ฝนตกหนักขนาดนี้ เขายังมาทำไมอีกถึงอย่างไรตัวเองก็เอาชนะการประลองครั้งนี้ได้ จะปล่อยให้อยู่อย่างสงบไม่ได้เลยเชียวหรือขณะที่นางกำลังคิดอยู่นั้น เย่จิ่งอวี้ก็เดินเข้ามา"กระหม่อมขอถวายบังคมฝ่าบาท"อินชิงเสวียนอุ้มเสี่ยวหนานเฟิงอยู่ จึงโค้งกายเป็นสัญลักษณ์แทนการคำนับ"ลุกขึ้น นี่คือสิ่งใดรึ"เย่จิ่งอวี้ชูโกลนม้าขึ้นแสดงชิ สังเกตเห็นเร็วชะมัด"นี่คือโกลนม้าพ่ะย่ะค่ะ กระหม่อมชนะศึกนี้ด้วยสิ่งนี้"เย่จิ่งอวี้โยนโกลนม้าให้หลี่เต๋อฝู นั่งบนเก้าอี้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม "ในหัวเจ้ามีอะไรอยู่ในนั้น ถึงสามารถคิดค้นสิ่งมหัศจรรย์เช่นนี้ออกมาได้"อินชิงเสวียนคิดในใจว่า สิ่งที่ข้ามีอยู่ในหัวคือวัฒนธรรมความรู้ของชาวจีนนับห้าพันปี แคว้นต้าโจวผุๆ พังๆ ของท่านจะมาเทียบได้รึแต่กลับพูดออกมาด้วยความเคารพว่า "ฝ่าบาทตรัสยกย่องเกินไปแล้ว กระหม่อมเพียงบังเอิญคิดขึ้นมาได้เท่านั้น"เย่จิ่งอวี้หัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวว่า "ช่างบังเอิญได้ดีทีเดียว ข้าจะจดจำความชอบครั้งนี้ของเจ้าไว้ เพียงแต่เรื่องค่ายกลโล่กำแพงนี้ ข้ายังคงต้องการคำแนะนำจากเจ้าหน่อย โล่และหอกข้าได้สั่งให้กรมกลาโหมเร่งสร้างขึ้นตามแบบที่เจ้าร่างแ
อินชิงเสวียนเบิกตาโพลง เย่จิ่งอวี้คงบ้าไปแล้วกระมัง!เมื่อเห็นนางทำหน้าทำตาราวกับกระต่ายตื่นตูม มุมปากของเย่จิ่งอวี้ก็กระตุกขึ้น"ทำไม เจ้าไม่ชอบรึ"ก็ไม่ชอบอยู่แล้วสิ นี่คือลูกของนางนะ จะให้อยู่ในวังเพื่ออะไรอย่างไรก็ตาม ร่างกายกลับคุกเข่าลงอย่างอ่อนน้อม"กระหม่อมขอบพระทัยพ่ะย่ะค่ะ!""ลุกขึ้นเถอะ"เย่จิ่งอวี้นั่งบนเก้าอี้แล้วจิบน้ำที่วางอยู่บนโต๊ะ เมื่อดื่มเข้าไปก็รู้สึกได้ถึงรสเผ็ดร้อนในปาก จึงนึกขึ้นได้ว่าสิ่งนี้เป็นน้ำขิง"เจ้าโดนฝนมา ตอนนี้เป็นอย่างไรบ้าง"อินชิงเสวียนโบกมือแล้วพูดว่า "ตอนนี้กระหม่อมรู้สึกสบายมาก ทุกอย่างเรียบร้อยดีพ่ะย่ะค่ะ"เมื่อเห็นสีหน้าของนางดูผ่องใส เย่จิ่งอวี้ก็รู้สึกโล่งใจด้านเสี่ยวหนานเฟิงที่อยู่ในอ้อมแขน เมื่อเห็นว่าอินชิงเสวียนกำลังพูดคุยกับคนอื่น เขาก็ยื่นมือเล็กๆ ออกมาดึงหมวกของนางทันที ด้วยความคิดที่จะพยายามหันเหความสนใจของผู้เป็นแม่อินชิงเสวียนจึงรีบหยิบรถของเล่นออกมา ใช้หยอกล้อเสี่ยวหนานเฟิงเมื่อเห็นว่าสิ่งเล็กๆ นี้สามารถเปล่งแสงวิบวับได้ สามารถส่งเสียง แถมยังวิ่งได้ด้วย เย่จิ่งอวี้ก็โน้มตัวลงเล็กน้อย แล้วถามด้วยความประหลาดใจ "หรือ
