อินชิงเสวียนใจเต้นตุบตับ"กระหม่อมไปสนามฝึก จากนั้นก็กลับไปที่บ้าน จากนั้นก็ไปยังบ้านที่ฝ่าบาททรงมอบให้กระหม่อมพ่ะย่ะค่ะ?"เมื่อหันหลังกลับมาก็พบว่าเย่จิ่งอวี้ได้ยืนอยู่ด้านหลังของนาง ร่างสูงใหญ่ของเขาปรากฏขึ้นเหนือหัวของอินชิงเสวียน ทำให้รู้สึกถึงความกดดันขึ้นในทันใด"เจ้าไม่ได้ไปที่อื่นจริงๆ ใช่หรือไม่?"เย่จิ่งอวี้หรี่ตาลงและมองนาง ในดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชา ซึ่งทำให้ไม่กล้าสบตามองอินชิงเสวียนครูดถอยหลังหนึ่งก้าว แต่ไร้ซึ่งทางไป นางจึงนั่งลงบนขอบเตียง รู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อยในใจเหตุใดเย่จิ่งอวี้จึงถามเช่นนี้ หรือว่าเขาให้คนสะกดรอยตามตัวเอง?เมื่อคิดได้ว่าฉินเทียนและหลี่ชีไม่ได้ตามนางไป เพราะเรื่องแบบนี้ดูไม่ใช่วิถีการทำงานของพวกเขาหลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่ง อินชิงเสวียนก็เปลี่ยนคำพูด"ความจริงกระหม่อมได้ไปอีกที่หนึ่งมา"นางชี้ไปยังกล่องไม้ที่บรรจุชาคั่ว และก้มหน้าพูดอย่างว่าง่าย "กระหม่อมได้ไปยังจวนอ๋องจิ้ง เพื่อขอบพระทัยท่านอ๋อง""หึ เจ้าช่างอยู่เป็นเสียจริง""ทั้งหมดเป็นเพราะฝ่าบาททรงสอนไว้พ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมติดตามฝ่าบาทมานาน แน่นอนว่าต้องเข้าใจหลักก
วันรุ่งขึ้นหลังจากเล่นกับเสี่ยวหนานเฟิงมาตลอดทั้งบ่าย อินชิงเสวียนเหนื่อยจนแทบหมดแรงเด็กๆ มีพลังไม่จำกัดอยู่เสมอ และก็ชอบผมของนางโดยเฉพาะหลักจากที่กล่อมเสี่ยวหนานเฟิงจอหลับ อินชิงเสวียนก็อยากงีบหลับสักหน่อย แต่ทันทีที่หัวถึงหมอน เสี่ยวอานจื่อก็วิ่งเข้ามา“เสี่ยวเสวียนจื่อ ฝ่าบาทให้เจ้ารีบไปที่ห้องหนังสือ ตรัสว่ามีเรื่องด่วน”อินชิงเสวียนลุกขึ้นมาด้วยความมึนงง“ได้ตรัสหรือไม่ว่ามีสิ่งใด?”“ไม่เลย ท่านอาจารย์ของข้าก็บอกกับข้าเช่นนี้เหมือนกัน”“รู้แล้ว”อินชิงเสวียนยืดตัวบิดขี้เกี้ยจ สวมหมวกและจัดระเบียบเสื้อผ้าให้เรียบร้อย จากนั้นก็เดินไปยังห้องหนังสือด้วยสีหน้าที่ไม่สบอารมณ์เย่จิ่งอวี้ได้เปลี่ยนไปใส่ชุดลำลองเรียบร้อยแล้วร่างที่สวมเสื้อคลุมสีฟ้าอ่อน ทำให้ร่างกายสูงและสง่างามของเขาดูเหมือนองอาจห้าวหาญชายเสื้อและปลายแขนปักด้วยด้ายเงิน ทุกท่าทางอิริยบทล้วนเผยให้เห็นถึงความสูงส่งมาแต่กำเนิด“กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท!” อินชิงเสวียนแอบเหลือบมองเขา ต้องยอมรับเลยว่าใบหน้าของเย่จิ่งอวี้หล่อเหลาเป็นอย่างมาก เรียกได้ว่าสามร้อยหกสิบองศาฆ่าไม่ตายจริงๆใบหน้าที่มี
