกถึงว่าตอนนี้อินสิงอวิ๋นถูกทุบตีและถูกทรมานอยู่ อินชิงเสวียนก็หงุดหงิดใจทันทีนางต้องหาทางช่วยเหลืออินสิงอวิ๋นออกมา และบังเอิญว่าหลิวหมัวมัวก็ถูกขังอยู่ในคุกชั้นในอยู่ คงไปในนามนี้ได้อินชิงเสวียนนำป้ายทองประจำพระองค์ออกมา แต่ก็รู้สึกว่าไม่ได้ตอนนี้เย่จิ่งอวี้เลิกประชุมเช้าแล้ว ไม่แน่ว่าอาจจะมาเมื่อไหร่ก็ได้ หากตัวเองไม่อยู่ เขาคงจะสงสัยอินชิงเสวียนถอนหายใจยาม เอื้อมมือไปอุ้มเสี่ยวหนานเฟิง และจูบใบหน้าเล็กๆ สีชมพูของเขายามนี้เสี่ยวหนานเฟิงรู้สึกง่วงบ้างแล้ว เขาเอาหน้าไปแนบกับลำคอของอินชิงเสวียนทันทีสัมผัสอันอบอุ่นทำให้หัวใจของอินชิงเสวียนอ่อนลง นางอดไม่ได้ที่จะเอื้อมมือออกไปตบก้นเขาเบาๆ“หลับเถิดหนา แม่จะอยู่กับเจ้า จันทร์เจ้าเอ๋ย ขอข้าวขอเเกง ขอเเหวนทองเเดงผูกมือน้องข้า...”อินชิงเสวียนฮัมเพลงกล่อมเด็กที่ย่าของนางร้องให้ฟังบ่อยๆ หลังจากนั้นไม่นานดวงตาของเสี่ยวหนานเฟิงก็หรี่ลงเมื่อมองดูใบหน้าเล็กๆ ที่บริสุทธิ์ในอ้
วันต่อมาในตอนเช้า อินชิงเสวียนตื่นขึ้นมาพร้อมกับรอยคล้ำใต้ดวงตาเสี่ยวหนานเฟิงกำลังเล่นกับอวิ๋นฉ่ายในเปล บางครั้งก็หัวเราะออกมาอินชิงเสวียนนั่งข้างเตียงเป็นเวลานาน ยังคงรู้สึกเวียนศีรษะอยู่บ้างเมื่อวานคิดถึงเรื่องของอินสิงอวิ๋นทั้งคืน พอฟ้าสางถึงหลับได้บ้าง และตอนนี้ข้ารู้สึกว่าในสมองเต็มไปด้วยเรื่องยุ่งเหยิง ราวกับว่าเต็มไปด้วยก้อนแป้งเหนียวหนืดอินชิงเสวียนนวดคลึงขมับ แล้วเข้าไปในมิติหลังจากอาบน้ำในน้ำพุวิญญาณ นางก็สดชื่นกระปรี้กระเปร่าขึ้นมากตอนออกมานางก็แวะดูคะแนนสะสมแวบหนึ่ง ช่วงนี้นางรีบเก็บเกี่ยวผลผลิต รีบเพาะปลูก จึงไม่ได้ตั้งใจดูให้ดี ตอนนี้พอมาดูดีๆ จึงได้เห็นว่ามีคะแนนสะสมมากว่าสองพันคะแนนเมื่อนึกถึงปืนพกที่มีมูลค่า 100,000 คะแนน อินชิงเสวียนก็ถอนหายใจ ในปัจจุบันการสะสม 100,000 คะแนนนี้ไม่รู้ว่าต้องสะสมไปถึงปีไหน มิหนำซ้ำมิตินี้ยังต้องรอการพัฒนาอีกมา ระยะนี้ยังมีหลายสิ่งหลายอย่างเกิดขึ้นมากมาย อินชิงเสวียนยังไม่มีเวลาศึกษาอย่างรอบคอบเลยสิ่งที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือการช่วยเหลืออินสิงอวิ๋นออกมาโดยเร็ว!เพียงแต่จะช่วยเหลือได้อย่างไรครั้นคิดถึงคำพูดของเย่จิ่งอ
“กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้”เสี่ยวอานจื่อตอบรับและเดินจากไปอย่างรวดเร็วอินชิงเสวียนนั่งอยู่ที่โต๊ะ ทำหน้านิ่วคิ้วขมวดทั้งกลัวว่าอินสิงอวิ๋นจะถูกทรมาน แต่ก็ไม่รู้ว่าจะช่วยเขาได้อย่างไรหลังจากรอนานกว่าหนึ่งชั่วยามอย่างฟุ้งซ่าน เสี่ยวอานจื่อก็กลับมา“พระสนม กระหม่อมไปสืบมาแล้ว ทั้งยังได้เดิมพันกับทหารรักษาพระองค์มาแล้วด้วย