เย่จิ่งอวี้อุ้มเด็กลุกขึ้นยืน ต้องสะกดลมหายใจอยู่ชั่วอึดใจ ความเจ็บปวดรวดร้าวในจมูกถึงค่อยๆ บรรเทาลงไปเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย กล่าวว่า "เด็กตัวเล็กเท่านี้ เหตุใดถึงมีแรงมากเพียงนี้"อินชิงเสวียนรีบหุบยิ้ม แล้วก้มศีรษะลงแล้วพูดว่า "ลูกชายของกระหม่อมกินเยอะตั้งแต่เด็ก คงเป็นเพราะกินมากจึงมีเรี่ยวแรงมากกระมัง"เสี่ยวหนานเฟิงดูเหมือนจะรู้ตัวว่าตัวเองทำผิด เก็บกำปั้นเล็กจ้อยนั้นกลับคืนทันที ชี้ที่จมูกที่เริ่มแดงเล็กน้อยของเย่จิ่งอวี้ แล้วเริ่มพูดอ้อแอ้ครั้นเห็นท่าทางน่ารักน่าเอ็นดูของเด็ก เย่จิ่งอวี้ย่อมโกรธไม่ลงเขายิ้มแล้วพูดว่า "ข้าไม่เป็นไร เจ้าไม่ต้องกลัว"อินชิงเสวียนคิดในใจ ในเมื่อไม่เป็นไร คราวหน้าต้องเล่นงานให้หนักขึ้นเลยนะ!เมื่อได้ยินเสียงปลอบใจอันอ่อนโยนของเย่จิ่งอวี้ เสี่ยวหนานเฟิงก็เอาหน้าเล็กๆ แนบคางของเขาทันที แล้วเกลือกหน้าไปมาราวกับลูกสุนัข อินชิงเสวียนกลอกตา ถูกปลอบแล้วหายง่ายๆ เพียงนี้ ไม่มีหลักการเอาเสียเลย!ขณะที่กำลังคิดอยู่นั้น หลี่เต๋อฝูก็วิ่งเข้ามาจากด้านนอก"ฝ่าบาท เสนาบดีกรมกลาโหมมาขอเข้าเฝ้าที่ห้องหนังสือพ่ะย่ะค่ะ"เย่จิ่งอวี้พยักหน้า"ข้ารู้แล้ว"อิ
ความรู้สึกสนิทสนมคุ้นเคยผุดขึ้นมาจากใจ อินชิงเสวียนเกือบจะอุทานออกมาร่างนี้เป็นพี่ชายใหญ่ในความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมอย่างแน่นอนอินสิงอวิ๋นยังไม่ตายจริงๆ เขายังอยู่ในเมืองหลวงจริงๆ!อินชิงเสวียนดึงบังเหียนม้าอย่างตื่นเต้น จับท้องของม้าแล้วไล่ตามร่างนั้นไปหลังจากไล่ตามจนมาถึงตรอกเล็กๆ ก็พบว่าไม่มีผู้ใดอยู่ข้างหน้าหรือข้างหลังความเงียบงันในบรรยากาศทำให้อินชิงเสวียนรู้สึกกังวลเล็กน้อยนางไม่ควรแยกจากฉินเทียนและหลี่ชีจริงๆ ถ้าเกิดมีคนวางแผนลอบทำร้ายจะทำอย่างไรแล้วจึงเร่งควบม้าออกจากตรอกทันที แต่ได้ยินผู้ใดบางคนตะโกนด้วยความประหลาดใจ "เสี่ยวเสวียนจื่อกงกง!"เมื่ออินชิงเสวียนหันกลับมา ก็เห็นกวนเซี่ยวทันทีที่สวมเสื้อคลุมสีเขียวอ่อนถอนหายใจด้วยความโล่งอก กระโดดลงจากหลังม้าแล้วพูดว่า "คุณชายน้อยกวน ทำไมถึงมาอยู่ที่นี่ได้"ขณะที่กวนเซี่ยวกำลังจะพูดตอบ จู่ๆ ก็มีหญิงผู้หนึ่งปรากฏตัวที่ประตูหลัง และยื่นมือออกไปจับเขา"คุณชายกวน ท่านจะออกไปแล้วรึ"ทันใดนั้นใบหน้าของกวนเซี่ยวก็เปลี่ยนเป็นสีแดง รีบผลักนางออกไป"ไม่ต้องพูดแล้ว รีบเข้าไป"เมื่อเห็นเขายัดหญิงผู้นั้นกลับเข้าไปในประตูเ
"หรือว่าเขาก็คือเสด็จอาสิบสามของฝ่าบาท เย่จั้น?" อินชิงเสวียนเอ่ยถามด้วยความประหลาด ใจฉินเทียนพยักหน้ากล่าวว่า "ใช่ เมื่อครู่ข้าเพิ่งออกไปดู ทหารอารักขาล้วนสวมชุดเกราะสีชาด ยกเว้นค่ายเปลวเพลิงสีชาดของท่านอ๋องสิบสามแล้ว ต้าโจวของเราก็ไม่มีผู้ใดสวมเสื้อเกราะประเภทนี้อีก"อินชิงเสวียนร้องอ้อออกมาคำหนึ่ง แล้วพูดว่า "ฟังดูแข็งแกร่งมาก""ย่อมเป็นเช่นนั้น มีท่านอ๋องสิบสามเฝ้าประจำการอยู่ในเมืองซุ่ยหาน หลายปีมานี้จึงไม่มีผู้ใดกล้ากระทำผิดใดๆ"ฉินเทียนยกย่องเย่จั้นเป็นอย่างมาก กล่าวถึงด้วยรอยยิ้มอันภาคภูมิใจบนใบหน้าเมื่อได้ยินคำว่า ‘เมืองซุ่ยหาน’ อินชิงเสวียนก็จำได้ว่านั่นคือสถานที่ที่บิดาของเจ้าของร่างเดิมอาศัยอยู่จะต้องหาโอกาสไปพบกับเย่จั้น แล้วถามว่าครอบครัวของเจ้าของร่างเดิมมีชีวิตความเป็นอยู่เป็นอย่างไรบ้าง แม้ว่าจะไม่สามารถช่วยพวกเขาขจัดความอยุติธรรมได้ในขณะนี้ แต่ถ้าสามารถส่งเงินให้ได้บ้างก็เป็นการดี เพื่อเอาไว้ให้จับจ่ายใช้สอย"ท่านอ๋องสิบสามจะไปพำนักอยู่ที่ใดรึ"ฉินเทียนกล่าว "ในเมืองหลวงมีจวนจิ้งอ๋ฮงอยู่หลังหนึ่ง ที่นั่นเป็นที่พำนักของท่านอ๋องสิบสาม แม้ว่าท่านอ๋องสิบสามจะไม
แววตาของทั้งสองคนเริ่มคลุมเครือทันที"สมแล้วที่เป็นเสี่ยวเสวียนจื่อกงกง มีคนรักด้วยแน่ะ""ดูจากรูปร่างหน้าตาของเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงแล้ว คนรักของเจ้าจะต้องเป็นดาวเด่นของเรือนจุ้ยหงแน่นอน"อินชิงเสวียนหัวเราะแหะๆ แล้วพูดว่า "แน่อยู่แล้ว เรามีเงินไม่ขาด จะหาสตรีทั้งทีย่อมหาผู้ที่ดีที่สุด ตกลงพวกเจ้าสองคนจะไปหรือไม่"พวกเขาทั้งสองทำงานในวังตลอดทั้งวัน ไม่เคยไปสถานที่แบบนั้น ดังนั้นพวกเขาจึงอดไม่ได้ที่จะอยากลองสักหน่อย"เพียงแต่ว่า ถ้าฝ่าบาทรู้เข้าล่ะ..." ฉินเทียนยังคงไม่กล้าอินชิงเสวียนตบไหล่เขาแล้วพูดว่า "พวกเราไม่พูด เขาจะรู้ได้อย่างไร เร็วเข้าเถอะ"อินชิงเสวียนจับม้าด้วยท่าทีเร่งรีบ ตะโกนบอกจังเถี่ยและสวีเหลียง "พวกเจ้าฝึกซ้อมกันให้ดีนะ ข้ามีงานอย่างอื่นต้องทำ"ทั้งสองโบกมือทันที "เสี่ยวเสวียนจื่อกงกงกลับดีๆ นะ"อินชิงเสวียนปีนขึ้นไปบนหลังม้า ม้าของนางใส่โกลนม้าไว้แล้ว ทำให้ขึ้นขี่ม้าได้อย่างสบาย และสิบห้านาทีต่อมา ทั้งสามคนก็มาถึงเรือนจุ้ยหงเมื่อแม่เล้าเห็นแขก ใบหน้าที่เต็มไปด้วยริ้วรอยก็ยิ้มแฉ่งราวกับดอกเบญจมาศใกล้โรยรา"เชิญทั้งสามท่านเข้าไปด้านในก่อน"แล้วถามด้วยรอยยิ้
เหงื่อหยดหนึ่งไหลออกมาบนหน้าผากของอินชิงเสวียนสถานที่แบบนี้นางจะไม่มาอีกแน่นอน และตอนนี้นางก็แทบอยากจะมุดแผ่นดินหนี ช่างน่าอึดอัดจริงๆโชคดีที่เสียงร้องโหยหวนดังอยู่ได้ไม่นาน ในช่วงเวลาแห่งความเงียบเชียบนี้ ลมหายใจของอินชิงเสวียนก็สงบลงมากยืนขึ้นแล้วพูดว่า "ขอบคุณแม่นางฟางรั่วสำหรับคำแนะนำดีๆ หากไม่มีสิ่งใดแล้ว ข้าคงไม่กลับมาอีก เช่นนั้นก็ขอตัวลาก่อน"อินชิงเสวียนรีบผลักประตูเปิด แล้วฉินเทียนก็เดินออกมาพอดีเมื่อเห็นอินชิงเสวียน เขาก็ยิ้มอย่างไม่เป็นธรรมชาติ"เอ่อ...