ฉินเทียนรีบนำทหารองครักษ์ตามขึ้นมา“เหล่าข้าน้อยจะไปพร้อมด้วยฝ่าบาท!” เย่จิ่งอวี้พูดขึ้นเสียงเรียบ “ไม่จำเป็น หมู่บ้านอยู่ไม่ไกล ให้เสี่ยวเสวียนจื่อและไป๋เสวี่ยไปกับข้าก็พอ”“คือว่า...”ฉินเทียนและคนอื่นๆ ต่างก็สงสัยสีหน้าเย่จิ่งอวี้เคร่งขรึมเล็กน้อย“นี่คือคำสั่ง!” “พ่ะย่ะค่ะ” ฉินเทียนจึงพาคนถอยออกไปทันทีเมื่อได้ยินว่าจะพาไป๋เสวี่ยไปด้วย อินชิงเสวียนก็สบายใจขึ้นมากสุนัขมีขนาดใหญ่ และติดตามอยู่ด้านหลังเหมือนม้าตัวเล็กๆ คนส่วนใหญ่ยังไม่กล้าก้าวเข้าไปใกล้เย่จิ่งอวี้กลับยังคงอยู่ในท่าทางที่สงบเช่นเดิมเสื้อผ้าของเขาปลิวไสว และย่างกรายเดินช้าๆ ไปตามถนนในชนบท ใบหน้าต้านกับสายลมอ่อนๆ เดินเล่นสบายๆ ด้วยท่าทางเอ้อระเหยอินชิงเสวียนและไป๋เสวี่ยเดินตามอยู่ข้างหลังเขา จังหวะช้าเร็วปะปนกันเวลาเพียงสิบห้านาทีก็เดินถึงหน้าหมู่บ้านในเวลานี้คนส่วนใหญ่กำลังทําสวนในไร่นา มีเพียงหญิงชราไม่กี่คนและเด็กหลายคนนั่งอยู่ที่ทางเข้าหมู่บ้านเมื่อเห็นเย่จิ่งอวี้และอินชิงเสวียนสวมชุดหรูหรา ทุกคนต่างมองไปยังทั้งสองคนด้วยความประหลาดใจเย่จิ่งอวี้เดินไปด้านหน้า ถามด้วยน้ำเสียงอ
อินชิงเสวียนหัวเราะแห้งๆ และถามว่า “ฝ่าบาท... เหตุใดพระองค์จึงถามขึ้นมาเช่นนี้”เย่จิ่งอวี้มองไปข้างหน้า และความคมบนใบหน้าของเขาก็เคร่งขรึมขึ้นทันทีไม่รอให้อินชิงเสวียนตอบคำถาม เขาก็หันหน้ากลับมา ดวงตาที่ลึกล้ำและแหลมคม“เจ้าโกหกข้ามาหลายครั้ง ครั้งนี้ข้าเพียงอยากเพียงอยากได้ยินความจริง”อินชิงเสวียนเงยศีรษะขึ้น กลับไม่กล้าสบตากับความแหลมคมนั้น จึงก้มหน้าลงอีกครั้ง“กระหม่อม...”นางกัดริมฝีปากและพูดอย่างโหดร้าย “หากว่ามีโอกาส กระหม่อมอยากออกไปจากวังพ่ะย่ะค่ะ”“ทำไม? ข้าไม่ดีกับเจ้ามากพองั้นหรือ?”เย่จิ่งอวี้หันตัวกลับมา สายตาข่มว่าตนเหนือกว่าอินชิงเสวียนถอยหลังหนึ่งก้าวพูดขึ้นอย่างระมัดระวัง “ฝ่าบาททรงดีต่อกระหม่อมมากพอพ่ะย่ะค่ะ เพียงแต่กระหม่อมยังคงโหยหาชีวิตฟ้าที่สูงแล้วแต่นกจะบิน ทะเลที่กว้างใหญ่แล้วแต่ปลาจะว่ายวน”เย่จิ่งอวี้เดินไปด้านหน้าหนึ่งก้าว จ้องนางและถามว่า “อยู่ในวังเจ้าโบยบินไม่ได้? หรือว่ายวนไม่ได้งั้นหรือ?”อินชิงเสวียนมองไปที่ปลายรองเท้าของนางแล้วพูดว่า “ในวังมีกฎระเบียบมากเกินไป กระหม่อมเกรงว่าหากไม่ระวังอาจจะไร้เงาหัว”เย่จิ่งอวี้เสียงเข้