เมื่อคืนมีนักฆ่ามาจริง แต่ฝ่าบาทปล่อยเขาไปแล้ว ในคุกตอนนี้คุมขังไว้เพียงคนเดียวเท่านั้น คือหลิวหมัวมัว ได้ยินผู้คุมคุกบอกว่ายายแม่มดเฒ่าคนนี้ปากแข็งมาก ไม่ยอมพูดอะไรเลย”อินชิงเสวียนตกตะลึงเล็กน้อย“โอ๊ะ? เจ้าถามดีแล้วหรือ”เสี่ยวอานจื่อสาบานว่า “ถามดีแล้วพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมไม่ได้ไปสืบจากแค่หนึ่งคนหรือสองคนเท่านั้น ยังมีขันทีน้อยที่ดูแลในคุกที่เล่นลูกเต๋าด้วยกัน ยังมีหัวหน้าหน่วยทหารรักษาพระองค์อีก ยังมีเสี่ยวหลีจื่อที่ส่งอาหารให้พวกนักโทษด้วย พวกเขาต่างก็บอกว่าไม่มีนักฆ่าอยู่ข้างใน”อินชิงเสวียนย่อมเชื่อเสี่ยวอานจื่ออยู่แล้ว เขาไม่กล้าโกหกตัวเองแน่นอนต้องเป็นเย่จิ่งอวี้ที่โกหกเพื่อหลอกนางฮ่องเต้โฉดนี่ เจ้าแผนการจริงๆ!หากนางเดินถือป้ายทองประจำพระองค์ไปที่นั
เย่จิ่งอวี้สวมชุดลำลองเดินเข้ามาจากด้านนอก ใบหน้าอันหล่อเหลาที่ประดับด้วยรอยยิ้มของเขานั้น ทำให้ผู้คนรู้สึกสดชื่นดั่งต้องลมยามวสันต์ เย่ไห่ถังรีบวิ่งไปราวกับจะถวายสมบัติล้ำค่า“เสด็จพี่ใหญ่ เสด็จพี่สะใภ้มอบถ้วยแก้วแก้วเคลือบสีให้ข้าชุดหนึ่ง”อินชิงเสวียนกุมหน้าผากตัวเองอย่างอดไม่ได้หลังจากนั้นไม่นาน เย่จิ่งอวี้ก็ต้องถามอีกแน่ๆ ว่า สิ่งนี้มาจากที่ใด“โอ้? ขอข้าดูหน่อยสิ”เย่จิ่งอวี้หยิบกล่องขึ้นมาเปิดออก ดวงตาก็ฉายแววประหลาดใจถ้วยแก้วเคลือบสีชุดนี้สวยงามมาก ใสแวววาว แกะสลักด้วยลวดลายสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูน พอมองแวบแรก ก็มองออกได้ว่าต้าโจวไม่สามารถผลิตขึ้นได้เขาอดไม่ได้ที่จะมองดูอินชิงเสวียนอินชิงเสวียนไอแห้งๆ แล้วพูดว่า “หม่อมฉันได้เตรียมไว้สำหรับฝ่าบาทด้วย เหมือนกับขององค์หญิงทุกประการ”เย่จิ่งอวี้พยักหน้าด้วยความพึงพอใจ“สนมรักมีน้ำใจแล้ว”คำพูดแสดงความรักเหล่านี้ทำให้ อินชิงเสวียนร้องอุทานออกมาด้วยความขนลุกด้านหนึ่งเรียกนางว่าสนมรัก แต่อีกด้านกลับสงสัยนางปากผู้ชาย พูดได้แต่คำโกหกจริงๆ!เย่ไห่ถังรีบคว้ากล่องกลับคืนทันที“ข้าอยากกลับไปใช้ชุดน้ำชานี้แล้ว ไม่อยู่เล่น
เสวียนเจินไต้ซือหรี่ตาลงแล้วพูดว่า “ไทเฮาโปรดให้ระบุวันตกฟากของคนผู้นี้ด้วย”ชุยไห่รีบยื่นม้วนไม้ไผ่พร้อมกับถุงผ้าใบใหญ่ที่เต็มไปด้วยทอง เงิน และเครื่องประดับมากมาย“นี่เป็นเงินที่ข้าถวายให้กับหอสวดมนต์ หวังว่าไต้ซือจะไม่รังเกียจ”เสวียนเจินเหลือบมองอย่างเฉยเมย จากนั้นรับม้วนไม้ไผ่ ซึ่งสิ่งที่บันทึกไว้ในนั้นคือวันประสูติของอินชิงเสวียน และรูปของนางเสวียนเจินไต้ซือมองดูอย่างพิจารณาสักพัก แล้วพูดว่า “คนผู้นี้มีโชคชะตาที่พิเศษ ดวงชะตามีความลึกลับจริงๆ”หลังจากได้ยินดังนั้น ไทเฮาก็ไม่สามารถซ่อนความยินดีบนริมฝีปากได้โน้มตัวเล็กน้อยแล้วพูดว่า “ไต้ซือคือผู้ที่ฮ่องเต้องค์ก่อนได้คัดเลือกไว้ มีหน้าที่ช่วยเหลือต้าโจว เรื่องในวังหลังก็อาจส่งผลกระทบต่อราชสำนักได้เช่นกัน ไต้ซืออย่าถือเป็นเรื่องไม่สำคัญเด็ดขาด”เสวียนเจินไต้ซือสวดพระนามของพระพุทธเจ้า กล่าวด้วยน้ำเสียงหนักแน่นว่า “อาตมาย่อมตัดสินใจได้แล้ว หากไทเฮาไม่ได้มาฟังธรรม เช่นนั้นก็กรุณากลับไปก่อนเถิด!”“ได้ เช่นนั้นข้าจะไม่รบกวนการบำเพ็ญเพียรของไต้ซือแล้ว”ไทเฮาพนมมือคารวะเสวียนเจินไต้ซือ แล้วออกจากหอสวดมนต์...สามวันต่อมา ก็เป็นวั
ณ ตำหนักฉือหนิงวันเฉลิมพระชนมมายุครบรอบห้าสิบพรรษาของไทเฮา ถือเป็นงานสำคัญในวังในตอนเช้า เหล่านางสนมทุกคนตื่นแต่เช้าเพื่อแต่งกายนี่เป็นโอกาสเดียวที่พวกนางจะได้เห็นฝ่าบาททุกคนหยิบชุดและเครื่องประดับที่ดีที่สุดของตนออกมา ยามเดินเสียงหยกกระทบกันดังกริ๊ง กลิ่นหอมตลบอบอวล นายหญิงที่ซื้อน้ำหอมก็ไม่ตระหนี่ แทบอยากฉีดตั้งแต่ศีรษะจรดปลายเท้า ทำให้ได้กลิ่นหอมฉุนแม้อยูไกลหลายเมตรซูฉ่ายเวยยิ่งแต่งกายอย่างดี ตอนนี้นางและอินชิงเสวียนต่างก็เป็นสนมขั้นเฟยเหมือนกัน จะยอมให้น้อยหน้านางไม่ได้เด็ดขาด หยิบกระโปรงสีม่วงปักด้วยด้ายสีทองออกมาเป็นพิเศษ ส่วนศีรษะล้วนประดับประดาด้วยเครื่องเงินเครื่องทองและไข่มุก ทำให้ทั้งศีรษะดูเหมือนเป็นกระถางดอกไม้ถึงกระนั้น ซูฉ่ายเวยก็ยังไม่พอใจ นางค้นเจิปิ่นปักผมสีทองเล่มหนึ่งจากในกล่อง จึงปักไว้บริเวณหลังหู“เป็นอย่าไรบ้าง ข้าดูดีรึไม่”เซียงหลานพูดด้วยรอยยิ้มบนใบหน้า “แน่นอนเพคะ พระสนมงดงามราวกับนางฟ้า ไม่มีสนมในวังหลังคนใดที่สามารถเทียบได้กับท่านได้”ซูฉ่ายเวยแค่นเสียงพูดว่า “แล้วเสี่ยวเสวียนจื่อไม่ดูดีเท่าข้างั้นหรือ”“แม้ว่าพระสนมเหยาเฟยจะงดงาม แต่ใน
“เจ้ากับข้าเป็นพี่น้องกัน ไม่ต้องเกรงใจ เราเข้าไปข้างในกันเถอะ”อินชิงเสวียนก็แต่งกายในชุดเรียบๆ ทว่าสง่างามเช่นกัน นางสวมกระโปรงสีเหลืองอ่อนที่ไม่มีการตกแต่งใดๆ บนศีรษะปักปิ่นดอกไม้เล็กๆ แต่กลับทำให้ดูสดชื่นและประณีตด้วยความงามที่แปลกใหม่ ซึ่งเมื่อเดินไปกับสวีจือย่วนที่แต่งกายด้วยชุดที่เรียบง่ายทว่าสง่างามเหมือนกัน ก็ยิ่งส่งเสริมซึ่งกันและกันนางจับมือของสวีจือย่วน คลี่ยิ้มบางๆ แล้วเดินเข้าไปในตำหนักพร้อมกับนางเมื่อเห็นว่าทั้งสองมีความสัมพันธ์ที่ดีเช่นนี้ นายหญิงทุกคนก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกอิจฉาความสัมพันธ์ระหว่างสวีจือย่วนกับพระสนมเหยาเฟยนั้นดีมากจริงๆ หากนางได้รับการสนับสนุนจากพระสนมเหยาเฟย