สหายเสี่ยวเสวียนจื่อก็เสร็จแล้วเหมือนกันหรือ""เสร็จแล้ว จะรีบร้อนหรือพิถีพิถันก็มีความสุขเช่นกันมิใช่หรือ ข้าจะลงไปจ่ายเงิน เจ้าไปเรียกหลี่ฉี"หลังจากที่อินชิงเสวียนพูดจบ นางก็ออกวิ่งราวกับกำลังหนีอะไรบางอย่างฟางรั่วที่เดินมาถึงประตูแล้ว สายตาของนางจ้องมองไปที่แผ่นหลังของอินชิงเสวียนและฉินเทียนที่เห็นสายตานั้นก็เชื่อจริงๆ ว่านางคือคนรักของอินชิงเสวียน ไม่งั้นทำไมถึงแสดงท่าทางอาลัยอาวรณ์เช่นนี้เพียงแต่สงสัยว่าเสี่ยวเสวียนจื่อกงกงใช้ทักษะใดในการเอาชนะใจสตรี หรือว่าเขาได้ฝึกฝนพลังวิเศษเพียงปลายนิ้วสัมผัส?ขณะ
"ด้วยพระบารมีของฝ่าบาท ที่ไม่ให้ตระกูลอินทั้งครอบครัวถูกล่ามตรวน ตอนนี้ครอบครัวของพวกเขากำลังทำนาในเมืองซุ่ยหาน โดยที่มีอาหารและเครื่องนุ่งห่มครบครัน"น้ำเสียงของเย่จั้นสงบ มุมปากปรากฏรอยยิ้มบางๆ"เหตุใดฝ่าบาทจึงคิดถามถึงตระกูลอิน"สีหน้าของเย่จิ่งอวี้เปลี่ยนไป "อินจ้งทั้งตระกูลนับว่าเป็นขุนนางอาวุโสถึงสองรัชสมัย กล่าวได้ว่ากรำศึกเพื่อต้าโจวจริงๆ แม้ว่าความดีจะไม่สามารถชดเชยความไม่ดีได้ แต่คุณงามความดีนั้นลบล้างไม่ได้ ที่ข้าถามถึงพวกเขา ก็เพราะเห็นแก่คุณงามความดีเมื่อครั้งเก่าก่อน"เย่จั้นถอนหายใจกล่าวว่า "อินจ้งเป็นแม่ทัพที่หายากจริงๆ ทั้งยังเป็นคนตรงไปตรงมา จนตอนนี้ข้ายังไม่เชื่อว่าเขาจะทรยศต่อแคว้น"เขาหยุดชั่วครู่แล้วพูดว่า "หลังจากที่อินจ้งมาถึงเมืองซุ่ยหาน ข้าก็ถามเขาเป็นการส่วนตัวเกี่ยวกับการทรยศ แต่อินจ้งไม่รู้เรื่องนี้จริงๆ ข้าดูท่าทางของเขา ก็ดูไม่เหมือนว่ากำลังโกหกเลย ถ้าอินจ้งมีความสัมพันธ์กับราชวงศ์เจียงวูจริงๆ แล้วเหตุใดเขาจึงเป็นผู้นำรบเดินทางไกลไปทำศึกถึงเจียงวู""ข้ารู้ว่าฝ่าบาทเพิ่งขึ้นครองบัลลังก์ มีบางสิ่งอาจไม่เป็นไปตามที่ต้องการ รู้ด้วยว่าที่ฝ่าบาทเนรเทศตระก
ความเจ็บปวดจากไฟฟ้า ทำให้เย่จิ่งหลานกลับมามีสติอีกครั้งหลี่ไห่ตงซ่อนตัวอยู่ข้างหลังเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัย เขาไออย่างบ้าคลั่ง และมองไปที่เย่จิ่งหลานด้วยสีหน้าแห่งความเกลียดชัง“ทุบตีมัน ทุบตีมันให้ตาย ตีมันตายแล้วฉันจะรับผิดชอบเอง”เมื่อเห็นว่าเย่จิ่งหลานไม่ขัดขืน เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยก็ยิ่งมีความสุขมากขึ้น กระแสไฟฟ้าสีฟ้าพุ่งใส่ร่างของเย่จิ่งหลาน ทำให้ห้องรังสีวินิจฉัยที่มืดมิดสว่างไสวขึ้นมาเย่จิ่งหลานหลับตา ใช้ประสาทสัมผัสตรวจสอบอย่างระมัดระวัง และยกมุมริมฝีปากขึ้นเล็กน้อยเขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับร่างกายของตัวเอง