เมื่อมองดูเสื้อผ้าของเย่จิ่งอวี้ที่ถูกลมพัดปลิว หัวใจของอินชิงเสวียนก็อดที่จะปั่นป่วนไม่ได้หลังจากยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่ง ก็ตามไป๋เสวี่ยไปเย่จิ่งอวี้ขึ้นรถไปแล้ว พูดขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย “กลับวัง”รถม้าก็ออกจากทุ่งข้าวสาลีโดยไวระหว่างทาง สีหน้าของเย่จิ่งอวี้นิ่งดั่งสายน้ำ อินชิงเสวียนจึงไม่กล้าพูดมากโชคดีที่มีไป๋เสวี่ยอยู่ การหยอกล้อกับสุนัขช่วยบรรเทาความลำบากใจได้บ้างหนึ่งชั่วโมงต่อมา รถม้าก็มาถึงหน้าห้องหนังสือฉินเทียนพูดอย่างเคารพ “ฝ่าบาท ถึงห้องหนังสือแล้วพ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนรีบพาสุนัขลงจากรถ พร้อมยื่นมือไปพยุงเย่จิ่งอวี้เย่จิ่งอวี้เลี่ยงมือของนาง และกระโดดลงไปที่พื้นอย่างเรียบร้อยพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาเล็กน้อย “กลับไปคิดมาเถอะ สามวันนี้เจ้าอยู่ที่ตำหนักจินหวูก็พอ”“พ่ะย่ะค่ะ”อินชิงเสวียนโค้งคำนับและถอยกลับไปหลังรถ จากนั้นเดินอย่างรวดเร็วไปยังตำหนักจินหวูจิตใจสับสนวุ่นวายเหมือนด้ายพันกันนางมีความรู้สึกว่า เย่จิ่งอวี้อาจรู้ตัวตนของนางแล้วอาจถึงขั้นที่เดาได้ว่าเสี่ยวหนานเฟิงเป็นลูกของเขาเองถ้าไม่เป็นเช่นนั้น เหตุใดเขาจึงแต่งตังให้เส
อวิ๋นฉ่ายตกใจมาก“พระสนม เสี่ยวหนานเฟิงเป็นอะไรเจ้าคะ?”ยายหลี่ก็เสียสติไปชั่วขณะ“นี่มันอะไรกัน เมื่อครู่ยังดีๆ อยู่เลย”เสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้โวยวายหนักขึ้น และดิ้นอยู่ในอ้อมแขนของอินชิงเสวียน“ไม่ร้องนะ เด็กดี!” อินชิงเสวียนปลอบเสี่ยวหนานเฟิงไปด้วย พลางมองตุ่มสีแดงบนตัวของเขาอย่างใจเย็นนี่มันเรื่องอะไรกัน หรือว่าเย่ไห่ถังทำอะไรลงไป?นางไม่ใช่สนมในวังหลัง แทบไม่จำเป็นต้องทำเรื่องแบบนี้ด้วยซ้ำเมื่อมองไปที่ใบหน้าเล็กๆ ที่มีอาการแดงขึ้นของเสี่ยวหนานเฟิง ในใจของอินชิงเสวียนก็ยิ่งรู้สึกตื่นตระหนกเล็กน้อย“อวิ๋นฉ่าย เจ้ารีบไปแจ้งให้ทหารองครักษ์ที่เฝ้าหน้าประตู รีบให้พวกเขาไปตามหมอหลวง”อวิ๋นฉ่ายตอบรับ และวิ่งไปยังด้านนอกเสี่ยวหนานเฟิงร้องไห้มากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้ว่าเขาเจ็บหรือคันกันแน่ แต่เพียงครู่เดียว ผิวหนังทุกส่วนบนร่างกายของเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงและร้อนขึ้นมาก“เหมือนลูกจะตัวร้อนขึ้น แบบนี้ควรทำอย่างไรดี?”ยายหลี่สงสารเด็กน้อย น้ำตาค่อยๆ ไหลลงมาอินชิงเสวียนเกิดความสับสนในใจ พูดตำหนิเสียงแข็ง “ร้องไห้แล้วจะได้ประโยชน์อะไร รีบช่วยกันคิดว่าใครโดนตัวเด็กบ้า