การได้พบกับฝ่าบาทก็เป็นเรื่องง่ายฉู่หลิงอวี้ยิ่งรู้สึกอิจฉามาก พลางคิดว่าตัวเองจ่ายเงินให้กับพระสนมเหยาเฟยคนนี้มากมาย แต่ตอนนี้นางกลายเป็นสนมขั้นเฟยแล้ว กลับทำเป็นไม่รู้จักตัวเองอย่างนั้นแหละนางไม่เพียงแต่รู้สึกขุ่นเคืองเท่านั้น แต่ยังเสียเงินไปอย่างเปล่าประโยชน์จริงๆ ถ้ารู้แต่แรกมิสู้ซื้ออาหารเลี้ยงสุนัขเสียก็ดี ไม่ต้องให้นางอินชิงเสวียนไม่มีความคิดที่จะประจบคนสูงศักดิ์เหยียบย่ำผู้ด้อย
ทุกคนหันไปหาอินชิงเสวียนเป็นตาเดียวอินชิงเสวียนเข้าใจทันทีว่า หลวงจีนบ้านี่ต้องสมรู้ร่วมคิดกับไทเฮายายแม่มดเฒ่า เพื่อจัดการกับตัวเองนางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย ยืนขึ้นแล้วพูดว่า “ปีศาจที่ไต้ซือพูดถึง คือข้ารึ”หลวงจีนเสวียนเจินยังมีสีหน้าสงบ ราวกับไม่กริ่งเกรงต่อสิ่งใด“ตำแหน่งที่อาตมาคำนวณนั้นเป็นตำแหน่งที่พระสนมอยู่จริงๆ ขอเชิญพระสนมตามอาตมาไปกำจัดปีศาจชั่วร้ายที่หอสวดมนต์ด้วย”อินชิงเสวียนยิ้มเยาะ พูดว่า “อาศัยแค่คำพูดของไต้ซือคำเดียว ก็จะให้ข้าตามเจ้ากลับไปที่หอสวดมนต์งั้นรึ เหลวไหลทั้งเพ ข้าว่าได้ซือต่างหากที่มีปีศาจร้ายสิงสู่ ก่อปัญหาวุ่นวายในวัง ไต้ซือควรหุบปากแล้วยืดคอรอให้คนมาตัดเถอะ”ไทเฮาพูดด้วยความโกรธทันที “ช่างอุกอาจจริงๆ เสวียนเจินไต้ซือเป็นตี้ซือพิทักษ์แคว้นที่ฮ่องเต้องค์ก่อนทรงแต่งตั้งด้วยองค์เอง ให้เจ้ามาใส่ร้ายเช่นนี้ได้อย่างไร”อินชิงเสวียนแค่นเสียงอย่างเย็นชา พูดว่า “แล้วสิ่งไต้ซือกล่าวหาข้ามิใช่การใส่ร้ายหรอกรึ ในเมื่อไต้ซือเป็นตี้ซือพิทักษ์แคว้น เช่นนั้นก็ควรมีหน้าที่สำคัญคือการพิทักษ์แคว้น บัดนี้บ้านเมืองเกิดภัยแล้งอย่างหนัก ราษฎรกำลังอดอยาก กลับไม่เคยเห
ปีที่สามของการครองราชย์ในราชวงศ์ต้าโจวฮองเฮาให้กำเนิดพระธิดา ได้รับพระราชทานนามว่าองค์หญิงเจ๋อเทียน นามว่าเจิน มีชื่อเล่นว่าฝูเอ๋อร์ในเดือนเก้าของปีเดียวกัน เย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนปกครองร่วมกัน แบ่งกันปกครองบ้านเมืองและการดำรงชีวิตของผู้คน ราษฎรเคารพทั้งสองในฐานะพระองค์ฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา ประวัติศาสตร์ได้บันทึกช่วงเวลานี้ไว้ด้วยถ้อยคำที่งดงามที่สุด และเรียกช่วงเวลานี้อย่างเคารพว่า ยุคที่สององค์ปกครอง!ห้าปีต่อมา เครื่องกำเนิดพลังงานลมเครื่องแรกปรากฏขึ้นด้วยฝีมือความสามารถของชาวต้าโจว ซึ่งก้าวล้ำหน้าสมัยโบราณที่ล้าหลังไปอย่างมากด้วยก้าวที่ยิ่งใหญ่นักเรียนจากทั่วแคว้นได้แสดงความสามารถ พัฒนาสิ่งที่ล้ำหน้าต่างๆ ผ่านความรู้ทางคณิตศาสตร์ ฟิสิกส์ และเคมีใหม่ล่าสุด บุปผานับร้อยบานสะพรั่งพร้อมกัน ก่อให้เกิดยุครุ่งเรืองของราชวงศ์ต้าโจวตอนนี้อาหารไม่ขาดแคลน ราษฎรไม่ต้องทนทุกข์กับความหิวโหยอีกต่อไป ยิ่งไม่มีการอพยพย้ายถิ่นฐาน โครงการคลองส่งน้ำก็สำเร็จลุล่วง ด้วยการคมนาคมสะดวกระหว่างภาคเหนือและภาคใต้ ก็สามารถแลกเปลี่ยนสิ่งที่ต้องการได้ในที่สุด อ่างเก็บน้ำที่สร้างขึ้นยังสามารถเปลี่ยนเส้นท