แต่สัมผัสได้ ความรุนแรงเท่านี้ไม่สามารถเอาชีวิตเขาได้เลย รู้สึกเหมือนกับถูกแมลงต่อยสองครั้ง ถ้าเขาจะโดนฟ้าผ่า ก็ถือว่าเป็นการได้สัมผัสประสบการณ์ล่วงหน้าเป็นเวลาสิบวินาทีเต็มๆ เขาค่อยๆ ลืมตาขึ้น ดวงตาเรียวแคบของเขาเหมือนถูกรายล้อมไปด้วยงูทองคำพ่นไฟ ดุดันน่าเกรงขาม แม้ในความมืดมิดเช่นนี้ ก็สามารถมองเห็นใบหน้าอันน่าเกลียดของทุกคนได้ชัดเจนเขาอาจจะฆ่าคนไม่ได้ แต่สามารถทุบตีพวกเขาได้ และตราบใดที่พวกเขายังหายใจอยู่ ก็ไม่ถือว่าตายเมื่อนึกถึงสิ่งนี้ เขาก็ค่อ
“แกเป็นใคร ทำไมถึงมาทำร้ายฉัน”หลี่ไห่ตงเมื่อถูกทุ่มลงพื้นก็กรีดร้องอย่างน่าเวทนา ชายหนุ่มรูปงามตรงหน้านี้ เป็นราวกับเจ้าแห่งความตายในนรก ทำให้เขารู้สึกหวาดผวาอย่างสุดซึ้งจนแทบจะรู้สึกได้ถึงความกลัวที่มาจากจิตวิญญาณเขาไม่สงสัยเลยว่าชายคนนี้จะกล้าฆ่าเขาจริงๆหรือไม่“ฉันไม่รู้จักแกเลย แกจำคนผิดหรือเปล่า หรือคนในครอบครัวของแกอยู่ในโรงพยาบาลที่นี่ ถ้าขาดเงิน ฉันช่วยแกแก้ปัญหาได้”หลี่ไห่ตงรู้สึกว่าตัวเองยังพอมีหวัง จึงพยายามอย่างเต็มที่ที่จะสร้างความประทับใจให้กับชายผมดำยุ่งเหยิงตรงหน้าเย่จิ่งหลานมองไปที่หลี่ไห่ตงอย่างเย็นชา ความทรงจำในอดีตก็หลั่งไหลกลับมาเพื่อให้ได้ทำงานในโรงพยาบาลต่อ ถึงจะนอนดึกกว่าหมา ตื่นเช้ากว่าไก่ ทำงานหนักเยี่ยงทาส ทำงานหนักมาสามปีก็ตาม แต่เพราะบังเอิญไปเห็นสิ่งที่ไม่ควรเห็น จึงถูกส่งไปยังโรงพยาบาลเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ตั้งแต่เช้าจรดค่ำก็ไม่เจอใคร การทำงานหนักและค่าตอบแทนทั้งหมดของเขาถูกทำลายลงเพราะไอ้สารเลวยิ่งกว่าหมาคนนี้ เขากลับอยากมีชีวิตอยู่งั้นเหรอ ในโลกนี้ จะมีเรื่องดีๆ แบบนั้นได้อย่างไรโลกไม่ยุติธรรม เช่นนั้นก็ให้เขาได้ผดุงความยุติธรรม จัดการสัตว์ร้าย
ไอ้ชาติชั่วนี่ ใช้อุบายเก่าๆ ของเขาอีกแล้วเย่จิ่งหลานเหลือบมองแพทย์หญิง แม้ว่าเธอจะสวมหน้ากากปลอดเชื้อสีเขียว แต่ยังคงมองเห็นความไม่เต็มใจและความลังเลในดวงตาที่เหนื่อยล้าของเธอทั้งสองเดินสวนทางกัน แพทย์หญิงก็เดินเข้าไปในห้องรังสีวินิจฉัยข้างๆ เย่จิ่งหลานอุ้มเด็กเดินเข้าไปในห้องผ่าตัด แต่ยังคงมองย้อนกลับไปที่แพทย์หญิงคนนั้น จากนั้นก็ได้ยินเสียงคลิก ซึ่งเป็นเสียงล็อคประตู“เด็กคนนี้ได้รับบาดเจ็บที่กระดูกหน้าอก ขาทั้งสองข้างก็ถูกทับ”เย่จิ่งหลานอธิบายอาการของเด็กสั้นๆ จากนั้นรีบเดินไปที่ห้องรังสีวินิจฉัย ดึงที่จับประตูบานใหญ่ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ดึงให้เปิดออกเมื่อนึกถึงไอ้คนชาติชั่วคนนั้นที่โรงพยาบาลเดิมใช้เส้นสายสารพัด ทำเหมือนกับว่าตัวเองเป็นแค่หมา