"คนคนหนึ่ง? หรือท่านทำเพื่อสวีจือย่วน?"อินชิงเสวียนถามด้วยความตกใจอินสิงอวิ๋นประหลาดใจเล็กน้อย "เจ้ารู้จักสวีจือย่วนงั้นหรือ?"อินชิงเสวียนคิดในใจ แน่นอนสิ ตั้งแต่สมัยโบราณวีรบุรุษต้องเสียใจให้กับสาวงาม!"ใช่สิ ตอนนี้นางได้เข้าวังแล้ว นอกเสียจากท่านจะลักตัวนางออกมาจากวังได้ มิเช่นนั้น เกรงว่าทั้งชาตินี้คงไม่ได้พบหน้ากันอีก"สีหน้าของอินสิงอวิ๋นไร้อารมณ์ความรู้สึกในทันที"ข้าไม่ได้ทำเพื่อนาง"อินชิงเสวียนถามอย่างแปลกใจ "เช่นนั้นทำเพื่อสิ่งใด?""เป็นเพราะว่า..."อินสิงอวิ๋นพูดครึ่งหนึ่ง และพูดต่อ "เรื่องพวกนี้เจ้าไม่จำเป็นต้องรู้ ข้าขอถามเพียงว่า เจ้าอยากออกจากเมืองหลวงหรือไม่?""แน่นอนว่าข้าอยากไป แต่ตอนนี้ท่านยังเอาตัวเองไม่รอด แล้วจะพาข้าไปได้อย่างไร?"อินสิงอวิ๋นยิ้มแล้วถามว่า "เจ้าเห็นข้าเหมือนคนเอาตัวไม่รอดงั้นหรือ?""แต่ท่านเป็นผู้ต้องหาคนสำคัญของราชสำนัก เอ่อ ข้าหมายถึง..."อินชิงเสวียนไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรแล้วอินสิงอวิ๋นไม่ได้รู้สึกโกรธ พลางดึงมือของอินชิงเสวียนและพูดอย่างอ่อนโยน "เจ้าวางใจได้ ข้ายังคงอยู่ในเมืองหลวง และมีหนทางสำหรับการเข้าออก ขอเ
"พ่ะย่ะค่ะ"อินชิงเสวียนลุกขึ้น และถอยออกไปจากห้องหนังสือเมื่อออกมานอกประตู ก็อดไม่ได้ที่จะหันกลับไปมองกลับเห็นเย่จิ่งอวี้ร่างสูงตระหง่าน ยืนอยู่ด้านหน้าของหน้าต่าง และกำลังมองมาที่นางดวงตาของทั้งสองสบกันในอากาศ และทันใดนั้นบางสิ่งที่อธิบายไม่ได้ก็ปรากฏขึ้นในใจของอินชิงเสวียนยังไม่ทันจับใจความได้ คนก็เดินออกจากห้องหนังสือไปแล้วจนกระทั่งอินชิงเสวียนหายไปจากสายตา เย่จิ่งอวี้จึงกลับไปนั่งบนเก้าอี้รอยยิ้มบนใบหน้าของเขา กลับคืนสู่ความน่ายำเกรงของฮ่องเต้ทันที"ได้อะไรมาบ้าง?"เงาของเจวี๋ยอิ่งปรากฏอยู่ด้านหลังที่บังลม และพูดขึ้นด้วยความเคารพ "เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงไปยังจวนอ๋องจิ้ง และได้พบกับคนคนหนึ่งในบ้านที่ฝ่าบาททรงมอบให้ ข้าน้อยไร้ความสามารถ เดิมกระหม่อมอยากตามไปสืบว่าเขาคือใคร แต่กลับถูกพรรคพวกของเขาขัดขวางไว้พ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้หยิบพู่กันขึ้นมาเพื่ออ่านฎีกา และถามขึ้นเสียงเรียบ "เห็นชัดหรือไม่ว่าเป็นหญิงหรือชาย?"เจวี๋ยอิ่งก้มหน้าลงและพูดว่า "ผู้ชายพ่ะย่ะค่ะ แต่พรรคพวกของเขาเป็นผู้หญิง"เย่จิ่งอวี้ขานรับ "บนกายของผู้หญิงมักจะมีกลิ่นหอมอยู่เสมอ จมูกของเจ้ามี
ร่างสูงเดินเข้ามาจากด้านนอกเมื่อเห็นคนนั้น อวิ๋นฉ่ายและยายหลี่รีบคุกเข่าลงพื้น"กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท!""ลุกขึ้นเถอะ เสี่ยวหนานเฟิงเป็นอย่างไรบ้าง?"อินชิงเสวียนกำลังจะอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงที่กำลังวิ่งวุ่นอยู่บนพื้น"ถูกยุงกัดเพคะ""ให้ข้าดูหน่อย"เย่จิ่งอวี้ยื่นมือไปรับตัวเสี่ยวหนานเฟิง เสี่ยวหนานเฟิงหยุดร้องไห้ในทันที แต่ยังคงมีน้ำตาอยู่ในดวงตาที่เหมือนไข่มุกสีดำคู่นั้น ซึ่งดูน่าสงสารมากเย่จิ่งอวี้อดไม่ได้ที่จะรู้สึกปวดใจ เขาพูดขึ้นอย่างอ่อนโยน "ไม่ร้องนะ เด็กดี"จากนั้นก็หันไปสั่งเสี่ยวอานจื่อว่า "ไปนำอำพันปลาวาฬมา ขอสิ่งนั้นสามารถป้องกันยุงได้ และจุดรอบๆ ตำหนักจินหวู""พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมจะไปเดี๋ยวนี้"ยายหลี่อดไม่ได้ที่จะรุ้สึกประหลาดใจอำพันปลาวาฬเป็นสิ่งที่มีเพียงฝ่าบาท ฮองเฮา และไทเฮาที่สามารถใช้ได้ ฝ่าบาทกลับประทานให้แก่เสี่ยวหนานเฟิง ถือเป็นสายใยแห่งพ่อลูกจริงๆเมื่อเห็นฝ่าบาทอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงเข้าไปด้านในตำหนัก ยายหลี่ส่งสัญญาณให้อวิ๋นฉ่าย ทั้งสองจึงออกไปอย่างเงียบๆอินชิงเสวียนอดไม่ได้ที่จะสงสัยว่า หรือเสี่ยวหนานเฟิงรู้ว่าคนที่กำลังอุ้มเขา คือท