ตำหนักจินอู๋อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดที่ถาโถมเข้ามาราวกับกระแสน้ำ แต่ไม่กล้าโคจรกำลังภายในต้านทานไว้ เพราะกลัวว่าจะทำร้ายลูกของนางเมื่อเห็นนางกัดริมฝีปากล่างแน่น มีเหงื่อไหลอาบหน้า หัวใจของเย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกเหมือนถูกมีดคมๆ นับพันทิ่มแทง รู้สึกเจ็บปวดอย่างยิ่ง“ต้องทำอย่างไรถึงจะช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาได้ ต้องปล่อยให้นางเจ็บปวดทนทุกข์เช่นนี้หรือ”หมอตำแยกล่าวอย่างกล้าหาญว่า “สตรีคลอดบุตรก็เป็นเช่นนี้เพคะ อดทนไว้ แล้วจะดีเอง”เย่จิ่งอวี้พูดด้วยความโกรธ “ฮองเฮาของข้าจะเทียบได้กับสตรีทั่วไปได้อย่างไร รีบหาทางบรรเทาความเจ็บปวดของฮองเฮาเดี๋ยวนี้”“ข้าไม่เป็นไร อาอวี้ออกไปก่อนเถอะ!”เสียงของอินชิงเสวียนนั้นอ่อนแรง แม้จะเป็นสามีภรรยากัน แต่ถูกเห็นเข้าในสถานการณ์เช่นนี้ก็น่าอายอยู่เหมือนกันเย่จิ่งอวี้เดินก้าวเดียวก็ไปถึงเตียง จับมือของนางแน่นๆ แล้วพูดอย่างกระวนกระวายใจ “ข้าไม่วางใจ มีวิธีถ่ายทอดความเจ็บปวดให้ข้าได้ไหม เจ้าอยู่กับลั่วสุ่ยชิงมานานแล้ว ไม่ได้เรียนวิชาอาคมอะไรจากนางบ้างหรือ”อินชิงเสวียนเจ็บปวดเจียนตายอยู่แล้ว เมื่อได้ยินคำนี้ก็ไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี
อินชิงเสวียนอดทนต่อความเจ็บปวดและกล่าวว่า “ฝ่าบาทไม่จำเป็นต้องอยู่ที่นี่ วันนี้เป็นวันแต่งงานของไห่ถัง ในฐานะพี่ชาย ควรเป็นประธานงานแต่งของนางด้วยตนเอง หากไม่มีคนในราชวงศ์ไป ไห่ถังจะผิดหวังได้”แม้น้องสาวจะเป็นญาติ แต่ก็ไม่ชิดเชื้อเท่ากับภรรยา ลูกคนแรกเกิดในตำหนักเย็น ซึ่งทำให้เย่จิ่งอวี้รู้สึกผิดไปครึ่งชีวิตแล้ว ยากนี้เด็กคนนี้คือสมบัติล้ำค่าที่แท้จริงระหว่างพวกเขา ในฐานะพ่อของลูก เขาจะจากไปได้อย่างไรเมื่อเห็นว่าใบหน้าของนางซีด มีเม็ดเหงื่อเม็ดเล็กๆ ผุดพรายขึ้นเต็มขมับของนาง เย่จิ่งอวี้ก็รีบก้าวไปข้างหน้าเพื่อปลอบนาง “ไม่เป็นไร มีแม่ทัพอินและจอมพลกวนอยู่ด้วย ไห่ถังก็ไม่นับว่าเสียเกียรติอะไรนัก”อินชิงเสวียนคว้าแขนของเขา“จะได้อย่างไร หากไม่มีใครจากในวังไป มันจะกลายเป็นปมในใจของไห่ถังอย่างแน่นอน นี่คือวันที่สำคัญที่สุดในชีวิตของนาง”ไม่ว่าอย่างไรเย่จิ่งอวี้ก็ไม่ยอมไป แต่ก็ไม่สามารถปล่อยให้น้องสาวเสียหน้าได้ เขาหรี่ตาลงเล็กน้อย มีความคิดอยู่ในใจ“เจวี๋ยอิ่ง ไปเชิญไท่เฟยไท่ผินทุกท่าน ให้พวกนางออกจากวัง ร่วมงานเสกสมรสขององค์หญิงเดี๋ยวนี้”ทุกคนตกตะลึง ไม่มีใครคาดคิดว่าเย่จิ่งอวี้จ