สุดท้ายยังถูกเขาส่งไปยังโรงพยาบาลชุมชนที่อยู่ห่างไกลที่ไม่มีโอกาสก้าวหน้า เขาก็อดไม่ได้ที่จะรู้สึกโกรธเขาออกแรง รู้สึกว่ามีแรงแปลกๆ ออกมาจากจุดตันเถียน ไปถึงท่อนแขนของเขาในทันที จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกึก ประตูที่ถูกล็อคก็หักแกเป็นสองท่อนหลี่ไห่ตงกำลังจะกอดแพทย์หญิงคนนั้นทำเรื่องงามไส้ มีสายตามองจากข้างนอกเข้าไป อีกทั้งเรือนผมยาวส
ทันใดนั้นก็มีเสียงเบรกดังมาจากด้านหน้าผู้หญิงคนหนึ่งขี่สกู๊ตเตอร์ชนจนล้มกระแทกพื้น เด็กที่อยู่ข้างหลังก็กระเด็นห่างออกไปหลายเมตรเช่นกันหน้าที่ของแพทย์ทำให้เย่จิ่งหลานเหาะไปข้างหน้า กระโดดไปหลายสิบเมตรในก้าวเดียว และลงจอดต่อหน้าผู้หญิงคนนั้นรถที่ผ่านไปมาต่างก็อึ้งกันไปหมด นี่กำลังถ่ายหนัง หรือเรื่องจริง?คนนี้ไม่มีสายสลิงผูกอยู่บนตัวนั้นา แล้วทำไมเขาถึงเหาะได้ไกลขนาดนี้ในคราวเดียวล่ะ?เย่จิ่งหลานเองก็สะดุ้งนี้...มันเป็นไปได้อย่างไรเป็นวรยุทธ์งั้นหรือเขาไม่มีเวลาคิด ก้มลงห้ามเลือดของผู้หญิงคนนั้นทันที กลิ่นเลือดปะทะเข้าจมูกของเขา หัวใจพลันสั่นขึ้นมาเล็กน้อยดูเหมือนมีบางอย่างตื่นขึ้นมา ไฝแดงระหว่างคิ้วก็สว่างวาบขึ้นเล็กน้อยมือของเขานิ่งค้าง จากนั้นเจ้าหน้าที่ทางการแพทย์หลายคนก็วิ่งเข้ามา“คุณคนนี้ คุณเป็นหมอเหรอ”เย่จิ่งหลานพยักหน้าโดยไม่รู้ตัว“ฉันเป็นศัลยแพทย์”คนที่ดูเหมือนพยาบาลกล่าวว่า “คนไข้ได้รับบาดเจ็บสาหัส คุณช่วยตามพวกเราไปที่รถพยาบาล ช่วยรักษาฉุกเฉินได้ไหม”เย่จิ่งหลานสูดหายใจเข้าลึกๆ“ได้”เขาก้าวเข้าไปในรถพยาบาล ผู้หญิงและเด็กถูกพาไปที่เตียงในรถพยาบาล
“ไม่ ข้าไม่เคยสงสัยเจ้าเลย ข้าแค่คิดว่า เจ้าและชิงฮุยอาจไม่ได้เป็นแค่ราชาแคว้นกับขุนนางธรรมดาแบบนั้น”อินชิงเสวียนหยุดชั่วคราวและพูดว่า “แม้ว่าข้าจะไม่เข้าใจหลักการวิทยายุทธ์ของแคว้นเฟยเหยา แต่รู้ว่าวิทยายุทธ์แบบเดียวกันนั้นมักจะมีรากเหง้าเดียวกันที่สามารถใช้ค้นหาร่องรอยได้ หากเจ้าใช้ความพยายาม ก็ไม่น่าจะยากที่จะพบตัวชิงฮุย แต่ว่า ที่ข้ามาที่นี่ก็ไม่มามาถามเรื่องเขาทั้งหมด”“โอ้?”ลั่วสุ่ยชิงเงยหน้าขึ้น มองไปยังอินชิงเสวียน“ข้าอยากรู้ หากแก่นวิญญาณของเจ้าและแก่นวิญญาณของชิงฮุยมาพบกันในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน จะเกิดผลที่ตามมาอย่างไร”“ไม่แน่ใจ”ลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างตรงไปตรงมา“ข้ามีลางสังหรณ์ว่าชิงฮุยอาจทำลายแก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลาน ยึดร่างกายของเขา ดังนั้นจึงซ่อนแก่นวิญญาณของตัวเองไว้ในห้วงทะเลแห่งจิตของเย่จิ่งหลาน โดยใช้วิธีเข้าฝัน...”ลั่วสุ่ยชิงคิดอยู่พักหนึ่งแล้วพูดต่อว่า “ตามหลักการปกติทั่วไป แก่นวิญญาณของเย่จิ่งหลานอาจได้รับผลกระทบ ซึ่งอาจทำให้สมองสดใสน้อยลง แต่ไม่ต้องการให้เขาหายตัวไปโดยสิ้นเชิง เมื่อข้าลองใช้วิธีการเข้าฝันอีกครั้ง แต่ข้าไม่สามารถสัมผัสถึงลมปราณของเ