อินชิงเสวียนใจเต้นตุบตับ"กระหม่อมไปสนามฝึก จากนั้นก็กลับไปที่บ้าน จากนั้นก็ไปยังบ้านที่ฝ่าบาททรงมอบให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ?"เมื่อหันหลังกลับมาก็พบว่าเย่จิ่งอวี้ได้ยืนอยู่ด้านหลังของนาง ร่างสูงใหญ่ของเขาปรากฏขึ้นเหนือหัวของอินชิงเสวียน ทำให้รู้สึกถึงความกดดันขึ้นในทันใด"เจ้าไม่ได้ไปที่อื่นจริงๆ ใช่หรือไม่?"เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงและมองนาง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ซึ่งทำให้ไม่กล้าสบตามองอินชิงเสวียนครูดถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ไร้ซึ่งทางไป นางจึงนั่งลงบนขอบเตียง รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยในใจเหตุใดเย่จิ่งอวี้จึงถามเช่นนี้ หรือว่าเขาให้คนสะกดรอยตามตัวเอง?เมื่อคิดได้ว่าฉินเทียนและหลี่ชีไม่ได้ตามนางไป เพราะเรื่องแบบนี้ดูไม่ใช่วิถีการทำงานของพวกเขาหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็เปลี่ยนคำพูด"ความจริงกระหม่อมได้ไปอีกที่หนึ่งมา"นางชี้ไปยังกล่องไม้ที่บรรจุชาคั่ว และก้มหน้าพูดอย่างว่าง่าย "กระหม่อมได้ไปยังจวนอ๋องจิ้ง เพื่อขอบพระทัยท่านอ๋อง""หึ เจ้าช่างอยู่เป็นเสียจริง""ทั้งหมดเป็นเพราะฝ่าบาททรงสอนไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมติดตามฝ่าบาทมานาน แน่นอนว่าต้องเข้าใจหลักก
วันรุ่งขึ้นหลังจากเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงมาตลอดทั้งบ่าย อินชิงเสวียนเหนื่อยจนแทบหมดแรงเด็กๆ มีพลังไม่จำกัดอยู่เสมอ และก็ชอบผมของนางโดยเฉพาะหลักจากที่กล่อมเสี่ยวหนานเฟิงจอหลับ อินชิงเสวียนก็อยากงีบหลับสักหน่อย แต่ทันทีที่หัวถึงหมอน เสี่ยวอานจื่อก็วิ่งเข้ามา“เสี่ยวเสวียนจื่อ ฝ่าบาทให้เจ้ารีบไปที่ห้องหนังสือ ตรัสว่ามีเรื่องด่วน”อินชิงเสวียนลุกขึ้นมาด้วยความมึนงง“ได้ตรัสหรือไม่ว่ามีสิ่งใด?”“ไม่เลย ท่านอาจารย์ของข้าก็บอกกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน”“รู้แล้ว”อินชิงเสวียนยืดตัวบิดขี้เกี้ยจ สวมหมวกและจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เย่จิ่งอวี้ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดลำลองเรียบร้อยแล้วร่างที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ทำให้ร่างกายสูงและสง่างามของเขาดูเหมือนองอาจห้าวหาญชายเสื้อและปลายแขนปักด้วยด้ายเงิน ทุกท่าทางอิริยบทล้วนเผยให้เห็นถึงความสูงส่งมาแต่กำเนิด“กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท!” อินชิงเสวียนแอบเหลือบมองเขา ต้องยอมรับเลยว่าใบหน้าของเย่จิ่งอวี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสามร้อยหกสิบองศาฆ่าไม่ตายจริงๆใบหน้าที่มี
ฉินเทียนรีบนำทหารองครักษ์ตามขึ้นมา“เหล่าข้าน้อยจะไปพร้อมด้วยฝ่าบาท!” เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น หมู่บ้านอยู่ไม่ไกล ให้เสี่ยวเสวียนจื่อและไป๋เสวี่ยไปกับข้าก็พอ”“คือว่า...”ฉินเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็สงสัยสีหน้าเย่จิ่งอวี้เคร่งขรึมเล็กน้อย“นี่คือคำสั่ง!” “พ่ะย่ะค่ะ” ฉินเทียนจึงพาคนถอยออกไปทันทีเมื่อได้ยินว่าจะพาไป๋เสวี่ยไปด้วย อินชิงเสวียนก็สบายใจขึ้นมากสุนัขมีขนาดใหญ่ และติดตามอยู่ด้านหลังเหมือนม้าตัวเล็กๆ คนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้เย่จิ่งอวี้กลับยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบเช่นเดิมเสื้อผ้าของเขาปลิวไสว และย่างกรายเดินช้าๆ ไปตามถนนในชนบท ใบหน้าต้านกับสายลมอ่อนๆ เดินเล่นสบายๆ ด้วยท่าทางเอ้อระเหยอินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยเดินตามอยู่ข้างหลังเขา จังหวะช้าเร็วปะปนกันเวลาเพียงสิบห้านาทีก็เดินถึงหน้าหมู่บ้านในเวลานี้คนส่วนใหญ่กำลังทําสวนในไร่นา มีเพียงหญิงชราไม่กี่คนและเด็กหลายคนนั่งอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนสวมชุดหรูหรา ทุกคนต่างมองไปยังทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจเย่จิ่งอวี้เดินไปด้านหน้า ถามด้วยน้ำเสียงอ
อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ และถามว่า “ฝ่าบาท... เหตุใดพระองค์จึงถามขึ้นมาเช่นนี้”เย่จิ่งอวี้มองไปข้างหน้า และความคมบนใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันทีไม่รอให้อินชิงเสวียนตอบคำถาม เขาก็หันหน้ากลับมา ดวงตาที่ลึกล้ำและแหลมคม“เจ้าโกหกข้ามาหลายครั้ง ครั้งนี้ข้าเพียงอยากเพียงอยากได้ยินความจริง”อินชิงเสวียนเงยศีรษะขึ้น กลับไม่กล้าสบตากับความแหลมคมนั้น จึงก้มหน้าลงอีกครั้ง“กระหม่อม...”นางกัดริมฝีปากและพูดอย่างโหดร้าย “หากว่ามีโอกาส กระหม่อมอยากออกไปจากวังพ่ะย่ะค่ะ”“ทำไม? ข้าไม่ดีกับเจ้ามากพองั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้หันตัวกลับมา สายตาข่มว่าตนเหนือกว่าอินชิงเสวียนถอยหลังหนึ่งก้าวพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาททรงดีต่อกระหม่อมมากพอพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมยังคงโหยหาชีวิตฟ้าที่สูงแล้วแต่นกจะบิน ทะเลที่กว้างใหญ่แล้วแต่ปลาจะว่ายวน”เย่จิ่งอวี้เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จ้องนางและถามว่า “อยู่ในวังเจ้าโบยบินไม่ได้? หรือว่ายวนไม่ได้งั้นหรือ?”อินชิงเสวียนมองไปที่ปลายรองเท้าของนางแล้วพูดว่า “ในวังมีกฎระเบียบมากเกินไป กระหม่อมเกรงว่าหากไม่ระวังอาจจะไร้เงาหัว”เย่จิ่งอวี้เสียงเข้
เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเย่จิ่งอวี้ที่ถูกลมพัดปลิว หัวใจของอินชิงเสวียนก็อดที่จะปั่นป่วนไม่ได้หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตามไป๋เสวี่ยไปเย่จิ่งอวี้ขึ้นรถไปแล้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กลับวัง”รถม้าก็ออกจากทุ่งข้าวสาลีโดยไวระหว่างทาง สีหน้าของเย่จิ่งอวี้นิ่งดั่งสายน้ำ อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดมากโชคดีที่มีไป๋เสวี่ยอยู่ การหยอกล้อกับสุนัขช่วยบรรเทาความลำบากใจได้บ้างหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าก็มาถึงหน้าห้องหนังสือฉินเทียนพูดอย่างเคารพ “ฝ่าบาท ถึงห้องหนังสือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนรีบพาสุนัขลงจากรถ พร้อมยื่นมือไปพยุงเย่จิ่งอวี้เย่จิ่งอวี้เลี่ยงมือของนาง และกระโดดลงไปที่พื้นอย่างเรียบร้อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย “กลับไปคิดมาเถอะ สามวันนี้เจ้าอยู่ที่ตำหนักจินหวูก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนโค้งคำนับและถอยกลับไปหลังรถ จากนั้นเดินอย่างรวดเร็วไปยังตำหนักจินหวูจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกันนางมีความรู้สึกว่า เย่จิ่งอวี้อาจรู้ตัวตนของนางแล้วอาจถึงขั้นที่เดาได้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงเป็นลูกของเขาเองถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงแต่งตังให้เส