เย่ไห่ถังยังคงมีความสุข แต่จู่ๆ เสียงของหลี่เต๋อฝูก็ทำให้นางรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อยเมื่อเปิดประตู เห็นเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้ยืนอยู่ที่กลางเรือน น้ำตาก็ไหลออกมาจากดวงตา“ไห่ถังคารวะเสด็จพี่ เสด็จพี่สะใภ้เพคะ!”เย่ไห่ถังกำลังจะคุกเข่าลง แต่เย่จิ่งอวี้ก็ปราดเข้าประคองนางพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “ในฐานะสตรีที่ออกเรือนแล้ว ทุกสิ่งต้องคำนึงถึงสถานการณ์โดยรวม จะทำตัวเหลวไหลซุกซนเหมือนอยู่ในวังไม่ได้ หากใช้ชีวิตนอกวังจนเบื่อแล้ว ก็สามารถกลับมาได้ตลอดเวลา วังหลวงจะเป็นบ้านของเจ้าตลอดไป”อินชิงเสวียนก็ก้าวไปข้างหน้าและพูดว่า “ถ้าพี่รองของข้ารังแกเจ้า เจ้าก็บอกข้าได้เลย ข้าจะทวงความยุติธรรมให้กับเจ้าแน่นอน”ถ้าคนที่เย่ไห่ถังแต่งงานด้วยไม่ใช่อินปู้อวี่ เย่จิ่งอวี้คงพูดคำนี้ไปนานแล้วเย่ไห่ถังสูดจมูก“ขอบพระทัยเสด็จพี่และเสด็จพี่สะใภ้เพคะ ตอนแรกข้าค่อนข้างมีความสุข แต่ตอนนี้ไม่อยากจากไปเลย”เมื่อเห็นว่าจมูกของเย่ไห่ถังแดง กำลังจะร้องไห้อีก เย่จิ่งอวี้จึงตีหน้าขรึมพูดทันที “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นข้าจะให้คนไปแจ้งอินปู้อวี่ ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่มีแล้ว หลี่เต๋อฝู!”หลี่เต๋อฝูก็เป็นคนเจ้าเ
ในวันที่หนึ่งเดือนสี่ ลำดับการสอบการต่อสู้ชี้ให้เห็นว่า เฉินเซียงเยว่ที่อินชิงเสวียนสนใจ สอบได้ลำดับหนึ่ง คนผู้นี้หน้าตาดูดุร้ายและน่าเกลียด แต่กลับมีจิตใจอ่อนโยนดังเช่นสตรี ไม่เพียงแต่วรยุทธ์ดีเลิศเท่านั้น แต่ยังเก่งในเรื่องการจัดขบวนทัพด้วย เป็นยอดแม่ทัพที่หาได้ยากนางได้ลำดับหนึ่งก็คือจอหงวนด้านวิชาการต่อสู้ ไม่มีใครไม่ยอมรับเลย แค่ยืนอยู่เฉยๆ ก็ดูฮึกเหิมมีพลังมากกว่าผู้ชายทุกคนในตอนนั้นเด็กผู้หญิงอีกคนหนึ่งแซ่หลิวมีชื่อว่าเยว่ ก็ได้รับเลือกให้ติดอยู่ในสามอันดับแรก รั้งอยู่ในเมืองหลวงฝ่าบาทขานรายชื่อสตรีมามากขนาดนี้ เหล่าขุนนางข้าราชบริพารก็อดไม่ได้ที่จะพูดถึงเรื่องนี้ ต่างรู้สึกว่ามันไม่ถูกต้องตามระเบียบประเพณี แต่ก็กล้าที่จะวิพากษ์วิจารณ์เป็นการส่วนตัวเท่านั้น ต้าโจวในวันนี้เปลี่ยนไปแล้ว ที่ฝ่าบาทยินดีฟังพวกเขา ก็ถือเป็นการให้เกียรติพวกเขาแล้ว หากฝ่าบาทไม่อยากฟัง ถึงพูดมากไปก็ไร้ผลแต่ไม่มีใครกล้าพูดว่าเย่จิ่งอวี้เป็นทรราช ฝ่าบาททรงงานปกครองบ้านเมืองอย่างหนัก แม้ว่าพระองค์จะทรงปฏิรูปครั้งใหญ่ แต่ก็ทำเพื่อประชาชนในราชวงศ์ต้าโจวเท่านั้น ขณะนี้แผ่นดินสงบสุข มีธัญพืชอุดมสมบูรณ