เสี่ยวหนานเฟิงกางมือเล็กๆ ออก แล้วถามด้วยน้ำเสียงแหลมใสไร้เดียงสาว่า “ภารกิจอะไรอ่ะ”“ไปหาพี่สาวลั่ว”อินชิงเสวียนหยิบน้ำพุวิญญาณออกมาล้างมือที่สกปรกของเสี่ยวหนานเฟิง จากนั้นเช็ดด้วยผ้าเช็ดทำความสะอาดฆ่าเชื้อ“อีกประเดี๋ยวเจ้าต้องขายความน่ารัก แม่จะถือโอกาสถามอะไรบางอย่าง”เสี่ยวหนานเฟิงดูสับสน กะพริบตาโตแล้วถามว่า “ขายความน่ารักหมายความว่าอย่างไร ต้องขายให้ได้เงินมากไหม”อินชิงเสวียนหัวเราะเบาๆ“ท่าทางตอนนี้ของเจ้าก็น่ารักบ้องแบ๊วอยู่แล้ว ให้เป็นแบบนี้ต่อก็พอแล้ว”เสี่ยวหนานเฟิงตอบว่าอ้อ และทันใดนั้นก็พูดอย่างตื่นเต้น “พี่สาวลั่วทำหน้าอมทุกข์อยู่ตลอด เราเอาให้ลูกกวาดให้นางก็ได้นะ”อินชิงเสวียนพยักหน้าเห็นด้วย“อื้ม นี่เป็นความคิดที่ดี”นางโบกมือและหยิบถุงลูกกวาดมาจากมิติ“ถ้าอย่างนั้นเจ้าก็มอบให้พี่สาวลั่วนะ”“ตกลง”เสี่ยวหนานเฟิงยื่นมือเล็กๆ ออกมาเพื่อหยิบมัน แล้วถามด้วยน้ำเสียงนุ่มนิ่ม “ลูกได้ยินจากเสด็จพ่อบอกว่าอาจิ่งหลานหายไป ท่านแม่หาลุงเจอไหม”อินชิงเสวียนถอนหายใจ “ไม่รู้ บางทีเขาอาจจะกลับไปยังที่ของตัวเองแล้ว สำหรับเขาแล้ว แบบนี้ก็ดีเหมือนกัน”เสี่ยวหนานเฟิงเอียง
“แต่ตอนนี้เราไม่ยังตามหาตัวเย่จิ่งหลานไม่พบ ยังมีวิธีอื่นใดที่จะสามารถล่อให้ศิลาตอบสวรรค์ปรากฏตัวได้หรือไม่”อินชิงเสวียนลูบคาง ปัญหาดูเหมือนจะกลับมาที่จุดเดิมนักพรตเทียนชิงกล่าวว่า “ไม่มี ศิลาตอบสวรรค์จะลงโทษคนที่ชั่วร้ายอย่างยิ่งเท่านั้น ไม่เช่นนั้นก็ไม่มีทางออกจากสถานที่ศักดิ์สิทธิ์”ลั่วสุ่ยชิงก็ขมวดคิ้วเช่นกัน“นี่เป็นปัญหาที่แก้ไขยากจริงๆ”อินชิงเสวียนถามอย่างสงสัย “ศิลาตอบสวรรค์จะมีประโยชน์อะไรกับชิงฮุย”ลั่วสุ่ยชิงกล่าวว่า “เขาต้องการเป็นเซียน”“อ๋า?”อินชิงเสวียนมองไปที่ลั่วสุ่ยชิงด้วยความประหลาดใจลั่วสุ่ยชิงพูดอย่างใจเย็น “ในแคว้นเฟยเหยา มีตำนานเล่าขานมาตลอด ตราบใดที่ได้รับศิลาตอบสวรรค์ ก็สามารถหลุดพ้นจากปัญจธาตุได้ สามารถข้ามผ่านวิบากกรรมและบรรลุขั้นสูงสุด บรรลุเป็นเซียน เสด็จพ่อของข้ามีความเชื่อมั่นอย่างแรงกล้า ตามหาที่อยู่ของศิลาตอบสวรรค์มาโดยตลอด เมื่อแคว้นเฟยเหยาถูกบุกโจมตี เคยมีคนกระตุ้นศิลาตอบสวรรค์ แต่ถึงกระนั้น หินก้อนนั้นก็ยังคงหายไป พ่อของข้าติดตามกลิ่นอายนั้นไป จนพบแดนศักดิ์สิทธิ์ และได้สรุปว่าศิลาตอบสวรรค์อยู่ที่นั่น”“ผู้ที่เป็นคนกระตุ้นคือใคร เป็นชิ