เย่จิ่งอวี้เดินไปที่เตียงอย่างรวดเร็ว และคว้าข้อเท้าของเสี่ยวหนานเฟิงไว้ด้วยมือที่ใหญ่และข้อต่อที่เด่นชัดของเขา“อย่ามัวโอ้เอ้ รีบฝังเข็มเข้าสิ ร้องสักหน่อยคงไม่เป็นไร ชีวิตสำคัญกว่ามาก!” “พ่ะย่ะค่ะ”หมอหลวงเหลียงหยิบเข็มเงินออกมา และทิ่มลงไปบนเนื้อที่อ่อนนุ่มของเสี่ยวหนานเฟิงเด็กน้อยร้องไห้ขึ้นมาอีกครั้งในทันที ลิ้นสีชมพูสั่นในปากของเขา และน้ำตาก็ไหลออกมาขนานกันสองข้างหัวใจอินชิงเสวียนแทบสลาย นางรู้สึกหน่วงที่จมูก น้ำตาก็ไหลออกมาในที่สุดนางก็เข้าใจความรู้สึกของคนเป็นแม่ ขอเพียงเสี่ยวหนานเฟิงหายดี นางยอมทำทุกอย่างเมื่อเห็นน้ำตาที่ไหลลงบนหน้าอกของเสี่ยวหนานเฟิง ดวงตาของเย่จิ่งอวี้ก็เคร่งขรึมขึ้นมาก“ยังต้องเจาะอีกนานเท่าใด?”“ใกล้เสร็จแล้วพ่ะย่ะค่ะ เหลืออีกหนึ่งเข็ม”หมอหลวงเหลียงหยิบเข็มเงินขึ้นมาด้วยความสั่น และเจาะเข้าไปที่จุดถันจงของเสี่ยวหนานเฟิงไม่รู้ว่าเป็นเพราะฤทธิ์จากการฝังเข็ม หรือเสี่ยวหนานเฟิงที่ร้องไห้จนเหนื่อย เสียงเริ่มค่อยๆ เงียบลงอินชิงเสวียนตกใจมาก รีบไปตรวจดูลมหายใจของเสี่ยวหนานเฟิงโชคดี ยังหายใจอยู่เย่จิ่งอวี้ก็ปล่อยมือลงอย่างช้าๆ
ไทเฮาตกใจอย่างมาก นางตบโต๊ะหนึ่งฉาดและพูดขึ้นด้วยความโมโห “บังอาจนัก พวกเจ้ากล้าลงไม้ลงมือในตำหนักฉือหนิง หรือว่ามองไม่เห็นหัวข้าแล้ว?”ผู้เป็นหัวหน้าพูดด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “นี่คือคำสั่งของฝ่าบาท เหล่ากระหม่อมเพียงทำตามพระบัญชาพ่ะย่ะค่ะ นำตัวไป!” พวกเขาหิ้วตัวของหลิวหมัวมัวออกไปจากตำหนักฉือหนิงทันทีไทเฮารีบตามออกมาในทันใด “บ่าวจอมโอหัง พวกเจ้าคิดก่อกบฏงั้นหรือ?”ทหารองครักษ์แทบไม่สนใจนาง ลากตัวของหลิวหมัวมัวไปราวกับลากสุนัขที่ตายแล้วไทเฮาตัวเซ และเกือบล้มลงกลางตำหนักชุยไห่รีบเข้ามาพยุงนางไว้ “ไทเฮา ระวังพระวรกายด้วยพ่ะย่ะค่ะ”ไทเฮารีบพูดขึ้นอย่างรีบร้อน “ยังต้องระวังอะไรอีก รีบตามข้าไปที่ตำหนักจินหวู”หลิวหมัวมัวคอยติดตามรับใช้นางตั้งแต่ยังเล็ก เพียงพริบตาเดียวก็ผ่านไปถึงสี่สิบปีแล้ว จะไม่สนใจได้อย่างไรฝีเท้าของเหล่าทหารองครักษ์ว่องไวมาก เมื่อไทเฮาเสด็จออกมาจากพระตำหนัก ก็ไม่พบเงาของผู้ใดเลยในตำหนักจินหวู เหล่านางสนมยังคงคุกเข่าอยู่บนพื้นดวงอาทิตย์ที่แผดเผากำลังสาดส่องพวกนาง แต่ไม่มีใครกล้าพูดอะไรสักคำลู่จิ้งเสียนกลับยิ่งร้อนรนเป็นอย่างมาก นางออกแรงกำผ