เสียงเรียกว่าท่านพี่นั้นทำให้เย่จิ่งอวี้ใจอ่อนลงมากโข ความโกรธทั้งหมดพลันหายไปอย่างไร้ร่องรอยในทันทีไม่เช่นนั้นจะทำอะไรได้อีก ภรรยาที่เลือกมาเอง มีแต่ต้องตามใจเองเท่านั้น“เจ้าคนโกหกตัวน้อย กลับไปสามีจะคิดบัญชีเจ้าหนักๆ ถอนกำลังภายในของเจ้าออก สามีจะทำแทนเจ้าเอง ประเดี๋ยวจะทำร้ายลูกในท้องเอา”เสียงของเย่จิ่งอวี้เชื่อมโยงเป็นเส้น ไหลผ่านกระทบโสตประสาทของอินชิงเสวียนคำต่อคำอย่างแจ่มชัดนางยกมุมปากขึ้น เผยเป็นรอยยิ้มภาคภูมิใจเมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายของเย่จิ่งอวี้ นางจึงเปิดโสตประสาท เหตุผลที่ขอให้เย่จิ่งอวี้ช่วย ก็เพราะว่ากำลังภายในในร่างกายของนางซับซ้อนเกินไป ยากต่อการควบคุม ในงานที่ละเอียดอ่อนเช่นนี้ จะให้เกิดข้อผิดพลาดไม่ได้เด็ดขาดเย่จิ่งอวี้ไม่เหมือนกัน เขาบำเพ็ญตบะกำลังภายในของหอแห่งเสียงศักดิ์สิทธิ์ ทั้งยังประสานพลังแห่งฟ้าดิน แม้ว่าอินชิงเสวียนจะมีพลังลมปราณของหลายสำนัก แต่ก็ไม่สามารถเทียบกับกำลังภายในอันบริสุทธิ์และทรงพลังของฮ่องเต้ได้ในชั่วพริบตา กำลังภายในดุจธารานิ่งลึกหลั่งไหลเข้ามาจากด้านนอกประตู เหมือนโลกลึกล้ำ โอบกอดและยืดหยุ่น บรรยากาศที่มืดมนในห้องโถงคล้ายจะถูก
“ฟางรั่วเข้าวัง?”เย่จิ่งอวี้หยุดฝีเท้าหลี่เต๋อฝูโค้งคำนับและพูดว่า “กระหม่อมถามองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตูวังแล้ว แม่นางฟางรั่วเข้ามาเมื่อสามชั่วยามที่แล้ว”เจวี๋ยอิ่งคุกเข่าลงและพูดว่า “กระหม่อมเห็นฟางรั่วเข้าไปในตำหนักจินอู๋ แต่ไม่เห็นนางและฮองเฮาออกมา”เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงเล็กน้อย สายตาคล้ายจะสดใสและมืดมน กำลังตกอยู่ในอาการครุ่นคิดด้วยวรยุทธ์ของฟางรั่ว ไม่มีทางเป็นไปได้ที่จะทำอันตรายต่ออินชิงเสวียน นางยังมีใบมีดแห่งมิติอยู่ในมือ แม้ว่าเหล่าเทพเซียนจะลงมาเอง แต่นางก็ยังสามารถต่อสู้ได้จากมุมมองนี้ ควรไม่ใช่การหายตัวไปง่ายๆ นางเรียกฟางรั่วมา ต้องมีเหตุผลอื่นเป็นแน่เจวี๋ยอิ่งโค้งคำนับและถามว่า “ต้องการให้กระหม่อมปิดล้อมพระนคร สืบหาที่อยู่ของฮองเฮาอย่างถี่ถ้วนหรือไม่พ่ะย่ะค่ะ”เย่จิ่งอวี้เหลือบมองเจวี๋ยอิ่ง“ไม่ต้อง หลี่เต๋อฝู ไปเชิญกวนเซี่ยวเข้ามาด้วย”ครู่ต่อมา กวนเซี่ยวก็วิ่งเหยาะๆ มาถึงประตูตำหนัก ยกเสื้อคลุมขึ้นและคุกเข่าลงกับพื้น“กวนเซี่ยวถวายบังคมฝ่าบาท ฝ่าบาททรง...”เย่จิ่งอวี้ได้ยินเช่นนั้นก็รำคาญ โบกมือห้าม“ตามสบาย เจ้ารู้ไหมว่าทำไมฟางรั่วถึงมาที่วัง”กวนเซี่ยว