“ได้ เช่นนั้นข้าจะทำนายดูอีกครั้ง”นักพรตเทียนชิงหยิบเหรียญอีแปะและกระดองเต่าออกมา เขย่าหกครั้ง ค่อยๆ จัดเรียงเหรียญทีละเหรียญ เขามองดูพวกมันอยู่ครู่หนึ่ง ลูบหนวดเคราแล้วพูดว่า “ภาพทำนายไม่เปลี่ยนไปจากเดิมเลย คุณชายน้อยเย่...”“เป็นอย่างไรบ้าง เขากลับมาไม่ได้กระนั้นหรือ”อินชิงเสวียนถามด้วยความประหลาดใจ“พูดยาก ทุกสิ่งในตัวเขาไม่แน่นอนมาก ดอกไม้ไม่ใช่ดอกไม้ หมอกก็ไม่ใช่หมอก เหมือนมองดอกไม้ในสายหมอก ยากที่จะเห็นภาพที่แท้จริง ข้าไม่เคยเห็นภาพทำนายเช่นนี้มาก่อน”นักพรตเทียนชิงมองดูเหรียญอีแปะด้วยสีหน้าประหลาดใจมากอินชิงเสวียนถอนหายใจ“เอาเถอะ ถ้าเขาสามารถกลับไปยังที่ที่เขาอยู่ได้จริงๆ ก็คงจะดี”เดิมทีเย่จิ่งหลานไม่มีความรู้สึกเป็นส่วนหนึ่งของยุคนี้มากนัก แทนที่จะเป็นแบบนี้ ไม่สู้ปล่อยให้เขาไปในที่ที่เขาต้องการไปดีกว่าเขาเป็นคนดี ไม่ว่าเขาจะอยู่ที่ไหนก็สามารถสร้างประโยชน์ และเป็นประโยชน์ต่อประชาชนได้นักพรตเทียนชิงไม่ได้พูด บรรยากาศอึมครึมอยู่พักหนึ่งอินชิงเสวียนรู้สึกเศร้า จากนั้นทำตัวให้กระปรี้กระเปร่าขึ้นมาและถามว่า “ท่านนักพรตสามารถทำนายได้หรือไม่ว่าชิงฮุยอยู่ที่ไหน”นัก
เมื่อเห็นชายคนนั้นอารมณ์ดีขึ้นมาทันที อินชิงเสวียนก็ก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว“คุณบอกว่า...คุณชื่อเย่จิ่งหลานไม่ใช่เหรอ”ชายคนนั้นพูดเหมือนกับเป็นเรื่องปกติธรรมดา “ใช่น่ะสิ ผมชื่อเย่จิ่งหลานแล้วมันขัดแย้งอะไรกับเรื่องที่ผมเป็นหมอล่ะ”เสี่ยวหลานหลานที่อยู่ข้างๆ สั่นศีรษะ พูดอย่างน่ารัก “ก็ไม่ขัดแย้ง”เย่จิ่งหลานยักไหล่“งั้นก็โอเคแล้วไม่ใช่หรือไง ในช่วงสองวันที่ผ่านมาผมอาจเกิดภาวะขาดสารอาหาร ภาวะน้ำตาลในเลือดต่ำ ขอบคุณสาวสวยคนนี้ที่ช่วยเหลือ เพิ่มเพื่อนในไลน์ได้ไหม”เย่จิ่งหลานสอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อ แต่มันก็ว่างเปล่าเขาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง โทรศัพท์หายไปไหน“แล้วคุณรู้ไหมว่าคุณมาจากโรงพยาบาลไหน”“รู้...”เย่จิ่งหลานพูดขึ้นมาคำหนึ่ง และทันใดนั้นก็รู้สึกปวดหัวอีกครั้งเขาจำได้ว่าตัวเองถูกไล่ออกจากโรงพยาบาล เหมือนจะไปคลินิกเล็กๆ แห่งหนึ่ง ต่อมาก็ฝันอะไรตั้งมากมาย ในฝันเหมือนเขาจะกลายเป็นอ๋อง แล้วต่อมาก็ได้เป็นจอมยุทธ์เมื่อมองดูเตียงในโรงพยาบาลตรงหน้า จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนไม่ใช่ความจริงขึ้นมาทันทีเขายกนิ้วขึ้นแตะหัวเตียง ผิวสัมผัสเย็นๆ บอกเขาว่าทุกสิ่งตรงหน้าเป็นเรื่องจริง แต