“ในเมื่อเจ้าเตรียมตัวพร้อมแล้ว เช่นนั้นก็ตามข้าไปที่อื่น”อินชิงเสวียนดีดปลายเท้าขึ้น ร่างนั้นก็กระโดดออกจากตำหนักจินอู๋ ท่วงท่ากิริยาเบาบางและสง่างาม ราวกับเทพธิดาในวังพระจันทร์ที่ทิ้งร่องรอยความงดงามไว้บนโลกมนุษย์ฟางรั่วติดตามอย่างใกล้ชิด พลางชื่นชมในใจอินชิงเสวียนเป็นคนพิเศษจริงๆ!ราวสิบห้านาที ร่างที่สง่างามทั้งสองก็ปรากฏตัวขึ้นในตำหนักฉือหนิงหลังจากไทเฮาสิ้นพระชนม์ สถานที่แห่งนี้ก็ว่างเปล่า ขณะนี้มีไท่เฟยและไท่ผินเพียงไม่กี่คนที่เหลืออยู่ในวัง ที่พักอาศัยมีมากมาย เหตุผลที่อินชิงเสวียนเลือกสถานที่นี้ ก็เพราะเย่จิ่งอวี้จะไม่มาจากนั้นก็นึกในใจ ครั้นแล้วถังไม้ขนาดใหญ่ก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า และในพริบตาเดียว มันก็เต็มไปด้วยน้ำพุวิญญาณที่ใสสะอาด“เข้าไปสิ สิ่งนี้สามารถรับรองความปลอดภัยของเจ้าได้ในระดับสูงสุด”“เพคะ”ฟางรั่วก้าวเข้าไปในถังโดยไม่ลังเลใดๆ แม้เป็นฤดูหนาว น้ำในถังนี้กลับไม่เย็น แต่เต็มไปด้วยความอบอุ่นที่ปกคลุมผิวหนังและเส้นลมปราณทั้งหมดของนางอินชิงเสวียนตามเข้ามา จากนั้นนั่งตรงข้ามนางแม้ว่าจะเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝันขึ้น น้ำพุวิญญาณก็สามารถรับรองความปลอดภัยในชีวิตขอ
“เจ้าลุกขึ้น ข้าหมายถึงอาจจะทำได้ แต่จะมีโอกาสฟื้นตัวได้มากเพียงใด ข้าก็ไม่แน่ใจ เรื่องนี้ เจ้าควรปรึกษากับกวนเซี่ยวก่อนดีกว่า ถึงอย่างไรเรื่องนี้ก็ไม่ได้เกี่ยวกับเจ้าเท่านั้น แต่ยังเกี่ยวกับเขาด้วย”อินชิงเสวียนพยุงฟางรั่วด้วยมือทั้งสองข้าง และอธิบายข้อดีข้อเสียฟางรั่วพยักหน้า“ข้าเข้าใจ เพียงแต่ สุขภาพของฮองเฮา”อินชิงเสวียนท้องโตขนาดนี้ หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา นางไม่สามารถรับผิดชอบไหวอินชิงเสวียนยิ้มละไม“ร่างกายของข้าแข็งแรงมาก ไม่เป็นไร เจ้าคิดดีแล้วก็มาหาข้าที่วังหลวงได้เลย”“เพคะ”ขณะที่กำลังคุยกัน ทั้งสองคนก็เดินไปที่แท่นประลองข้างๆ แล้วเห็นเด็กหญิงคนหนึ่งอายุสิบห้าหรือสิบหกปี ถือดาบคู่อยู่ในมือ กระโดดขึ้นลงด้วยท่าทางที่เบาและกล้าหาญ บีบชายที่อยู่ตรงข้ามหลังให้ล่าถอยทีละก้าว จนตกแท่นประลอง ล้มลงต่อหน้าผู้ชม อินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะชื่นชมมัน“ทำได้ดีมาก!”ใบหน้าของฟางรั่วแสดงถึงความภาคภูมิใจ“เด็กหญิงคนนี้ชื่อหลิวซู่เยว่ เมื่อก่อนเป็นลูกสาวของหัวหน้าคณะละคร นางมีทักษะการต่อสู้อยู่บ้าง หลังจากที่บิดาเสียชีวิต นางไม่สามารถดูแลคณะละครได้ จึงมาที่เมืองหลวง เข้ามาเรี